Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
5 ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ําตาลของบิลิรูบิน (Bilirubinuria หรือ Choluria)
6 ปัสสาวะมีสีดําของฮีโมโกลบิน (Hemoglobinuria)
4 คีโตนในปัสสาวะ (Ketonuria)
7 ปัสสาวะเป็นหนอง (Pyuria)
3 โปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria หรือ Albuminuria)
8 นิ่วในปัสสาวะ (Calculi)
2 น้ําตาลในปัสสาวะ (Glycosuria)
9 ไขมันในปัสสาวะ (Chyluria)
1 ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)
ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
5 สังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factor)
6 ลักษณะท่าทาง (Body position)
7 กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Activity and Muscle tone)
4 ด้านจิตสังคม (Psychosocial factors)
3 ยา (Medication)
8 พยาธิสภาพ (Pathologic conditions)
2 น้ําและอาหาร (Food and fluid)
9 การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่าง ๆ
1 อายุ หรือ พัฒนาการในวัยต่าง ๆ (Developmental growth)
หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
4 การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีปัสสาวะไม่ออก
5 สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
3 ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทํางานอย่างเต็มที่
6 เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
2 ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
7 การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีท่ีไม่สามารถไปห้องน้ําได้
1 ส่งเสริมให้ได้รับน้ําอย่างเพียงพอ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
2 การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
4) ปัสสาวะตอนกลางคืน (Nocturia)
5) ปัสสาวะขัดปัสสาวะลําบาก(Dysuria)
3) ปัสสาวะมากกว่าปกติ(PolyuriaหรือDiuresis)
6) ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย (Pollakiuria)
2) ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ(Oliguria)
7)ปัสสาวะรดที่นอน(Enuresis)
1) ไม่มีปัสสาวะ(Anuria/Urinarysuppression)
8) ปัสสาวะคั่ง(Urinaryretention)
9) กลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้(Urinaryincontinence)
1 แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
1) แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ
2) ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ
หลักการพยาบาลผู้ป่วยได้รับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะ
วัตถุประสงค์
2) ป้องกันการเกิดแผลกดทับในรายที่ต้องรักษาตัวนาน ๆ
3) ป้องกันการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้
1) เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันการระคายเคืองของผิวหนัง
4) ป้องกันการอักเสบในรายที่มีแผล
การใส่ถุงยางอนามัย
ในผู้ชายให้ปัสสาวะไหลไปตามท่อลงสู่ ภาชนะหรือถุงรองรับปัสสาวะ
การใส่ถุงยางอนามัยจะพิจารณาผู้ที่มีปัญหา
เป็นการระบายปัสสาวะภายนอก
ผู้ป่วยที่ใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะเป็นเวลานานมีโอกาสที่ผิวหนังบริเวณองคชาตบวม แดงและถลอก
ใช้น้ํากับสบู่ทําความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ เช็ดให้แห้ง
สังเกตดูพบว่าหนังหุ้มองคชาตมีรอยถลอก บวม แดง หรือมีสีเปลี่ยนไปเพราะเลือด ไหลเวียนไม่สะดวกจากการที่ถุงยางรัดเกินไปให้งดใส่ชั่วคราว และรายงานแพทย์
ต้องเปลี่ยนถุงยางอนามัยให้ผู้ป่วยทุกวัน
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปญั หาการขับถ่ายปัสสาวะ
2 การวินิจฉัยทางการพยาบาล
3 การวางแผนการพยาบาล และการปฏิบัติการพยาบาล
5) ทําความสะอาดบริเวณฝีเย็บให้สะอาด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และหลังถ่ายอุจจาระ
6) ใช้สบู่อ่อนและน้ําหรือน้ํายาทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
4) Force oral fluid มากกว่า 2,000-3,000 มิลลิลิตรต่อวัน ถ้าไม่มีข้อห้าม
7) รักษาระบบการระบายปัสสาวะให้เป็นระบบปิดอยู่เสมอ
3) ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก Aseptic technique
8) อย่าปล่อยให้ปัสสาวะเต็มถุงรองรับ ควรเททิ้งอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง ด้วยวิธีที่ถูกต้อง
2) ประเมินสัญญาณชีพ
9) ส่งเสริมให้ปัสสาวะเป็นกรด
1) ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชือที่ระบบทางเดินปัสสาวะ ทั้งก่อนและหลังให้ การพยาบาล ได้แก่ ปัสสาวะสีขาว ขุ่น มีตะกอน
10) ดูแลให้ถุงรองรับปัสสาวะอยู่ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะเสมอ
11) ตรวจดูสายสวนและท่อระบายของถุงรองรับปัสสาวะเป็นระยะไม่ให้หักพับงอ หรือ ถูกทับ เพราะจะปิดกั้นการไหลของปัสสาวะ
1 การประเมิน
2) ตรวจร่างกายในระบบทางเดินปัสสาวะ
3) วิเคราะห์ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1) การซักประวัติ
4 ประเมินผลการพยาบาล
สัญญาณชีพปกติ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ไม่พบเชื้อ
ปัสสาวะสีเหลืองใสไม่มีตะกอน
การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
2 วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
2) เตรียม Syringe sterile เข็มปลอดเชื้อ Sterile swab น้ํายาฆ่าเชื้อ
3) ล้างมือ สวมถุงมือสะอาด เช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ
1) ใช้ Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นาน ประมาณ 15–30 นาที เพื่อให้มีปัสสาวะใหม่เก็บอยู่ก่อน
4) ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะตรงตําแหน่งที่ทําความสะอาดฆ่าเชื้อไว้แล้ว ดูดปัสสาวะออกมาประมาณ 10 มล. ส่งตรวจเพาะเชื้อทันที
3 วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
เริ่มเก็บปัสสาวะเวลา 08.00 น. ให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะทิ้งก่อน
จนครบก้าหนด 24 ชั่วโมง แล้วถ่ายปัสสาวะเก็บเป็นครั้งสุดท้าย
รวบรวมไว้จนครบ 24 ชั่วโมงแล้วส่งตรวจ
แนะน้าให้งดโปรตีน คาเฟอีน ก่อนการเก็บปัสสาวะประมาณ 6 ชั่วโมง และให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ ก่อนและระหว่างการเก็บ ( ถ้าไม่มีข้อห้าม )
1 วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง (Clean mid-stream urine)
ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย
เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ หรือประมาณ 30-50 ml.
ให้ผู้ป่วยทําความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ําสะอาด ล้างมือให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง
โดยห้ามสัมผัสด้านในของภาชนะ แล้วปัสสาวะช่วงสุดท้ายทิ้งไป
นําปัสสาวะไปส่งให้เจ้าหน้าที่โดยเร็วที่สุด
การสวนปัสสาวะ
2 ชนิดของการสวนปัสสาวะ
1) การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว(Intermittentcatheterization)
2) การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
3 อุปกรณ์
4) น้ํากลั่นปลอดเชื้อ (Sterile water) และน้ํายาทําลายเชื้อ (Antiseptic solution)
5) กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อ (Sterile syringe) ขนาด 10 มิลลิลิตร 1 อัน
3) สารหล่อลื่นสายสวนชนิดละลายน้ําได้
6) Transfer forceps
2) ชุดสวนปัสสาวะที่ปราศจากเชื้อ (Sterile catheterization set)
7) ถุงรองรับปัสสาวะปลอดเชื้อและเป็นระบบปิด (Sterile urine bag) 1 ใบ
1) ชุดทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ 1 ชุด หม้อนอน ถุงมือสะอาด 1 คู่ ถุงกระดาษหรือถุงพลาสติกสําหรับทงิ้สําลีใช้แล้ว
8) โคมไฟ หรือไฟฉาย
9) พลาสเตอร์, เข็มกลัด, ผ้าปิดตา
10) สายสวนปัสสาวะ
1 วัตถุประสงค์ของการสวนปัสสาวะ
4) เพื่อเก็บน้ําปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อ
5) เพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ หรือใส่ยาในกระเพาะปัสสาวะ
3) เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ําปัสสาวะท่ีเหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ
6) เพื่อศึกษาความผิดปกติของท่อปัสสาวะ
2) เพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะว่างในผู้ป่วยท่ีต้องทําหัตถการต่างๆ
7) เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ําปัสสาวะท่ีขับออกมาในผู้ป่วยอาการหนักอย่างถูกต้อง
1) เพื่อระบายเอาน้ําปัสสาวะออกในผู้ป่วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะเองได้
4 วิธีการสวนปัสสาวะ
1) การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
2) การถอดสายสวนปัสสาวะที่คาไว้