Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
สังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factor)
ลักษณะท่าทาง (Body position)
ด้านจิตสังคม (Psychosocial factors)
กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ(Activity and Muscle tone)
ยา (Medication)
พยาธิสภาพ (Pathologic conditions)
น้ําและอาหาร(Food and fluid)
การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่างๆ (Surgical and diagnostic procedure)
อายุ หรือ พัฒนาการในวัยต่างๆ(Developmental growth)
วัยเด็ก
ผู้สูงอายุ
ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ําตาลของบิลิรูบิน(Bilirubinuria หรือ Choluria)
ปัสสาวะมีสีดําของฮีโมโกลบิน(Hemoglobinuria)
คีโตนในปัสสาวะ (Ketonuria)
ปัสสาวะเป็นหนอง (Pyuria)
โปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria หรือ Albuminuria)
นิ่วในปัสสาวะ (Calculi)
น้ําตาลในปัสสาวะ (Glycosuria)
ไขมันในปัสสาวะ (Chyluria)
ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)
การสวนปัสสาวะ
ชนิดของการสวนปัสสาวะ
การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว (Intermittent catheterization)
เป็นการใส่สายสวนปัสสาวะผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ เพื่อระบายน้ําปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะ เมื่อกระเพาะปัสสาวะว่างไม่มีน้ําปัสสาวะไหลออกมาแล้วจะถอดสายสวนปัสสาวะออก
การสวนคาสายสวนปัสสาวะ (Indwelling catheterization or retained catheterization)
เป็นการสอดใส่สายสวนปัสสาวะชนิด Foley catheter ผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะแล้วคาสายสวนสวนปัสสาวะไว้
อุปกรณ์
กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อ (Sterile syringe)ขนาด 10 มิลลิลิตร 1 อัน
Transfer forceps
น้ํากลั่นปลอดเชื้อ (Sterile water)และน้ํายาทําลายเชื้อ (Antiseptic solution) เช่น Povidone-iodine (บางโรงพยาบาลไม่ใช้)
ถุงรองรับปัสสาวะปลอดเชื้อและเป็นระบบปิด (Sterile urine bag) 1 ใบ
สารหล่อลื่นสายสวนชนิดละลายน้ําได้ เช่น KY-jelly
โคมไฟ หรือไฟฉาย
ชุดสวนปัสสาวะที่ปราศจากเชื้อ (Sterile catheterization set)
พลาสเตอร์, เข็มกลัด, ผ้าปิดตา
ชุดทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ 1ชุด หม้อนอน ถุงมือสะอาด 1 คู่ ถุงกระดาษหรือถุงพลาสติกสําหรับทิ้งสําลีใช้แล้ว
สายสวนปัสสาวะการเลือกใช้สายสวนปัสสาวะควรพิจารณาวัตถุประสงค์ของการใช้งานและขนาดของสายสวนปัสสาวะ
วัตถุประสงค์ของการสวนปัสสาวะ
เพื่อเก็บน้ําปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อ
เพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ หรือใส่ยาในกระเพาะปัสสาวะ
เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ําปัสสาวะที่เหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ
เพื่อศึกษาความผิดปกติของท่อปัสสาวะ
เพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะว่างในผู้ป่วยที่ต้องทําหัตถการต่างๆ
เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ําปัสสาวะที่ขับออกมาในผู้ป่วยอาการหนักอย่างถูกต้อง
เพื่อระบายเอาน้ําปัสสาวะออกในผู้ป่วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะเองได้
วิธีการสวนปัสสาวะ
การสวนคาสายสวนปัสสาวะ (Indwelling หรือRetention catheter)
2)การถอดสายสวนปัสสาวะที่คาไว้ (Removing Indwellingor Retention catheters)
การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
2)เตรียม Syringe sterile เข็มปลอดเชื้อ Sterile swab น้ํายาฆ่าเชื้อ
3)ล้างมือสวมถุงมือสะอาดเช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ
1)ใช้Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นานประมาณ 15–30 นาทีเพื่อให้มีปัสสาวะใหม่เก็บอยู่ก่อน
4)ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะตรงตําแหน่งที่ทําความสะอาดฆ่าเชื้อไว้แล้ว ดูดปัสสาวะออกมาประมาณ 10 มล. ส่งตรวจเพาะเชื้อทันที
วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
ป็นการเก็บปัสสาวะที่มีการรวบรวมไว้จนครบ 24 ชั่วโมงแล้วส่งตรวจ เริ่มเก็บปัสสาวะเวลา 08.00 น.
วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง(Clean mid-streamurine)
โดยให้ผู้ป่วยทําความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ําสะอาด ล้างมือให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง ให้ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ หรือประมาณ 30-50 ml. โดยห้ามสัมผัสด้านในของภาชนะแล้วปัสสาวะช่วงสุดท้ายทิ้งไปนําปัสสาวะไปส่งให้เจ้าหน้าที่โดยเร็วที่สุด
หลักการพยาบาลผู้ป่วยได้รับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะ (Condom catheter)
วัตถุประสงค์
2) ป้องกันการเกิดแผลกดทับในรายที่ต้องรักษาตัวนาน ๆ
3) ป้องกันการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้
1)เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันการระคายเคืองของผิวหนัง เนื่องจากเปียกปัสสาวะบ่อย ๆ
4)ป้องกันการอักเสบในรายที่มีแผล
ผู้ป่วยที่ใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะเป็นเวลานานมีโอกาสที่ผิวหนังบริเวณองคชาต จะบวม แดง และถลอก ดังนั้น ต้องเปลี่ยนถุงยางอนามัยให้ผู้ป่วยทุกวัน
หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณีปัสสาวะไม่ออก
สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทํางานอย่างเต็มที่
เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณีที่ไม่สามารถไปห้องน้ําได้
ส่งเสริมให้ได้รับน้ําอย่างเพียงพอ
ในผู้ใหญ่ควรได้รับน้ําสะอาด อย่างน้อยวันละ 6-8แก้ว
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ
ลําปัสสาวะช่วงแรกจะพุ่งแรงและใหญ่กว่าตอนสุด
ปัสสาวะประมาณ 4-6ครั้งต่อวันและปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน
ตลอดการถ่ายปัสสาวะจะไม่มีอาการเจ็บปวด
มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอน ตอนเช้าหลังตื่นนอน ก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
เวลาที่ใช้ในการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน 30วินาที
การถ่ายปัสสาวะจะเว้นช่วงห่างประมาณ 2–4 ชั่วโมงในเวลากลางวัน และ 6-8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน
กรณีอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ทันที ต้องสามารถกลั้นได้ และเมื่อจะปัสสาวะก็สามารถปัสสาวะได้ทันที
จํานวนปัสสาวะประมาณ 250-400 มิลลิลิตรต่อครั้งหรือไม่ควรน้อยกว่า 30มิลลิลิตรใน 1 ชั่วโมง
อยากถ่ายปัสสาวะเมื่อมีปริมาณปัสสาวะอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ100-400มิลลิลิตร
Residual urineไม่ควรเกิน 50 มิลลิลิตร ในผู้ใหญ่ และไม่ควรเกิน 100 มิลลิลิตรในผู้สูงอายุ
ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ
มีความเป็นกรดอ่อนๆ pH ประมาณ 4.6-8.0
มีความถ่วงจําเพาะ (Specific gravity) ประมาณ 1.015-1.025
สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้ม สีเหลืองฟางข้าว หรือสีเหลืองอําพัน
เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ไม่พบ Casts,Bacteria, Albumin หรือน้ําตาล ไม่พบเม็ดเลือดแดง
ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน
ปัสสาวะใหม่มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ถ้าตั้งทิ้งไว้นานๆ จะได้กลิ่นแอมโมเนียที่แรง
ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800–1,600 มิลลิลิตร
การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
ปัสสาวะขัด ปัสสาวะลําบาก
ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย
ปัสสาวะตอนกลางคืน
ปัสสาวะรดที่นอน
ปัสสาวะมากกว่าปกติ
ปัสสาวะคั่ง
ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ
ลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้
ไม่มีปัสสาวะ
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
การวางแผนการพยาบาล และการปฏิบัติการพยาบาล
การประเมิน
2)ตรวจร่างกายในระบบทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ การเคาะบริเวณไต เพื่อหาตําแหน่งที่ปวด การคลําและเคาะกระเพาะปัสสาวะ ตรวจสีลักษณะและความตึงตัวของผิวหนัง และภาวะบวม
3)วิเคราะห์ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1)การซักประวัติแบบแผนและลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะปกติ จํานวนครั้งใน 24 ชั่วโมง ลักษณะและสีของปัสสาวะ ปริมาณน้ําดื่มต่อวัน ยาที่รับประทานประจํา โรคประจําตัว เบาหวาน ความดันความเครียด กิจกรรมที่ทําประจําวัน
ประเมินผลการพยาบาล
ภายหลังให้การพยาบาลควรมีการประเมินทุกครั้งตามเกณฑ์การประเมินผลเช่น ปัสสาวะสีเหลืองใสไม่มีตะกอน สัญญาณชีพปกติ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ เป็นต้น