อาหารตามธาตุ
กับวัฒนธรรมจีน image

ข้อมูลทั่วไป

อาหารตามธาตุ
กับวัฒนธรรมจีน

วัฒนธรรรมจีน

ประเทศจีน

ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของทวีปเอเชีย มีพื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร นับว่าเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชียมีพรมแดนติดต่อประเทศต่าง โดยรอบ 15 ประเทศ ได้แก่เกาหลีเหนือ รัสเซีย มองโกเลีย คาซัคสถาน เคอร์กิซสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินเดีย เนปาล สิกขิม ภูฐาน พม่า ลาว และเวียดนาม โดยมีเส้นพรมแดนทางบกยาวกว่า 2 หมื่นกิโลเมตรขณะที่ทิศตะวันออกและทิศใต้จดทะเลเหลือง ทะเลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้มีชนชาติต่างๆอยู่รวมกัน 56ชนชาติ โดยเป็นชาวฮั่น ร้อยละ 93.3 ที่เหลือเป็นชนกลุ่มน้อยอื่นๆที่สำคัญ ได้แก่ ชนเผ่าจ้วง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตปกครองตนเองกวางสีและมณฑลยูนนาน

ประเพณีจีน

เป็นเทศกาลที่ถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อ อันเป็นจุดกำเนิดของชาวจีนเช่น เทศกาลกินเจ จุดประสงค์ของการกินเจ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ กินเพื่อสุขภาพ กินด้วยจิตเมตตากินเพื่อเว้นกรรมเทศกาลเช็งเม้ง เป็น การไหว้บรรพบุรุษที่สุสาน ฮวงซุ้ย(แต้จิ๋ว) หรือ บ่องซุ่ย(ฮกเกี้ยน) เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ เป็นต้น

วัฒนธรรมจีน

อาหารจีน

นิยมรับประทานอาหารจานผักและธัญพืชเป็นหลัก

นอกจากในราชสำนักที่จะมีอาหารประเภทเนื้อเป็นหลัก อุปกรณ์การกินหลัก คือตะเกียบ

มีอาหารจีน 2 ตระกูลใหญ่ คืออาหารเมืองเหนือ และเมืองใต้

มีการแบ่งอาหารเป็น 8ตระกูลใหญ่

ได้แก่

อาหารซันตง (鲁菜-หลู่ไช่) อาหารเจียงซู (苏菜-ซูไช่)

อาหารกวางตุ้ง (粤菜-เย่ว์ไช่) อาหารเสฉวน (川菜-ชวนไช่)

อาหารอันฮุย (徽菜-ฮุยไช่) อาหารฮกเกี้ยน (闽菜-หมิ่นไช่)

อาหารหูหนัน (湘菜-เซียงไช่) อาหารเจ้อเจียง (浙菜-เจ้อไช่)

อาหารบ่งชี้ชนชั้น

นอกจากอาหารจะสะท้อนความเชื่อ ความหมายอันแฝงไว้ซึ่งความเป็นมงคล มันจึงยังเป็นการแสดงสถานะทางสังคมรูปแบบหนึ่งในวัฒนธรรมจีน อาหารจึงเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและสถานะทางสังคม แสดงถึงตัวตนของผู้กิน

การแพทย์และยาแผนจีน

การแพทย์แผนโบราณของจีน

คนจีนมีความเชื่อพื้นฐานว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติซึ่งประกอบขึ้นจากธาตุหยินและหยาง หากสภาพความสมดุลของหยินและหยางถูกทำลาย ก็ย่อมทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้น ด้วยเหตุนี้การวินิจฉัยโรคของการแพทย์แผนจีน จึงให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านเวลาสิ่งแวดล้อมและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลมาก

รักษาของการแพทย์แผนจีน

แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ

การรักษาภายในด้วยการรับประทานยาและการรักษาภายนอกด้วยยาทา

วิธีการรักษาโดยไม่ใช้ยาแบบอื่น

การฝังเข็ม ทฤษฎีพื้นฐานของวิชาการฝังเข็มก็คือทฤษฎีเส้นทางการไหลเวียนของเลือดลมภายในร่างกาย

การรักษาโดยวิธีการฝังเข็มโดยทั่วไปมักจะเลือกฝังเข็มบนจุดลมปราณที่อยู่บนเส้นทางการไหลเวียนของเลือดลมต้องจำแนกว่าอาการดังกล่าวจัดเป็น
อาการที่เกิดจากภายนอกหรือภายใน เกิดจากความหนาวหรือความร้อนหรือเกิดจากความแกร่งหรือความพร่อง

ทฤษฎีธาตุห้าวัฒนธรรมอาหารจีน

ชาวจีนเชื่อว่าอาหารที่ดี ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ให้ท้องอิ่มหรือรสชาติดีเป็นสำคัญ

การกินจึงต้องคำนึงถึงฤดูกาล สภาพแวดล้อม อากาศ และอาหารที่ให้ฤทธิ์ร้อน-เย็น รวมทั้งรสชาติที่ส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายและอาหารทำหน้าที่เป็นยาป้องกันและรักษา อันมาจากความเชี่อที่ว่านอกเหนือจากเชื้อโรคและปัจจัยภายนอก ความเจ็บป่วยจึงเป็นเรื่องของสมดุลธาตุในร่างกายเป็นหลัก

แต่ ต้องทำหน้าที่เป็นยา การปรุงอาหารจึงต้องรู้หลักความสมดุลหยิน-หยาง และให้ความสำคัญกับธาตุทั้ง 5 จากความเชื่อที่ว่า ‘ฟ้า ดิน และมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกัน’ คือธาตุที่ประกอบด้วยไม้ ไฟ ดิน โลหะ และน้ำ
อันหมายถึงลมปราณทั้ง 5 ที่ต้องสอดประสานไปกับธรรมชาติ

ความเชื่อเกี่ยวกับวัฒนธรรมอาหารจีน

คนจีนมีความเชื่อที่ว่า ‘ดินน้ำถิ่นใด ก็เพื่อเลี้ยงผู้คนถิ่นนั้น’

และกลายเป็นรากของอาหารกวางตุ้งที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายของวัตถุดิบพูดง่ายๆ คือคนกวางตุ้งกินได้ทุกอย่างไม่ว่าจะอยู่บนฟ้า ในน้ำ หรือบนดินก็จับมาปรุงอาหารได้หมดทั้งเป็ด ไก่ หมู กุ้ง หอย ปู ปลา ไปจนถึง ‘เหย่เว่ย’ในปัจจุบัน แม้แต่การกินค้างคาว ที่สันนิษฐานว่าเป็นสาเหตุการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่าหรือ Covid-19 ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยปอดอักเสบอย่างรุนแรงและกลายเป็นการระบาดครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเพราะความเชื่อเรื่องสรรพคุณของค้างคาวที่ช่วยเสริมสร้างกำลังวังชาคลายหนาวไปจนถึงเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์มงคลตามความเชื่อของจีนด้วยการออกเสียงคำว่าค้างคาวในภาษาจีนคือ ‘เปี่ยนฝู’ ไปพ้องเสียงกับคำว่า‘ฝู’ ซึ่งหมายถึงความสุข ค้างคาวจึงเป็นสัญลักษณ์ของความสุข ความโชคดีและอายุยืนยาว

สถานการณ์

หญิงชาวจีน อายุ 45 ปี
เข้ารับการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ โดยมีอาการสำคัญคือ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกายอ่อนเพลีย หนาวสั่น มีประวัติเป็นโรคความดันโลหิตสูง ตรวจวัดความดันโลหิตได้ 180/96 mm/Hg รักษาด้วยการรับประทาน นกพิราบตุ๋นยาจีนต้มรากบัว ชาร้อน เป็นประจำ เพราะมีความเชื่อว่าเป็นอาหารเสริมบำรุงกำลัง
ทำให้ร่างกายแข็งแรง บำรุงโลหิต แล้วช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดียิ่งขึ้นยิ่งเมื่อเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็ปฏิเสธการรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งและต่อรองว่าต้องการที่จะรับประทานอาหารตามความเชื่อของตนมากกว่า

  1. การประยุกต์ใช้ซันไลท์ โมเดล
    sunrise model

ข้อมูลเกี่ยวกับความเจ็บป่วย: มีประวัติโรคความดันโลหิตสูง และโรคไข้หวัดใหญ่ รักษาด้วยการรับประทานอาหารตามความเชื่อ

การรับรู้และดูแลสุขภาพ: รับรู้ว่าตัวเองเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งตนรับประทานอาหารเสริมกำลังอย่างนกพิราบตุ๋นยาจีน ต้มรากบัว ชาร้อนเป็นประจำแทนการรับประทานยารักษาโรคแผนปัจจุบัน

