Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
1.ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
1.1 อายุ หรือ พัฒนาการในวัยต่างๆ
1.6 ลักษณะท่าทาง
1.7 กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
การออกกําลังกายสม่ำเสมอ
ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนานๆ ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว
1.5 สังคมและวัฒนธรรม
สังคมและวัฒนธรรมประเพณี รวมถึงการอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวมีอิทธิพลต่อนิสัยการขับถ่ายของบุคคล
1.4 ด้านจิตสังคม
เช่น
ความเครียดและความวิตกกังวลกระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น
1.8 พยาธิสภาพ
พยาธิสภาพของโรคหลายชนิดมีผลต่อการสร้างปัสสาวะทั้งปริมาณและคุณภาพ
1.3 ยา
เช่น
ยาที่ขับออกทางระบบปัสสาวะ จะส่งผลให้สีของน้ำปัสสาวะเปลี่ยนแปลง
1.9 การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่างๆ
1.2 น้ำและอาหาร
จํานวนน้ำที่ร่างกายได้รับ (Fluid intake)
จํานวนน้ำที่ร่างกายสูญเสีย (Loss of body fluid)
อาหารที่ร่างกายได้รับ (Food intake)
2.แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
2.2 การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ
ปัสสาวะมากกว่าปกติ
ปัสสาวะตอนกลางคืน
ปัสสาวะขัด ปัสสาวะลําบาก
ไม่มีปัสสาวะ
ถ่ายปัสสาวะบ่อย
ปัสสาวะคั่ง
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้
1) กลั้นปัสสาวะไม่อยู่โดยสิ้นเชิง
2) กลั้นปัสสาวะไม่ทัน
3) ปัสสาวะเล็ด
4) ปัสสาวะท้น
5) ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่เกิดจากภาวะหรือโรคอื่นๆ
ปัสสาวะรดที่นอน
2.1 แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ
ลําปัสสาวะช่วงแรกจะพุ่งแรงและใหญ่กว่าตอนสุด
ปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน
ตลอดการถ่ายปัสสาวะจะไม่มีอาการเจ็บปวด
มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอน ตอนเช้าหลังตื่นนอน
เวลาที่ใช้ในการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน 30วินาที
การถ่ายปัสสาวะจะเว้นช่วง2–4 ชั่วโมงในกลางวัน
กรณีอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ทันที ต้องสามารถกลั้นได้
จํานวนปัสสาวะประมาณ 250-400 mm/ครั้ง
ปัสสาวะอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ100-400 mm
Residual urineไม่ควรเกิน 50 มิลลิลิตร ในผู้ใหญ่
ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ
มีความเป็นกรดอ่อนๆ pH ประมาณ 4.6-8.0
มีความถ่วงจําเพาะ ประมาณ 1.015-1.025
สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้ม หรือสีเหลืองอําพัน
เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ไม่พบ Casts,Bacteria, Albumin หรือน้ำตาล ไม่พบเม็ดเลือดแดง
ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน
ปัสสาวะใหม่มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ถ้าตั้งทิ้งไว้นานๆ จะได้กลิ่นแอมโมเนียที่แรง
ปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800–1,600 mm
3.ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
ดังนี้
3.4 คีโตนในปัสสาวะ (Ketonuria)
3.5 ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ําตาลของบิลิรูบิน
3.3 โปรตีนในปัสสาวะ
3.6 ปัสสาวะมีสีดําของฮีโมโกลบิน
3.2 น้ำตาลในปัสสาวะ (Glycosuria)
3.7 ปัสสาวะเป็นหนอง (Pyuria)
3.1 ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)
3.8 นิ่วในปัสสาวะ (Calculi)
3.9 ไขมันในปัสสาวะ (Chyluria)
4.หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
4.4 การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณีปัสสาวะไม่ออก
3) การเปิดก๊อกน้ําให้ได้เห็น ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการทําให้ถ่ายปัสสาวะได้
4) การใช้ความร้อนช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ
2) ช่วยให้ผู้ป่วยได้ถ่ายปัสสาวะในท่าที่สะดวกเป็นธรรมชาติ
5) ให้เวลาในการขับถ่ายปัสสาวะ ไม่เร่งรัดผู้ป่วยเกินไป
1) จัดให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวในที่มิดชิดขณะถ่ายปัสสาวะ
6) ช่วยกดหน้าท้องเบาๆ เหนือบริเวณกระเพาะปัสสาวะจะช่วยให้ปัสสาวะสะดวก
4.5 สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
วิธีการนวดกระเพาะปัสสาวะ ให้ใช้มือนวดเบาๆที่ท้องน้อยเหนือกระดูกหัวเหน่า และบอกให้ผู้ป่วยกลั้นหายใจขณะที่กดปลายนิ้วลงไปที่กระเพาะปัสสาวะ
4.3 ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทํางานอย่างเต็มที่
ป้องกันกล้ามเนื้อหย่อนสมรรถภาพได้ โดยการทําKegel exercise ด้วยการขมิบก้น
กล้ามเนื้อภายในอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อนสมรรถภาพ ทําให้ปัสสาวะไม่ออก
4.6 เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
วิธีการคือใช้วิธีกระตุ้นให้ผู้ป่วยไปปัสสาวะ ชมเชย และให้กําลังใจความสําเร็จขึ้นอยู่กับความเต็มใจและความขยันของผู้ป่วย
4.2 ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
3) ดื่มน้ำ และปัสสาวะทิ้งทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์
4) อาบน้้ำด้วยฝักบัวแทนอาบในอ่างอาบน้ำ
2) ฝึกถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ ทุก 2-4 ชั่วโมง
5) ใส่ชุดชั้นในที่ทําด้วยผ้าฝ้ายดีกว่าทําด้วยไนล่อน
1) ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
6) หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงที่แน่น
7) เพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ
8) ใช้ Estrogen creamตามแผนการรักษาของแพทย์
4.7 การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณีที่ไม่สามารถไปห้องน้ําได้
ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้หญิง หรือ กระบอกปัสสาวะ (Urinal) ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้ชายมาให้ผู้ป่วยที่เตียง
4.1 ส่งเสริมให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8แก้ว
5.การสวนปัสสาวะ
5.2ชนิดของการสวนปัสสาวะ
มี 2 ชนิด
1) การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว
2)การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
5.3 อุปกรณ์
1) ชุดทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ 1ชุด
3) สารหล่อลื่นสายสวนชนิดละลายน้ำได้ เช่น KY-jelly
2) ชุดสวนปัสสาวะที่ปราศจากเชื้อ
4) น้ำกลั่นปลอดเชื้อ และน้ำยาทําลายเชื้อ
5) กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อ ขนาด 10 มิลลิลิตร 1 อัน
6) Transfer forceps
9) พลาสเตอร์, เข็มกลัด, ผ้าปิดตา
7) ถุงรองรับปัสสาวะปลอดเชื้อและเป็นระบบปิด 1 ใบ
8) โคมไฟ หรือไฟฉาย
10) สายสวนปัสสาวะ
5.1วัตถุประสงค์ของการสวนปัสสาวะ
3) เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ําปัสสาวะที่เหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ
4) เพื่อเก็บน้ำปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อ
2) เพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะว่างในผู้ป่วยที่ต้องทําหัตถการต่างๆ
5) เพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ หรือใส่ยาในกระเพาะปัสสาวะ
1) เพื่อระบายเอาน้ำปัสสาวะออกในผู้ป่วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะเองได้
6) เพื่อศึกษาความผิดปกติของท่อปัสสาวะ
7) เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ําปัสสาวะที่ขับออกมาในผู้ป่วยอาการหนักอย่างถูกต้อง
5.4 วิธีการสวนปัสสาวะ
1) การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
2)การถอดสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
4) บอกผู้ป่วยให้หายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย
5) ใช้กระดาษชําระเช็ดบริเวณ Perineumให้แห้ง
3) ต่อ Syringe เข้ากับหางของสายสวนปัสสาวะ
6) สังเกตลักษณะ จํานวนปัสสาวะในถุงก่อนเอาไปเททิ้ง ลงบันทึกลักษณะของปัสสาวะลงในบันทึกทางการพยาบาล
2) บอกผู้ป่วย ใส่ถุงมือทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ และบริเวณ Urethra meatusให้สะอาด
7) กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ํามากๆ สังเกตความผิดปกติของผู้ป่วย
1)เตรียมเครื่องใช้
6.หลักการพยาบาลผู้ป่วยได้รับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะ
6.1 วัตถุประสงค์
2) ป้องกันการเกิดแผลกดทับในรายที่ต้องรักษาตัวนาน ๆ
3) ป้องกันการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้
1) เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันการระคายเคืองของผิวหนัง
4)ป้องกันการอักเสบในรายที่มีแผล
7.การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
7.2 วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
2) เตรียม Syringe sterile เข็มปลอดเชื้อ Sterile swab น้ำยาฆ่าเชื้อ
3) ล้างมือสวมถุงมือสะอาดเช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
1) ใช้Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นานประมาณ 15–30 นาทีเพื่อให้มีปัสสาวะใหม่เก็บอยู่ก่อน
4) ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะตรงตําแหน่งที่ทําความสะอาดฆ่าเชื้อไว้แล้ว
7.3 วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
เป็นการเก็บปัสสาวะที่มีการรวบรวมไว้จนครบ 24 ชั่วโมงแล้วส่งตรวจ
7.1 วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง
ให้ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ หรือประมาณ 30-50 ml.
8.กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
8.3 การวางแผนการพยาบาล และการปฏิบัติการพยาบาล
มีดังต่อไปนี้
11) ดูแลให้ถุงรองรับปัสสาวะอยู่ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะเสมอ
12) ตรวจดูสายสวนและท่อระบายของถุงรองรับปัสสาวะ
10) การเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะควรทําเมื่อจําเป็น
13) กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกขึ้นเคลื่อนไหวและออกกําลังกาย
9) ส่งเสริมให้ปัสสาวะเป็นกรด เพื่อป้องกันการเกิดนิ่ว
14) ถ้าเป็นไปได้ให้แยกห้องผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนปัสสาวะออกจากผู้ป่วยที่ไม่ติดเชื้อ
8) อย่าปล่อยให้ปัสสาวะเต็มถุงรองรับ ควรเททิ้งอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง
7) รักษาระบบการระบายปัสสาวะให้เป็นระบบปิดอยู่เสมอ
6) ใช้สบู่อ่อนและน้ำหรือน้ำยาทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
5) ทําความสะอาดบริเวณฝีเย็บให้สะอาด วันละ 2 ครั้ง
4) Force oral fluid มากกว่า 2,000-3,000 mm/วัน
3) ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก Aseptic technique
2) ประเมินสัญญาณชีพ
1) ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ
17) รายงานแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ
16) ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
15) ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
8.4 ประเมินผลการพยาบาล
ภายหลังให้การพยาบาลควรมีการประเมินทุกครั้งตามเกณฑ์การประเมินผล
8.2 การวินิจฉัยทางการพยาบาล
8.1 การประเมิน
2) ตรวจร่างกายในระบบทางเดินปัสสาวะ
3)วิเคราะห์ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1) การซัก ประวัติแบบแผนและลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะปกติ