Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้ออื่น ๆ ขณะตั้งครรภ์INFECTION DURING PREGNANCY - Coggle Diagram
การติดเชื้ออื่น ๆ ขณะตั้งครรภ์INFECTION DURING PREGNANCY
Hepatitis A virus
HEPATITIS A VIRUS: HAV
เกิดจากการติดเชื้อ hepatitis A virus
ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคตับอักเสบเอ
ไวรัสจะผ่านกระเพาะไปยังลำไส้
จากนั้นประมาณ 15-50 วัน (เฉลี่ย 28 วัน) เชื้อจะกระจายเข้าสู่ตับ
ทำให้ตับเกิดการอักเสบเฉียบพลัน
อาการและอาการแสดง
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเหมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และปวดศีรษะ
มักไม่มีอาการของดีซ่าน
แต่หากตรวจพบน้าดีในปัสสาวะแสดงว่าตับมีการทางานผิดปกติ
ทำให้มีอาการตับเหลือง ตาเหลือง
ตรวจพบ alkaline phosphatase เพิ่มขึ้น
มีอาการ10-15วันจากนั้นจะเข้าสู่ระยะพักฟื้นและหายจากการเป็นโรค
ผู้ที่หายจากการเป็นโรคแล้วมักจะมีภูมิคุ้มกันและไม่เป็นพาหะไม่เป็นchronic hepatitis หรือ chronic liver disease
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
การตั้งครรภ์ไม่มีผลทาให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้น
หากมีการติดเชื้อHAV ขณะตั้งครรภ์ร่างกายมารดาจะสร้างantibody ต่อเชื้อHAV
สามารถผ่านไปยังทารกในครรภ์ได้ และมีผลคุ้มกันทารกไปจนถึงหลังคลอดประมาณ 6-9เดือนจากนั้นจะหมดไป
หากมีการติดเชื้อในระยะใกล้คลอดอาจมีการแพร่กระจายเชื้อไปยังทารกในระยะคลอดหรือระยะหลังคลอดได้
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติเกี่ยวกับการรับประทานอาหารการขับถ่ายการสัมผัสเชื้อโรค
การตรวจร่างกายตรวจพบลักษณะอาการทางคลินิกของการติดเชื้อHAV เช่น มีไข้ อ่อนเพลียเบื่ออาหารคลื่นไส้อาเจียนท้องอืดและอาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจหา antibody-HAV และ IgM-anti HAV และตรวจการทำงานของตับ
การป้องกันและการรักษา
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาการติดเชื้อ HAV ให้หายได้อย่างเด็ดขาด
เป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการที่ปรากฏ
แม้ว่าเชื้อ HAV จะไม่ผ่านรก แต่หากติดเชื้อในระยะใกล้คลอด ทารกมีโอกาสติดเชื้อหลังคลอดได้
อาจพิจารณาให้ immune serum globulin (ISG) ในรายที่สัมผัสเชื้อ หรือรายที่ต้องไปอยู่ในถิ่นที่มีการแพร่กระจายเชื้อ เพื่อป้องกันหรือลดความรุนแรงของ hep. A
ทารกที่คลอดจากมารดาที่มีการติดเชื้อในระยะใกล้คลอดควรได้รับ ISG ขนาด 0.5 mg ทันทีหลังคลอด
การพยาบาล
อธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับโรคการรักษาการดูแลตนเองที่เหมาะสมและการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
แนะนาเกี่ยวกับการปฏิบัติตัว
พักผ่อนอย่างเพียงพอ
รับประทานอาหารที่สุกสะอาดและย่อยง่ายและดื่มน้าให้เพียงพอ
มาตรวจตามนัดเพื่อประเมินสภาวะของสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อตับ:acetaminophen และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
Hepatitis B virus
HEPATITIS B VIRUS
เกิดจากการติดเชื้อ Hepatitis B virus
ทางเลือด น ้าลาย อสุจิ สิ่งคัดหลั่งทางช่องคลอด น ้านม และผ่านทางรก
เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์ตับจะแบ่งตัวได้รวดเร็วส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง โดยผู้ที่ติดเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการของตับอักเสบ
ทำให้ไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย แต่ตับยังคงมีการอักเสบเรื้อรังอย่างต่อเนื่อง
ทำให้กลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับในอนาคต
ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อ Hepatitis B virus ประมาณ 2.2–3ล้านคน
พบมากในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป
คาดว่ามีเด็กอายุต ่ากว่า 5 ปี ในประเทศไทยติดเชื้อจากมารดาสู่ทารกประมาณ 3,800ราย
พยาธิสรีรภาพ
ระยะแรก
เชื้อจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีอาการแสดงของการได้รับเชื้อและเอนไซม์ตับปกติ