ข้อมูลทั่วไป: หญิงชาวจีน อายุ 45 ปี

อาหารและการเผาผลาญสารอาหาร: รับประทานนกพิราบตุ๋นยาจีน ต้มรากบัว ชาร้อน เป็นประจำ เพื่อเป็นการบำรุงร่างกาย รับประทานอาหารตรงเวลา และผู้ป่วยแจ้งว่าจะไม่รับประทานอาหารหรือยาของโรงพยาบาลแต่จะให้สามีหรือลูกนำอาหารมาจากที่บ้านให้

สัมพันธภาพในครอบครัว: อาศัยอยู่กับสามีและลูกชาย 2 คน จบการศึกษาปริญญาตรี มีสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว

คุณค่าและความเชื่อ: มีควาเชื่อเกี่ยวกับการกินอาหารเพื่อเสริมกำลัง บำรุงร่างกายและป้องกันโรค ยึดหลักทฤษฎีการรับประทานอาหารตามธาตุอย่างเคร่งครัด

  1. การกำหนดข้อวินิจฉัยการพยาบาลมีโอกาสที่จะควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้แต่อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนเนื่องจากผู้ป่วยรับประทานนกพิราบตุ๋นยาจีน
  1. การวางแผนการพยาบาลและการปฏิบัติการพยาบาล
  1. แนะนำให้รับประทานอาหารที่ที่มีรสจืด(หยาง)
    หลีกเลียงอาหารที่มีรสจัด เช่น เค็มจัด หวานจัด
    และอาหารจำพวกของหมักดอง ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารตามความเชื่อของผู้ป่วยได้ แต่ควรลดอาหารจำพวกรสเค็มที่จะตามตำราที่จะไปช่วยเสริมธาตุหยิน เพราะ ในธาตุมีรสเค็มที่จะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารธาตุน้ำ ธาตุไม้ และธาตุทอง
  1. อธิบายให้ผู้ป่วยทราบว่าผู้ป่วยสามารถนำอาหารมาจากบ้านได้โดยไม่ต้อง รับประทานอาหารของโรงพยาบาลและให้รับประทานอาหารตามเวลาของผู้ป่วยได้แต่ต้องรับประทานยาตามที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ และแนะนำให้ลดการรับประทานนกพิราบตุ๋นยาจีน บอกถึงสาเหตุที่แนะนำให้รับประทานนกพิราบตุ๋นยาจีน
  1. ทฤษฎีการพยาบาล
    ข้ามวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง

3) มีทัศนคติด้านบวกกับการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการที่มีความแตกต่างด้านวัฒนธรรม

4) มีความไวเชิงวัฒนธรรม(cultural sensitivity) รู้จักสังเกต ค้นหา ค่านิยม ความเชื่อ วิถีการดาเนินชีวิตตลอดจนพฤติกรรมการปฏิบัติตนเมื่อเจ็บป่วยซึ่งสะท้อนแนวคิดด้านวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล

2) มีความเข้าใจ ตื่นตัว ใฝ่รู้ เกี่ยวกับ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมความเชื่อ เชื้อชาติ เพศ และพฤติกรรมต่างๆ ของผู้ใช้บริการที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม

5) มีบุคลิกภาพ ท่าทางเป็นมิตร เข้าใจในวัฒนธรรมการสื่อสารของผู้ใช้บริการที่มีความแตกต่างด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม

1) มีความเข้าใจในเรื่องความเท่าเทียมกันในสังคมและเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ในทุกวัฒนธรรม

6) สามารถค้นหาแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกับผู้ใช้บริการได้เหมาะสม และสอดคล้องตามวัฒนธรรม

7) บูรณาการความรู้ทางการพยาบาลมาใช้กับผู้ใช้บริการที่มีความหลากหลายด้านวัฒนธรรมได้

8) พิทักษ์สิทธิผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมตามความแตกต่างด้านวัฒนธรรมได้

9) ให้การพยาบาลผู้ใช้บริการทุกเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม โดยคำนึงกฎระเบียบ และจรรยาบรรณวิชาชีพ

10) สามารถรักษาความลับของข้อมูล ความเชื่อของผู้ใช้บริการที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมได้

  1. การพยาบาลที่ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วม

การพยาบาลที่ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วม 3 ลักษณะ

  1. การจัดหาและการต่อรองเพื่อการดูแลด้านวัฒนธรรมหรือการปรับการดูแลในวัฒนธรรมที่เป็นอยู่ (Cultural care accommodation)
  1. การวางรูปแบบและโครงสร้างใหม่เพื่อการดูแลด้านวัฒนธรรมหรือการเปลี่ยนรูปแบบการดูแลในวัฒนธรรมที่เป็นอยู่ (Cultural care Repatterning)
  1. การสงวนและดำรงไว้ซึ่งการดูแลด้านวัฒนธรรมหรือการคงไว้ซึ่งการดูแลตามวัฒนธรรมที่เป็นอยู่ (Cultural care preservation)

หมายถึง การกระทำและการตัดสินใจเชิงวิชาชีพในการปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุงวิถีชีวิตของประชาชนเพื่อก่อให้เกิดระบบการดูแลสุขภาพแบบใหม่ที่มีประโยชน์และแตกต่างไปจากระบบปัจจุบัน

หมายถึง การกระทำหรือการตัดสินใจเชิงวิชาชีพ ในการช่วยเหลือ สนับสนุน ประชาชนในวัฒนธรรมย่อยให้มีการเจรจาต่อรองหรือปรับเข้าหากันเพื่อก่อให้เกิดผลจากการดูแลที่มีความหมาย มีประโยชน์ และ สอดคล้องกับภาวะสุขภาพของประชาชน

หมายถึง การกระทำหรือการตัดสินใจเชิงวิชาชีพเพื่อการช่วยเหลือ สนับสนุนประชาชนแต่ละวัฒนธรรมให้รักษาหรือคงไว้ซึ่งค่านิยมในการดูแลสุขภาพและวิถีชีวิต เพื่อคงไว้ซึ่งสุขภาวะหรือฟื้นหายจากการเจ็บป่วยหรือเผชิญกับความพิการหรือความตายได้ตามวัฒนธรรมเฉพาะของเขา

  1. การประเมินผลทางการพยาบาล

5.ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับแบบแผนการรับประทานอาหารของผู้ป่วยเนื่องจากผู้ป่วยต้องการรับประทานอาหารตามธาตุ

  1. ติดตามประเมินระดับความดันโลหิตหลังปรับอาหารตามแผนการรักษาหาเล็กน้อย
  1. ผู้ป่วยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคของตนเอง

  1. ระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ปกติ

3.ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารที่มีรสชาติหยาง (รสจืด)

5.ผู้ป่วยมีความรู้เพิ่มขึ้นจากการรับประทานอาหารตามทฤษฏี หยิน-หยาง

4.สามารถลดการรับประทานอาหารรสเค็มอาหารที่ทำจากนกพิราบ
และบอกให้สามีเปลี่ยนจากเมนูนกพิราบตุ๋นยาจีนเป็นเมนูอื่น

ความสัมพันธ์ของธาตุทั้ง5

ธาตุทั้งห้าจะมีความสัมพันธ์ต่อกันใน 2 ลักษณะ

การข่ม หมายถึงการคุม หรือกดกันไว้

การสร้าง หมายถึงการหนุนเนื่องให้มีการเกิดและการพัฒนา ธาตุที่เป็นตัวสร้างถือเป็น ธาตุ”แม่” ส่วนธาตุที่ถูกสร้างถือว่าเป็นธาตุ “ลูก” ตัวอย่างเช่น น้ำ สร้างไม้ น้ำจึงเป็นแม่ของไม้ และไม้เป็นลูกของน้ำ แต่ไม้สร้างไฟ ไม้ จึงเป็นแม่ของไฟและไฟเป็นลูกของไม้

ทฤษฎีปัญจธาตุนี้นำมาประยุกต์อธิบายในการจำแนกโรคและใช้เป็นแนวทางการรักษา

เช่น โรคตับ (ธาตุไม้) อาจถ่ายทอดไปยังหัวใจได้ (ธาตุไฟ) เพราะธาตุไม้ สร้างธาตุไฟหรือแม่ป่วยแล้วลูกป่วยตาม โดนอาจจะย้อนกลับไปหาธาตุน้ำได้ คือป่วยเป็น โรคไตได้อีก เพราะธาตุน้ำสร้างธาตุไม้ ดังนั้นการรักษาต้องติดตามไปถึง อวัยวะที่เป็นแม่ และอวัยวะที่เป็นลูกของอวัยวะที่เป็นโรคด้วยเสมอ

อาหารประจำธาตุ

อาหารประจำธาตุดิน
ได้แก่ อาหารที่มีสีเหลือง เช่นถั่วเหลือง ข้าวฟ่าง ลูกเดือย เม็ดบัว ฟักทอง ข้าวโพด แครอทเต้าหู้ ตลอดจนอาหารรสหวาน ช่วยบำรุงระบบย่อยอาหารลดอาการท้องอืด ถ่ายเป็นก้อนดีขึ้น รักษาพลังงานดีขึ้นด้วยเหมาะกับคนธาตุดินที่มีลักษณะกล้ามเนื้อใหญ่และแน่น แต่ระบบย่อยอาหารรวนง่าย เช่น มักมีอาการปวดท้องทันทีเมื่อกินผิดเวลา

อาหารประจำธาตุไฟ
ได้แก่ อาหารที่มีสีแดง เช่น ทับทิมเรดเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ เห็ดหลินจือแดง ตลอดจนอาหารรสขม เช่น สะเดา มะระ ตามหลักวิทยาศาสตร์อธิบายไว้ว่า ธาตุเหล็กทำให้อาหารเป็นสีแดงตามธรรมชาติ อาหารเหล่านี้ช่วยปรับธาตุไฟในร่างกาย ช่วยบำรุงเลือด รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแรงแก่หลอดเลือดอย่างตรงจุด

อาหารประจำธาตุน้ำ
ได้แก่ อาหารที่มีสีดำ เช่น งาดำถั่วดำ เห็ดหลินจือ เห็ดหอม แบล็กเบอร์รี่ ตลอดจนอาหารรสเค็ม เช่น เกลือ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบำรุงไต (ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนถือว่าไตเป็นรากฐานของชีวิต) ช่วยรักษาสมดุลของระดับน้ำในร่างกาย ช่วยให้ไตขับน้ำมากขึ้น และช่วยให้คนธาตุน้ำที่ตัวบวมน้ำมีอาการดีขึ้น

อาหารประจำธาตุโลหะ
ได้แก่ อาหารที่มีสีขาว เช่นหัวไช้เท้า ผักกาดขาวอาหารประจำธาตุโลหะ ได้แก่ อาหารที่มีสีขาว เช่นหัวไช้เท้า ผักกาดขาว

อาหารประจำธาตุไม้ได้แก่ อาหารที่มีสีเขียวเหลือง ตามสีของน้ำดีจากตับ ตลอดจนอาหารรสเปรี้ยว อาหารกลุ่มนี้ช่วยบำรุงตับ เส้นเอ็น และดวงตา เหมาะกับคนธาตุไม้ที่มักมีอาการเส้นเอ็นอักเสบบ่อยๆ และอักเสบเรื้อรัง

อาการที่พบบ่อยเมื่อหยิน
– หยางไม่สมดุล

การกินเยียวยาอาการหยินพร่อง

หยางพร่อง

หยินพร่อง

คือสารที่เป็นน้ำในร่างกายน้อยทำให้มีอาการคล้ายคนขาดน้ำ คือ ร้อนในปากแห้ง คอแห้งโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ขี้หงุดหงิด ผิวแห้งเหี่ยวฝ่ามือและฝ่าเท้าร้อน อาการคล้ายคนวัยทอง

แนะนำให้กินผักและผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น สาลี่ แครอท หัวไช้เท้า กินผักมากๆ
งดของเผ็ด เพราะรสเผ็ดทำให้มีการขับน้ำออกจากร่างกายมากขึ้นทำให้ภายในร่างกายแห้ง

เกิดจากความอบอุ่นหรือไฟในร่างกายน้อยลง ข้างในจึงเย็น มีอาการฝ่ามือ – ฝ่าเท้าเย็นหนาวง่าย ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน หน้าตาซีดเซียว

การกินเยียวยาอาการหยางพร่อง

แนะนำให้กินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน ซึ่งเป็นอาหารที่ให้พลังงานประเภทเนื้อสัตว์ รังนกซุปต่างๆ แต่ถ้ากินแล้วรู้สึกร้อน ให้หยุดกิน และถ้าจะกินผลไม้ให้กินในช่วงมื้อกลางวันมากกว่า เนื่องจากเวลากลางคืน หยางจะลดลงตามธรรมชาติหากกินของเย็นในช่วงเย็นจึงเป็นการเข้าไปดึงหยางให้ลดลงไปอีก

หยางเกิน

เกิดจากหยางพุ่งขึ้นข้างบน ทำให้เลือดพุ่งขึ้นข้างบนทำให้มีอาการหน้าแดง ตาแดง
โมโหง่าย ความดันโลหิตสูง

การกินเยียวยาอาการหยางเกิน

ควรงดแอลกอฮอล์ กาแฟ รวมทั้งยาบำรุงบางชนิดที่ให้ความร้อน เพราะจะยิ่งทำให้เลือดสูบฉีด
และควรกินอาหารที่เป็นหยินซึ่งมีฤทธิ์เย็นเพิ่มขึ้น

การกินตามหยิง-หยาง

สิ่งแรกที่ทุกคนมักคิดถึงคือหลักของความสมดุลที่เรียกว่า หยิน – หยาง“คนจีนเน้นเรื่องความสมดุลหยิน – หยาง"

กล่าวคือปกติคนเราต้องมีหยินและหยางเท่ากันหากอย่างใดอย่างหนึ่งมากหรือน้อยไปจะเกิดโรคในการกินอาหารจึงต้องสังเกตว่าสภาพร่างกายของตัวเองร้อนหรือเย็นเช่นถ้าตัวร้อนจะกินของเย็น คืออาหารที่เป็นหยิน แต่ถ้าร่างกายเย็นให้กินของร้อน คืออาหารที่เป็นหยาง เพื่อปรับสมดุล”

รสทั้งห้าของอาหาร

รสเปรี้ยว (รวมรสฝาด) เป็นอาหารจำพวกหยิน ช่วยหยุดการหลั่งของเหลวและเพิ่มน้ำในร่างกาย
มักใช้บำบัดอาการเหงื่อออกผิดปกติขณะหลับ ปัสสาวะบ่อย ม้ามพร่อง สตรีตกขาว

รสเค็ม เป็นอาหารจำพวกหยิน ช่วยระบาย และขับของเหลวในร่างกาย บำรุงไต และเลือด
มักใช้บำบัดอาการท้องผูก ฝี ตัวบวม ไตพร่อง ขาดเลือด

รสหวาน (รวมรสจืด) เป็นอาหารจำพวกหยาง ช่วยปรับโจงชี่ให้สมดุล มักใช้บำบัดม้ามและกระเพาะอ่อนแอ อาหารไม่ย่อย สตรีร่างกายอ่อนแอหลังคลอด ปวดตามกระดูกและเอว

รสขม เป็นอาหารจำพวกหยิน ช่วยขับร้อน สลายชื้น ปรับสภาวะพลังย้อนกลับ มักใช้บำบัดอาการ
หวัดแดด เป็นไข้ ตามัว ดีซ่าน

รสเผ็ด เป็นอาหารจำพวกหยาง ช่วยระบาย ช่วยให้พลังเดิน ทำให้โลหิตไหลเวียน แก้ไข้ปวดกระเพาะ ปวดรอบเดือน

อาหารรสนี้ได้แก่ ขิง กระเทียม ฮวยเจีย กุ้ยพวย กานพลู

อาหารรสหวานได้แก่ พุทราจีน ลำไย

อาหารรสเปรี้ยวได้แก่ ลูกเคียมซิก เม็ดบัว ลูกบ๊วย

อาหารรสขมได้แก่ เก๋ากี้ ผักขม มะระ

อาหารรสเค็มนี้ได้แก่ สาหร่าย ปลิงทะเล

ทฤษฏีหยิน – หยาง

จำแนกลักษณะโรคหยินและหยาง

“ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องดำรงหยิน-หยางให้คงไว้ในสภาวะสมดุล”

ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ โครงกระดูก เส้นผม เล็บ ซึ่งเป็นหยิน ส่วนหยางคือพลังงานของชีวิต ภายใต้สภาพปกติหยินหยางจะมีสภาวะสมดุลในลักษณะที่ตรงกันข้าม ก่อให้เกิดการไหลเวียนของพลังในร่างกายไปทั่วทุกจุดแล้ว

  • โรคหยิน เป็นโรคชนิดเรื้อรัง
  • โรคหยาง เป็นโรคชนิดเฉียบพลัน

มีลักษณะเดินหน้าและเพิ่มขึ้น มักปรากฏเป็นอาการไข้สูง จิตใจกระสับกระส่าย
กระหายน้ำ ชอบกินของเย็น ท้องผูก ขัดเบา เป็นต้น

มีลักษณะถอยหลังและลดลง มักปรากฏเป็นอาการเย็นง่าย หนาวง่าย เซื่องซึม
ไม่มีเรี่ยวแรง กินอาหารน้อยลง ท้องเดิน อุจจาระเหลว มือเท้าเย็น เป็นต้น