ยังไม่มีการอักเสบของตับ ตรวจเลือดHBeAgpositiveและ Hepatitis B virus DNA (viral load) จำนวนมาก
ระยะที่สอง
เข้าสู่ระยะที่สองผู้ติดเชื้อจะมีอาการอ่อนเพลียคล้ายเป็นหวัด คลื่นไส้อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงจากตับโต ปัสสาวะเข้ม ตัวเหลืองตาเหลือง ตับเริ่มมีการอักเสบชัดเจน
ตรวจพบเอนไซม์ตับสูงขึ้น ในระยะนี้ร่างกายจะสร้าง anti-Hbeขึ้นมาเพื่อท าลาย HBeAgตรวจเลือดพบ anti-HBepositive และจ านวน Hepatitis B virus DNA ลดลง
ระยะที่สาม
anti-HBeท าลาย HBeAgจนเหลือน้อยกว่า 105 copies/mL (20,000 IU/mL) อาการตับอักเสบจะค่อย ๆ ดีขึ้น ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน และเข้าสู่ระยะโรคสงบ (inactive carrier)
ตรวจเลือดจะพบ HBeAgให้ผลลบ anti-HBeให้ผลบวก และค่าเอนไซม์ ตับปกติ
ระยะที่สี่
เชื้อกลับมามีการแบ่งตัวขึ้นมาใหม่ (re-activation phase) ทำให้เกิดการอักเสบของตับขึ้นมาอีก
ตรวจเลือดเลือดจะพบ HBeAgให้ผลลบ และ anti-HBeให้ผลบวก ในระยะนี้ถ้า anti-HBeไม่สามารถท าลาย HBeAgได้จนเหลือน้อยกว่า 105 copies/mL จะเข้าสู่ภาวะตับอักเสบเรื้อรังจนเนื้อตับเสียหาย มีพังผืดแทรกจนเป็นตับแข็งและกลายเป็นมะเร็งตับ
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดงไม่แตกต่างกับสตรีที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ เมื่อได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะฟักตัว 50-150 วัน (เฉลี่ย 120 วัน)
ระยะแรกผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ แต่ถ้ามีอาการจะเริ่มด้วยมีไข้ต ่า ๆ เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้อง
อาจปวดทั่วไปหรือปวดบริเวณชายโครงขวา คล าพบตับโต กดเจ็บ ปัสสาวะมีสีเข้มขึ้นเป็นสีชาแก่
ปลายสัปดาห์แรกจะเริ่มมีตาเหลืองตัวเหลือง
เมื่อถึงระยะนี้ไข้จะลดลง อาการทั่วไปจะดีขึ้นและจะหายเป็นปกติภายใน 2-4 สัปดาห์ มีบางส่วนกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
อาจมีภาวะตับวาย กลายเป็นมะเร็งตับและเสียชีวิตในที่สุด
โอกาสที่จะกลายเป็นมะเร็งตับเพิ่มขึ้นตามจำนวนเชื้อไวรัสในร่างกายและอายุ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่เป็นพาหะของ Hepatitis B virus แต่ไม่มีอาการแสดงของตับอักเสบจะไม่เสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนในขณะตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น
หากมีการติดเชื้อ Hepatitis B virus ในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์จะเพิ่มความเสี่ยงpreterm labor
ผลต่อทารก
LBW
DFU
Still birth
สตรีตั้งครรภ์ที่มีผล HBeAgpositive จะมีอัตราการถ่ายทอดเชื้อไวรัสจากสตรีตั้งครรภ์ไปสู่ทารกสูง
สามารถพัฒนาเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับในอนาคต
สตรีตั้งครรภ์ที่มีผล HBeAgnegative
การพยาบาลระยะตั้งครรภ์
ตรวจคัดกรองสตรีตั้งครรภ์ทุกคนว่าเป็นพาหะของโรคหรือไม่
หากผลการตรวจพบ HBsAg และ HBeAgpositive แสดงว่ามีการติดเชื้อและอยู่ในระยะที่มีอาการ แนะน าให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่มีไขมันต ่า ย่อยง่าย ให้พลังงานสูง
ให้ค าแนะน าแก่สตรีตั้งครรภ์เกี่ยวกับสาเหตุ การติดต่อ การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ การด าเนินของโรค แผนการรักษาพยาบาลที่จะให้แก่สตรีตั้งครรภ์และทารกแรกเกิด พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้สตรีตั้งครรภ์ได้ระบายความรู้สึกกลัว วิตกกังวลเพื่อคลายความวิตกกังวล
ธิบายแก่สตรีตั้งครรภ์เข้าใจและตระหนักถึงความส าคัญของการมาตรวจตามนัด
เพื่อค้นหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ และแนะน าการสังเกตการณ์ดิ้นของทารกในครรภ์ อาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น หากพบต้องรีบมาโรงพยาบาลทันที
ในรายที่มีการติดเชื้อเรื้อรัง แนะน าการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ การป้องกันการติดเชื้อซ ้าซ้อน
การพยาบาลระยะคลอด
ให้ผู้คลอดนอนพักบนเตียงและให้การดูแลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป ประเมิน FHS ติดตามความก้าวหน้าของการคลอด และสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ
หลีกเลี่ยงARM และการPV เพื่อป้องกันถุงน ้าคร ่าแตกก่อนเข้าสู่ระยะที่ 2ของการคลอด
เมื่อศีรษะทารกคลอด ดูดมูก เลือดและสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ ออกจากปากและจมูกของทารกให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการท าให้เกิดรอยถลอกหรือบาดแผลบริเวณผิวหนังของทารก
ท าความสะอาดทารกทันทีที่คลอด เพื่อลดการสัมผัสกับเชื้อที่อยู่ในเลือดและสารคัดหลั่ง
ดูแลให้ทารกได้รับภูมิคุ้มกันภายหลังคลอด โดยฉีด HBIG ให้เร็วที่สุดหลังเกิด และให้ HBV 3 ครั้ง ให้ครั้งแรกภายใน 12 ชม.-1 สัปดาห์แรกหลังคลอด หรืออาจให้พร้อม HBIG และให้ครั้งที่ 2และ 3เมื่ออายุครบ 1และ 6เดือน ตามล าดับ
ให้การดูแลผู้คลอดโดยยึดหลักการป้องกันการแพร่กระจายเชื้ออย่างเคร่งครัด
การพยาบาลระยะหลังคลอด
ไม่จ าเป็นต้องงดให้นมมารดาแก่ทารก
เนื่องจากอัตราการถ่ายทอดเชื้อจากมารดาสู่ทารกผ่านน ้านมพบได้น้อยมาก
แต่หากมารดาหลังคลอดมีหัวนมแตกและมีการอักเสบติดเชื้อของหัวนม อาจแนะน าให้งดให้บุตรดูดนมเพราะอาจแพร่กระจายเชื้อสู่ทารกได้
แนะน าการปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดทั่วไป
เน้นการรักษาความสะอาดของร่างกาย การป้องกันการปนเปื้อนของเลือดหรือน ้าคาวปลา การล้างมือให้สะอาดก่อนการดูแลทารก
เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และการดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
แนะน าให้น าทารกมารับวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และน าบุตรมาตรวจตามนัดเพื่อติดตามอาการและป้องกันการติดเชื้อ
Rubella or German measles
RUBELLA/GERMAN MEASLES
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ rubella virus (germanmeasles virus)
ติดต่อผ่านทางเดินหายใจ มีระยะฟักตัว 14-21 วัน
ระยะติดเชื้อ 7 วันก่อนผื่นขึ้นและ 4 วันหลังผื่นขึ้น
หากสตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อหัดเยอรมันในระยะ 3-4 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เชื้อไวรัสจะสามารถผ่านไปยังทารก
ท าให้ทารกเกิดความพิการแต่ก าเนิดที่รุนแรงได้
พยาธิสรีรภาพ
กลุ่มไม่มีอาการทางคลินิก
ตรวจพบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหัดเยอรมันอย่างเดียว และกลายเป็นพาหะของโรคต่อไป
กลุ่มที่มีอาการทางคลินิก
มีผื่นที่ใบหน้า ลามไปที่ล าตัวและแขนขา
ทั้งสองกลุ่มสามารถท าให้ทารกเกิดการติดเชื้อได้
เชื้อหัดเยอรมันจะเข้าไปท าลายผนังหลอดเลือดและเนื้อรกท าให้เนื้อรกและหลอดเลือดกลายเป็นเนื้อตาย
เชื้อจะเข้าไปในเซลล์ตัวอ่อนทารกที่ก าลังแบ่งตัว ท าให้เซลล์ติดเชื้อ ส่งผลให้เซลล์เจริญเติบโตช้ากว่าปกติ
ความรุนแรงของความพิการจะลดลงตามอายุครรภ์ที่มารดาเกิดการติดเชื้อ และความพิการในทารกจะลดลงมากหรือไม่พบเลยถ้าการติดเชื้อเกิดหลังGA 16 wk.
การป้องกันและการรักษา
ให้ภูมิคุ้มกันเนื่องจากเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง คุ้มกับค่าใช้จ่าย
ควรเน้นการฉีดวัคซีนในเด็กหญิง สตรีวัยเจริญพันธุ์ และคัดกรองหารายที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพื่อให้วัคซีน
ทารกแรกเกิดที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมัน ภายหลังคลอดต้องเก็บเลือดจากสายสะดือส่งตรวจเพื่อยืนยันการติดเชื้อและตรวจร่างกายอย่างละเอียด
การพยาบาล
ให้วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อเยอรมันแก่สตรีวัยเจริญพันธุ์ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนมาก่อน
ในสตรีที่มาฝากครรภ์ควรตรวจดูว่ามีภูมิคุ้มกันหรือไม่ หากยังไม่มีภูมิคุ้มกันแนะน าให้สตรีตั้งครรภ์หลีกเลี่ยงการเข้าชุมชนในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อหัดเยอรมัน หรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นพาหะของเชื้อหัดเยอรมัน
แนะน าให้มาฝากครรภ์อย่างสม ่าเสมอ และมารับการตรวจที่โรงพยาบาลทันทีที่สงสัยส่ามีการติดเชื้อหัดเยอรมัน
ประเมินสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์เกี่ยวกับการได้รับภูมิคุ้มกันโรคหัดเยอรมัน การสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรค และอาการแสดงของโรค
เปิดโอกาสให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวได้ระบายความรู้สึกและซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับผลของการติดเชื้อต่อสุขภาพของตนเองและทารกในครรภ์
อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจ การด าเนินของโรค ผลของโรคต่อการตั้งครรภ์และต่อทารกในครรภ์ และการรักษาพยาบาล
เพื่อให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวตัดสินใจเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์
กรณีที่ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ เตรียมร่างกายและจิตใจของสตรีตั้งครรภ์ให้พร้อมส าหรับการท าแท้งเพื่อการรักษา
รายที่ตัดสินใจด าเนินการตั้งครรภ์ต่อ และคลอดทารกที่มีความพิการ ดูแลด้านจิตใจของมารดาและครอบครัว
สตรีที่ไม่มีภูมิคุ้มกันหรือไม่เคยฉีดวัคซีน ควรได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันหัดเยอรมันหลังคลอดทุกราย และหลังการให้วัคซีนจะต้องคุมก าเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน
สุกใส (VARICELLA-ZOSTER VIRUS: VZV)
VARICELLA-ZOSTER VIRUS: VZV
•สกุใสหรอื โรคสกุใส(chickenpox)เป็นโรคท่ีเกิดจากการติดเชือ้ไวรัสช่ือVaricella-zoster virus (HZV)
เป็นเชื้อเดี่ยวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด
•สามารถติดตอ่ไดห้ลายทางการสมัผสัถกูตมุ่นา้โดยตรงของใช้ที่ปนเปื้อนเชือ ตุ่มน้ำของคนท่ีเป็นสุกใสหรือสูด
หายใจเอาละอองเชือ้โรคของตมุ่นา้ผ่านเขา้ไปทางเย่ือเมือกบทุางเดินหายใจ
ความพิการของทารกในครรภ์มักพบในกรณีที่สตรีตั้งครรภ์มีการติดเชื้อในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือกบุทางเดินหายใจ
มีระยะฟักตัวนาน 10-20วัน
โรคสุกใสเกิดขึ้นตั้งแต่แรกคลอด จะเรียกว่า congenital varicella syndrome
เกิดจากการติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยมารดาติดเชื้อไวรัสสุกใสขณะตั้งครรภ์
มีผลต่อความพิการของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดเชื้อในช่วง 3 เดือน ของการตั้งครรภ์ ซึ่งส่งผลต่อความพิการของทารกในครรภ์ได้สูง
อาการและอาการแสดง
มีไข้ต ่า ๆ น ามาก่อนประมาณ 1-2วันแล้วค่อยมีผื่นขึ้น
ผื่น และตุ่ม มักจะขึ้นตามไรผม หรือหลังก่อน
เป็นตุ่มน ้าใสๆ บนฐานสีแดง เหมือนหยาดน ้าค้างบนกลีบกุหลาบ (dewdrops on a rose petal)
มีอาการปวดเมื่อยตามตัวร่วมด้วย คล้ายอาการของไข้หวัดใหญ่
อาจมีต่อมน ้าเหลืองที่คอ และหลังหูโตขึ้น จนคล าได้ก้อนกดเจ็บ
อาจจะมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
ผลกระทบ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ในผู้ใหญ่มักจะมีอาการรุนแรงมากกว่าเด็ก
ในสตรีตั้งครรภ์ ภูมิคุ้มกันลดลงจากการตั้งครรภ์ ความรุนแรงของการติดเชื้อสุกใสมากขึ้น โดยเฉพาะในระยะอายุครรภ์ใกล้ครบก าหนดคลอดจะยิ่งอันตราย
ร้อยละ 40จะมีปัญหาภาวะปอดอักเสบ หรือปอดบวม ท าให้ระบบหายใจล้มเหลว
อาจจะมีอาการทางสมอง ท าให้ซึมลง และมีอาการชัก
ท าให้เสียชีวิตได้ทั้งแม่ และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อทารก
Pregnancy Infection
ทารกในครรภ์มีโอกาสติดได้ร้อยละ 10เท่ากันทุกไตรมาส
ไตรมาสแรก ทารกเกิดความพิการก่อนก าเนิดได้
ความผิดปกติของตา (ต้อกระจก)
สมอง (ปัญญาอ่อนศีรษะขนาดเล็ก เนื้อสมองเหี่ยวลีบ)
แขนขาลีบเล็ก
ผิวหนังผิดปกติ (แผลเป็นตามตัว)
Still birth
Preterm labor
การติดเชื้อปริกาเนิด
ติดเชื้อผ่านทางมดลูก และช่องทางคลอด
ความเสี่ยงสูงในรายที่สตรีตั้งครรภ์ตมีการติดเชื้อสุกใสในระยะก่อนคลอด 5 วัน และหลังคลอด 2 วัน
เนื่องจากหากเป็นโรคก่อนคลอด 5 วัน จะยังไม่มีภูมิคุ้มกัน (antibody) ที่จะส่งไปช่วยป้องกันในทารก
ถ้าอาการเกิดใน 2 วันหลังคลอด แสดงว่าปริมาณเชื้อสูงตั้งแต่ช่วงที่คลอด และทารกได้รับเชื้อไปตั้งแต่ก่อนคลอดแล้ว
อัตราเสียชีวิตของทารกที่ติดเชื้อร้อยละ 20-30
การพยาบาลระยะก่อนตั้งครรภ์
แนะน าให้สตรีวัยเจริญพันธุ์ที่วางแผนตั้งครรภ์ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันสุกใสก่อนการตั้งครรภ์
หลีกเลี่ยงการรับวัคซีนในระยะตั้งครรภ์ หรือการเว้นระยะการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนภายหลังการฉีดวัคซีน
นื่องจากวัคซีนสุกใสที่ได้รับเป็นวัคซีนที่มีชีวิต หากเกิดการตั้งครรภ์ในช่วงเวลาดังกล่าวอาจท าให้เกิดความพิการของทารกในครรภ์ได้
การพยาบาลระยะตั้งครรภ์
แนะน าให้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง วิตามินซีสูง รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค อธิบายให้เข้าใจถึงภาวะของโรค การแพร่กระจายเชื้อและการปฏิบัติตน
เปิดโอกาสให้ระบายความรู้สึก เพื่อลดความวิตกกังวลของสตรีตั้งครรภ์และครอบครัว รวมถึงแนะน าแหล่งสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง
การพยาบาลระยะคลอด
ให้การดูแลในระยะคลอดเหมือนผู้คลอดทั่วไป
เน้นหลัก Universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ขณะรอคลอด และขณะคลอด ควรแยกห้องคลอด และอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่าง ๆ
ขณะคลอดควรดูดเมือกออกจากปากและจมูกทารกโดยเร็ว
ท าความสะอาดร่างกายทันทีหลังคลอด
การพยาบาลระยะหลังคลอด
หากมารดามีอาการ แยกทารกแรกเกิดจากมารดาในระยะ 5วันแรกหลังคลอด
ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค โดยการใช้หลัก universal precaution
หากพ้นระยะการติดต่อ มารดาตกสะเก็ดแล้ว สามารถแนะน าเกี่ยวกับการให้ BF ได้
แนะน าการรับประทานอาหารโปรตีนและวิตามินซีสูง พักผ่อนเพียงพอ ออกก าลังกายสม ่าเสมอ
ดูแลให้ทารกรับวัคซีน VariZIGแก่ทารกแรกเกิดทันที หากมารดาการติดเชื้อในช่วง 5วันก่อนคลอดถึง 2วันหลังคลอด และประเมินภาวะการติดเชื้อของทารก
เน้นย ้าให้เห็นความส าคัญของการมาตรวจตามนัด และมาพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ
Cytomegalovirus: CMV
CYTOMEGALOVIRUS: CMV
ได้รับเชื้อทางการให้เลือด การสัมผัสทางปาก หรือทางเพศสัมพันธ์
ส่วนใหญ่มักได้รับเชื้อ CMV ตั้งแต่วัยเด็ก
เมื่อไวรัส CMV ถูกกระตุ้นขณะตั้งครรภ์ หรือเมื่อสตรีตั้งครรภ์มีการติดเชื้อซ ้า
เชื้อไวรัสก็จะแพร่ไปสู่ทารกในครรภ์ได้ หรือเกิดขึ้นได้เมื่อมีการติดเชื้อไวรัส CMV ครั้งแรก
การติดเชื้อ CMV พบมากในกลุ่มประเทศก าลังพัฒนา ในกลุ่มประชากรที่มีเศรษฐานะต ่า
พยาธิสรีรภาพ
เชื้อ CMV ติดต่อเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ทารกได้รับเชื้อจากมารดาในระยะตั้งครรภ์ คลอด ระยะให้นม การถ่ายเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะ เพศสัมพันธ์ การหายใจ (โดยสัมผัสละอองฝอยในอากาศ) และการสัมผัส (โดยสัมผัสน ้าลาย ปัสสาวะ)
การติดเชื้อ CMV ก่อให้เกิดอาการโรคที่รุนแรงในกลุ่มเสี่ยง
การติดเชื้อในทารกในครรภ์ คนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดเปลื่ยนอวัยวะ(organ transplant recipients) และผู้ติดเชื้อ
อาการและอาการแสดง
mononucleosis syndrome : ไข้สูงนาน ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการ ปอดบวม ตับอักเสบและอาการทางสมอง
ตรวจได้จากปัสสาวะภายใน 2สัปดาห์หลังคลอด
อาการในเด็กทารกมีตั้งแต่อาการอย่างอ่อน ถึงอาการที่รุนแรงทางสมองและระบบประสาท
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ขณะตั้งครรภ์ระบบภูมิคุ้มกันจะลดลง
ไวรัส CMV ที่แฝงตัวอยู่ มีการติดเชื้อซ ้า หรือติดเชื้อใหม่ในขณะตั้งครรภ์ จะมีท าให้การด าเนินของโรครุนแรงขึ้น
ผลกระทบต่อทารก
Fetus: Abortion, IUGR , fetal distress, prematurity, LBW, DFU, still birth
NB: อาจไม่มีอาการแสดงใด จนถึงมีอาการรุนแรง hepatosplenomegaly, thrombocytopenia, petechiae, microcephaly, chorioretinitis, hepatitis และ sensorineural hearing loss
การพยาบาล
การพยาบาลระยะตั้งครรภ์
ซักประวัติ เพื่อคัดกรองสตรีตั้งครรภ์ทุกรายเกี่ยวกับการเจ็บป่วยติดเชื้อ CMV ในอดีต
อธิบายสตรีตั้งครรภ์และครอบครัวทราบเกี่ยวกับโรค สาเหตุ อาการและอาการแสดง การด าเนินของโรค ผลกระทบ และแผนการรักษาพยาบาล รวมถึงเปิดโอกาสให้ซักถาม เพื่อให้เกิดความเข้าใจ คลายความวิตกกังวล และให้ความร่วมมือในการรักษา
แนะน าและเน้นย ้าให้เห็นความส าคัญของการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อเช่น การงดมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์
การพยาบาลระยะคลอด
ในขณะรอคลอด และขณะคลอด ควรแยกห้องคลอด และอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่าง ๆ
ขณะคลอดควรดูดเมือกออกจากปากและจมูกทารกโดยเร็ว
ท าความสะอาดร่างกายทันทีหลังคลอด
ระยะหลังคลอด
ให้การดูแลในระยะหลังคลอดเหมือนมารดาทั่วไป โดยเน้นหลัก Universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
งดให้นมมารดา หากมารดาหลังคลอดมีการติดเชื้อ
แนะน าการปฏิบัติตนหลังคลอด เน้นย ้าเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดและความส าคัญของการมาตรวจตามนัดหลังคลอด
แนะน าให้สังเกตอาการผิดปกติของทารกที่ต้องรีบพามาพบแพทย์
การติดเชื้อโปรโตซัว(TOXOPLASMOSIS)
การติดเชื้อโปรโตซัว(TOXOPLASMOSIS)
การติดเชื้อที่เกิดจากปรสิตคือToxoplasma gondii เป็นโปรโตซัวชนิดอาศัยในเซลล์โดยติดเชื้อได้ทั้งในคนและสัตว
มีพาหะหลักคือ แมว ส่วนพาหะชั่วคราวคือ หนู กระต่าย แกะ รวมทั้งคน
การติดต่อเกิดขึ้นได้โดยการรับประทานผัก หรือผลไม้ที่ปนเปื้อนดินที่มี oocyte ของเชื้อซึ่งขับออกมาปนกับอุจจาระแมว หรือจากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อปรุงไม่สุก
การติดเชื้อนี้มักหายได้เองหรือไม่มีอาการ ยกเว้นในกลุ่มคนที่มีความบกพร่องของภูมิต้านทาน ทารกในครรภ์และเด็กแรกเกิดซึ่งภูมิต้านทานยังไม่สมบูรณ์ หรืออาจท าให้เกิดโรคทาง retina ในผู้ใหญ่
โดยทั่วไปการติดเชื้อในคนมักไม่มีอาการ แต่การติดเชื้อในทารกในครรภ์อาจก่อให้เกิดความพิการรุนแรงได้
อาการและอาการแสดง
Pregnancy
Abortion
Preterm labor
Chorioamnionitis
PROM
Placenta abruption
Fetus & NB
Fetal infection
Neonatal infection
•fever
•Seizures
•Microcephaly
•Chorioretinitis
•Cerebral calcification
ตับและม้ามโต
ตาและตัวเหลือง
ทารกมักเสียชีวิตหลังคลอด
ทารกที่ติดเชื้อ สมองและตาจะถูกท าลาย
การพยาบาล
การพยาบาลระยะตั้งครรภ์
ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเปิดโอกาสให้ซักถาม และให้ก าลังใจในการรักษา
ติดตามผลการตรวจเลือด
เน้นการรักษาอย่างต่อเนื่อง การรับประทานยา และการสังเกตอาการข้างเคียงของยา
แนะน าเกี่ยวกับการสัมผัสเชื้อ
การพยาบาลระยะคลอด
ให้การดูแลในระยะคลอดเหมือนผู้คลอดทั่วไป โดยเน้นหลัก Universal precaution
ในขณะรอคลอด และขณะคลอด ควรแยกห้องคลอด และอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่าง ๆ
ภายหลังทารกคลอดเช็ดตาด้วย 0.9%NSS เช็ดตาทันที
จากนั้นป้ายตาด้วย 1% tetracycline ointment หรือ 0.5% erythromycin ointment หรือ 1% Silver nitrate (AgNO3) หยอดตาตาทารก หลังคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ตา
การพยาบาลระยะหลังคลอด
เฝ้าระวังการตกเลือดและการติดเชื้อหลังคลอด
แนะน าการปฏิบัติตนหลังคลอด เน้นเรื่องการรักษาความสะอาด การมาตรวจตามนัด การสังเกตอาการผิดปกติของทารก ต้องรีบพามาพบแพทย์
Zika Virus: ZIKV
ZIKA
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อฟลาวิไวรัส (Flavivirus)
มียุงลายเป็นพาหะน าโรค ซึ่งเป็นยุงชนิดเดียวกับที่เป็นพาหะน าโรค โรคไข้เลือดออก โรคไข้ปวดข้อยุงลาย (Chikungunya)
สามารถติดต่อได้โดยการถูกยุงลายที่มีเชื้อกัด และโรคนี้ยังสามารถติดต่อ จากคนสู่คนได้โดยผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์
มีระยะฟักตัว 3-12 วัน ก่อนแสดงอาการ
พบเชื้อนี้ในน ้าอสุจิได้นาน 6 เดือน
อาการและอาการแสดง
เมื่อได้รับเชื้อระยะฟักตัวอยู่ที่ประมาณ 3-12 วัน
อาการไข้ ผื่นแดง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน ประมาณ 2-7 วัน ไม่รุนแรงเท่าโรคไข้เลือดออก
ส่วนน้อยมีภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท และระบบภูมิคุ้มกัน
ยกเว้นในสตรีตั้งครรภ์ซึ่งอาจจะส่งผลให้ทารกที่คลอดมามีศีรษะเล็กกว่าปกติ(microcephalus) โดยเฉพาะการติดเชื้อนี้ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก์
Pregnancy
มักแสดงอาการมากในไตรมาสที่ 3
ผื่นขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ผื่นหลังคลอด
ไข้ หนาวสั่นรู้สึกไม่สุขสบาย ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อตึงตัว อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ตัวตาเหลืองชา อัมพาตครึ่งซีก ปวดศีรษะ ตาแดงและเยื่อบุตาอักเสบ ต่อมน ้าเหลืองโต ปวดตามร่างกาย ซีด บวม ตามปลายมือปลายเท้าคลื่นไส้ อาเจียน เลือดออกตามผิวหนัง และอาการทางระบบทางเดินหายใจ
Fetus & NB
IUGR
DFU
Still birth
Neonatal dead
Microcephalus
มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท ตาและการมองเห็น
การพยาบาล
ให้ค าแนะน าในการป้องกันสาเหตุและปัจจัยที่ท าให้เกิดโรคติดเชื้อไวรัสซิกา อาการและอาการแสดงของโรค ความรุนแรงของโรค วิธีการปฏิบัติเมื่อสงสัยว่าบุคคลในบ้านป่วยเป็นโรคโดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์ และการป้องกันโรค รวมทั้งการสร้างความตระหนักถึงความรุนแรง ของโรคติดเชื้อไวรัสซิกา
การติดเชื้อในระยะตั้งครรภ์
การติดเชื้อในระยะตั้งครรภ์
อธิบายเกี่ยวกับการด าเนินของโรค สาเหตุ อาการและอาการแสดง ผลกระทบ การวินิจฉัย และการดูแลรักษา
ประเมินV/S : Temp.หากมีไข้ดูแลให้ได้รับยาลดไข้ตามแผนการรักษา และไม่ควรรับประทานยากลุ่ม NSAID จะท าให้เกิดภาวะเลือดออกในอวัยวะภายในได้
ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์: FHS, Fetal movement, การวัดHFการส่งตรวจและติดตามผลการท าNST, U/S
เน้นย ้าการมาตรวจครรภ์ตามนัด เพื่อประเมินสุขภาพของมารดาและทารกในครรภ์
การดูแลในระยะคลอดให้การดูแลเหมือนผู้คลอดทั่วไป ทั้งนี้ให้ยึดหลัก universal precaution เมื่อทารกคลอด ให้รีบดูดน ้าคร ่าและสารคัดหลั่งที่อยู่ในคอ ช่องปาก และจมูกของทารกออกมาให้สะอาด
ตรวจร่างกายทารกแรกเกิด ประเมินสภาพร่างกายทั่วไปโดยเฉพาะการวัด HC หาก < 33 cms. ให้รีบรายงานกุมารแพทย์ทราบ
การดูแลมารดาหลังคลอดให้การดูแลเหมือนมารดาทั่วไป เน้นย ้าการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินสูง ในแม่ที่พ้นระยะการติดเชื้อสามารถให้เลี้ยงนมมารดาได้ นอกจากนี้ควรย ้าให้เห็นความส าคัญของการน าทารกมาตรวจตามนัด และหากทารกมีอาการผิดปกติให้มาพบแพทย์ทันที
COVID-19 Virus
COVID-19 DURING PREGNANCY
โรคโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ที่ระบาดได้รวดเร็วจนแพร่กระจายทั่วโลก
เกิดจากเชื้อไวรัสตระกูล Corona ชื่อ SARS-CoV-2
การติดต่อส่วนใหญ่ผ่านทางสัมผัสละอองฝอยจากการไอ หรือจาม
อาการของโรคคล้ายกับไข้หวัดใหญ่
อาการและอาการแสดง
ไม่แสดงอาการใด ๆ
อุณหภูมิร่างกายตั้งแต่37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือให้ประวัติว่ามีไข้ในการป่วยครั้งนี้
ร่วมกับมีอาการของระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ไอ น ้ามูก เจ็บคอ หายใจติดขัด หรือหายใจล าบาก
ผลกระทบต่อการสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์ท าให้การด าเนินของโรครุนแรงขึ้นเนื่องจากภูมิต้านของร่างกายขณะตั้งครรภ์ลดต ่าลง : severe URI, pneumonia, respiratory failure
Preterm labor
Amnionitis, chorionitis, chorioamnionitis
PROM
Placenta infraction/necrosis
Placenta abruption
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
IUGR
LBW
premarutiry
Neonatal withCOVID-19
อาจตรวจพบการติดเชื้อได้ในทันทีหลังคลอด หรือตรวจพบภายใน 7 วันหลังคลอดได้
การแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์อยู่ระหว่างการศึกษา
การพยาบาล
การดูแลและการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์และมารดาหลังคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ COVID-19
หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ที่มีอาการไอ เป็นไข้ หรือผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือรวมกลุ่มกันเป็นจ านวนมาก
Social distancing
หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตา ปาก และจมูก
รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ หรือปรุงอาหารให้สุกร้อนทั่วถึง
หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะรับประทานอาหารและของใช้ส่วนตัว ร่วมกับผู้อื่น
ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน ้าสะอาดนานอย่างน้อย 20 วินาที ทุกครั้งที่มีการไอจาม สัมผัสสิ่งแปลกปลอม ก่อนรับประทานอาหาร หรือออกจากห้องน ้า หากไม่มีสบู่ ให้ใช้แอลกอฮอล์เจล 70 %
ขณะไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ถ้ามีอาการไอ จาม ให้ใช้ต้นแขนด้านบนปิดปากทุกครั้ง
สตรีตั้งครรภ์และมารดาหลังคลอดทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ หรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หากมีอาการป่วยเล็กน้อย ควรพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ถ้ามีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจเหนื่อย ควรรีบไปพบแพทย์
เน้นย ้าให้สตรีตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตามนัดได้ตามปกติ หากมีอาการผิดปกติให้มาพบแพทย์ก่อนวันนัด
การดูแลสตรีตั้งครรภ์ มารดาหลังคลอด ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีประวัติการเดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง หรือสัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ป่วย COVID-19
แยกตนเองออกจากครอบครัว และสังเกตอาการจนครบ 14วัน งดการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
งดการออกไปในที่ชุมชนสาธารณะโดยไม่จ าเป็น และงดการพูดคุย หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นในระยะใกล้กว่า 2เมตร
กรณีครบก าหนดนัดฝากครรภ์ ต้องแจ้งพยาบาลผดุงครรภ์ให้ทราบว่าตนเองอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง 14วัน เพื่อพิจารณาเลื่อนการฝากครรภ์ และปฏิบัติตามค าแนะน าของเจ้าหน้าที่
กรณีเจ็บครรภ์คลอด ต้องไปโรงพยาบาลทันที และแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบว่าตนเองอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง 14วัน
การดูแลทารกแรกเกิด ในกรณีมารดาเป็นผู้ที่สงสัยติดเชื้อและติดเชื้อ COVID-19 ยังไม่มีหลักฐานการติดต่อผ่านทางรกหรือผ่านทางน ้านมแต่อย่างใด ทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ COVID-19 จัดเป็นผู้มีความเสี่ยง จะต้องมีการแยกตัวออกจากผู้อื่น และต้องสังเกตอาการเป็นเวลา 14วัน บุคลากรทางการแพทย์ ควรอธิบายถึงความเสี่ยง ความจ าเป็น และประโยชน์ ของการแยกแม่ออกจากทารกชั่วคราว ให้เข้าใจและปฏิบัติตาม
แนวทางการปฏิบัติในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เมื่อค านึงถึงประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการในการแพร่เชื้อไวรัสผ่านทางน ้านม ดังนั้นจึงสามารถกินนมแม่ได้ โดยปฏิบัติตามแนวทางป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด
ข้อแนะน าการปฏิบัติส าหรับมารดาหลังคลอด ในกรณีแม่เป็นผู้ที่สงสัยว่าจะติดเชื้อ หรือมารดาที่ติดเชื้อ COVID-19 แล้ว และมีสภาพร่างกายพร้อมที่จะปั๊มนมได้ ควรปฏิบัติ
ก่อนเริ่มกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเตรียมนมและการปั๊มนม
อาบน ้าหรือเช็ดท าความสะอาดบริเวณเต้านมและหัวนมด้วยน ้าและสบู่
ล้างมือให้สะอาดด้วยน ้าและสบู่นานอย่างน้อย 20วินาที หรือแอลกอฮอล์เข้มข้น 70% ขึ้นไป
สวมหน้ากากอนามัย ตลอดการท ากิจกรรมเกี่ยวกับการเตรียมนม และการปั๊มนม
หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเตรียมนมและการปั๊มนม
ล้างท าความสะอาดอุปกรณ์ เช่น ที่ปั๊มนม ขวดนม ด้วยน ้ายาล้างอุปกรณ์ และท าการนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อ
การให้นม ควรให้ผู้ช่วยเหลือ หรือญาติที่มีสุขภาพแข็งแรงที่ทราบวิธีการป้อนนมที่ถูกต้อง และต้องปฏิบัติตามวิธีการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด โดยวิธีการน าน ้านมแม่มาป้อนด้วยการใช้ช้อน หรือถ้วยเล็ก หรือขวด กรณีที่แม่ต้องอยู่เพียงล าพัง มารดาสามารถป้อนนมลูกได้เอง โดยต้องปฏิบัติตามแนวทาง เพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด