Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่9 การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
บทที่9 การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ําตาลของบิลิรูบิน(Bilirubinuria หรือ Choluria)
ปัสสาวะมีสีดําของฮีโมโกลบิน(Hemoglobinuria)
คีโตนในปัสสาวะ (Ketonuria)
ปัสสาวะเป็นหนอง (Pyuria)
โปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria หรือ Albuminuria)
นิ่วในปัสสาวะ (Calculi)
น้ําตาลในปัสสาวะ (Glycosuria)
ไขมันในปัสสาวะ (Chyluria)
ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)
ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
สังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factor)
ลักษณะท่าทาง (Body position)
ด้านจิตสังคม (Psychosocial factors)
ยา (Medication)
น้ํ้าและอาหาร(Food and fluid)
กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ(Activity and Muscle tone)
พยาธิสภาพ (Pathologic conditions)
การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่างๆ
(Surgical and diagnostic procedure)
อายุ หรือ พัฒนาการในวัยต่างๆ(Developmental growth)
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
และการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ
มีความเป็นกรดอ่อนๆ pH ประมาณ 4.6-8.0
มีความถ่วงจําเพาะ (Specific gravity) ประมาณ 1.015-1.025
สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้ม สีเหลืองฟางข้าว หรือสีเหลืองอําพัน
เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ไม่พบ Casts,Bacteria, Albumin
หรือน้ํ้าตาล ไม่พบเม็ดเลือดแดง
ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน
ปัสสาวะใหม่มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ถ้าตั้งทิ้งไว้นานๆ
จะได้กลิ่นแอมโมเนียที่แรง
ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800–1,600 มิลลิลิตร
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
ปัสสาวะประมาณ 4-6ครั้งต่อวันและปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน
ลําปัสสาวะช่วงแรกจะพุ่งแรงและใหญ่กว่าตอนสุด
มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอน ตอนเช้าหลังตื่นนอน
ก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
ตลอดการถ่ายปัสสาวะจะไม่มีอาการเจ็บปวด
การถ่ายปัสสาวะจะเว้นช่วงห่างประมาณ 2–4 ชั่วโมงในเวลากลางวัน
และ 6-8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน
เวลาที่ใช้ในการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน 30วินาที
จํานวนปัสสาวะประมาณ 250-400 มิลลิลิตรต่อครั้ง
หรือไม่ควรน้อยกว่า 30มิลลิลิตรใน 1 ชั่วโมง
กรณีอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ทันที
ต้องสามารถกลั้นได้ และเมื่อจะปัสสาวะก็สามารถปัสสาวะได้ทันที
Residual urineไม่ควรเกิน 50 มิลลิลิตร ในผู้ใหญ่
และไม่ควรเกิน 100 มิลลิลิตรในผู้สูงอายุ
อยากถ่ายปัสสาวะเมื่อมีปริมาณปัสสาวะอยู่
ในกระเพาะปัสสาวะ100-400มิลลิลิตร
การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
ปัสสาวะขัด ปัสสาวะลําบาก (Dysuria)
เป็นภาวะที่มีการเบ่งถ่ายปัสสาวะ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเวลาถ่ายปัสสาวะ
ถ่ายลําบาก ต้องใช้เวลาและใช้แรงในการเบ่งเพิ่มขึ้น บางครั้งมีอาการปวดแสบปวดร้อนขณะถ่ายปัสสาวะ มักปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่สุด
อยากถ่ายปัสสาวะแบบทันทีทันใด อาจมีอาการปวดบริเวณหัวเหน่า
และฝีเย็บ บางครั้งอาจมีเลือดสดออกมาในตอนท้ายหลังจากถ่ายสุดแล้ว
ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย (Pollakiuria)
เป็นภาวะที่มีการถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้งกว่าปกติ และมีจํานวนปัสสาวะ
ที่ถ่ายออกแต่ละครั้งลดน้อยลง
ปัสสาวะตอนกลางคืน (Nocturia)
เป็นภาวะที่มีการถ่ายปัสสาวะในตอนกลางคืนมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป
ถือเป็นความผิดปกติที่ต้องสังเกต มักพบในผู้สูงอายุชาย
ที่มีต่อมลูกหมากโต ท่อปัสสาวะตีบแคบ
ปัสสาวะรดที่นอน (Enuresis)
เป็นภาวะที่มีปัสสาวะไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจในเด็กที่มี
อายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป แต่ถ้าเกิดกับเด็กอายุน้อยกว่านี้ถือว่าปกติ
ปัสสาวะมากกว่าปกติ (Polyuria หรือ Diuresis)
เป็นภาวะที่ไตผลิตปัสสาวะออกมาจํานวนมากกว่าปกติ
(มากกว่า 2,500–3,000 มิลลิลิตรต่อวัน) อาจเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว เนื่องจากดื่มน้ํามาก ได้รับยาขับปัสสาวะ ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้ (Urinary incontinence)
เป็นภาวะที่ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้ อาจมีอาการปัสสาวะกระปริดกระปรอย หรือกลั้นไม่ได้มีปัสสาวะไหลตลอดเวลา
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่โดยสิ้นเชิง(True Incontinence)
ลั้นปัสสาวะไม่ทัน หรือ ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน
(Urge incontinence/ Urgency/ Overactive bladder)
ปัสสาวะเล็ด (Stress incontinence)
ปัสสาวะท้น (Overflow incontinence)
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่เกิดจากภาวะหรือโรคอื่นๆ
(Functional Incontinence)
ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ (Oliguria)
เป็นภาวะที่มีปัสสาวะน้อยกว่า 500 มิลลิลิตร ใน 24 ชั่วโมง
หรือน้อยกว่า 30 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง
หรือ น้อยกว่า0.5-1 มิลลิลิตร/น้ําหนักตัว 1 กก./ชั่วโมง
ปัสสาวะคั่ง (Urinary retention)
เป็นภาวะที่มีน้ําปัสสาวะคั่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะเป็นจํานวนมากกว่าปกติและไม่สามารถจะถ่ายปัสสาวะออกมาได้ หรือภาวะที่ไม่มีการถ่ายปัสสาวะในระยะเวลา 8–10 ชั่วโมง
ไม่มีปัสสาวะ (Anuria/Urinary suppression)
เป็นภาวะที่มีปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 50 มิลลิลิตรต่อวัน
หรือไม่มีการปัสสาวะเลย
หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ
กรณีปัสสาวะไม่ออกพยาบาลควรให้การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะด้วยวิธีการต่างๆ
สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
การนวดกระเพาะปัสสาวะ
เป็นเทคนิคที่ช่วยทําให้กระเพาะปัสสาวะว่าง
ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทํางานอย่างเต็มที่
ถ้ากล้ามเนื้อภายในอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อนสมรรถภาพ
จะทําให้ปัสสาวะไม่ออกและกลั้นปัสสาวะไม่ได้
การกระตุ้นให้บริหารร่างกายอย่างสม่ําเสมอจะช่วยป้องกัน
กล้ามเนื้อหย่อนสมรรถภาพได้
เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
เป็นวิธีที่ใช้สําหรับผู้ป่วยที่มีความบกพร่องเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในช่วงเวลาถ่ายปัสสาวะที่ยาวนานมาก จนเป็นผลให้เกิดการกลั้นปัสสาวะ วิธีการคือใช้วิธีกระตุ้นให้ผู้ป่วยไปปัสสาวะ ชมเชย
และให้กําลังใจ
ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นการติดเชื้อที่พบได้บ่อยที่สุดในโรงพยาบาล พยาบาลควรสอนและแนะนําผู้ป่วยในการป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
ส่งเสริมให้ได้รับน้ําอย่างเพียงพอ
ในผู้ใหญ่ควรได้รับน้ําสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8แก้วหรือประมาณ 1,500-2,000 มิลลิลิตรอาจต้องเพิ่มขึ้นให้สัมพันธ์กับจํานวนนํ้าที่สูญเสียออกจากร่างกาย
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณีที่ไม่สามารถไปห้องน้ํ้าได้
พยาบาลอาจต้องนําหม้อนอน (Bedpan)ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้หญิง
หรือ กระบอกปัสสาวะ (Urinal) ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้ชายมาให้ผู้ป่วยที่เตียง
หลักการพยาบาลผู้ป่วยได้รับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะ (Condom catheter)
วัตถุประสงค์
ป้องกันการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้
ป้องกันการเกิดแผลกดทับในรายที่ต้องรักษาตัวนาน ๆ
ป้องกันการอักเสบในรายที่มีแผล
เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันการระคายเคืองของผิวหนัง เนื่องจากเปียกปัสสาวะบ่อย ๆ
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
การวางแผนการพยาบาล และการปฏิบัติการพยาบาล
ใช้สบู่อ่อนและน้ําหรือน้ํายาทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ในการทําความสะอาดบริเวณฝีเย็บ
อย่าปล่อยให้ปัสสาวะเต็มถุงรองรับ ควรเททิ้งอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง ด้วยวิธีที่ถูกต้อง
ทําความสะอาดบริเวณฝีเย็บให้สะอาด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง
การเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะควรทําเมื่อจําเป็น ระยะเวลาในการเปลี่ยนไม่เจาะจง ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคนอาจอยู่ระหว่าง 5 วัน ถึง 2 สัปดาห์
Force oral fluid มากกว่า 2,000-3,000มิลลิลิตรต่อวันถ้าไม่มีข้อห้าม
ถ้าเป็นไปได้ให้แยกห้องผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนปัสสาวะออกจากผู้ป่วยที่ไม่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนหรือไม่ควรอยู่เตียงติดกัน
ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะทั้งก่อนและหลังให้การพยาบาล ได้แก่ ปัสสาวะสีขาวขุ่น มีตะกอน
รายงานแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกขึ้นเคลื่อนไหวและออกกําลังกายจะทําให้ปัสสาวะไหลสะดวกและป้องกันการอุดตันของสายสวนปัสสาวะ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ประเมินผลการพยาบาล
ภายหลังให้การพยาบาลควรมีการประเมินทุกครั้งตามเกณฑ์การประเมินผลเช่น ปัสสาวะสีเหลืองใสไม่มีตะกอน สัญญาณชีพปกติ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ เป็นต้น
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การประเมิน
การซักประวัติแบบแผนและลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะปกติ
จํานวนครั้งใน 24 ชั่วโมง ลักษณะและสีของปัสสาวะ ปริมาณน้ําดื่มต่อวัน ยาที่รับประทานประจํา โรคประจําตัว เบาหวาน ความดันความเครียด กิจกรรมที่ทําประจําวัน
ตรวจร่างกายในระบบทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ การเคาะบริเวณไต เพื่อหาตําแหน่งที่ปวด การคลําและเคาะกระเพาะปัสสาวะ ตรวจสีลักษณะและความตึงตัวของผิวหนัง และภาวะบวม
วิเคราะห์ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
1.ใช้Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นานประมาณ 15–30 นาทีเพื่อให้มีปัสสาวะใหม่เก็บอยู่ก่อน
2.เตรียม Syringe sterile เข็มปลอดเชื้อ Sterile swab น้ํายาฆ่าเชื้อ
3.ล้างมือสวมถุงมือสะอาดเช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ
4.ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะตรงตําแหน่งที่ทําความสะอาดฆ่าเชื้อไว้แล้ว ดูดปัสสาวะออกมาประมาณ 10 มล. ส่งตรวจเพาะเชื้อทันที
วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
เป็นการเก็บปัสสาวะที่มีการรวบรวมไว้จนครบ 24 ชั่วโมงแล้วส่งตรวจ เริ่มเก็บปัสสาวะเวลา 08.00 น. โดยให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะทิ้งก่อนเริ่มเก็บ และรวบรวมน้ําปัสสาวะที่เก็บได้หลัง 08.00 น.จนครบกําหนด 24 ชั่วโมง แล้วถ่ายปัสสาวะเก็บเป็นครั้งสุดท้าย คือ เวลา08.00 น. เช้าวันรุ่งขึ้นควรแนะนําให้งดโปรตีน คาเฟอีนก่อนการเก็บปัสสาวะประมาณ 6 ชั่วโมง และให้ผู้ป่วยดื่มน้ํามากๆก่อนและระหว่างการเก็บ
วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง(Clean mid-streamurine)
โดยให้ผู้ป่วยทําความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ําสะอาด ล้างมือให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง ให้ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ หรือประมาณ 30-50 ml. โดยห้ามสัมผัสด้านในของภาชนะแล้วปัสสาวะช่วงสุดท้ายทิ้งไปนําปัสสาวะไปส่งให้เจ้าหน้าที่โดยเร็วที่สุด
การสวนปัสสาวะ
ชนิดของการสวนปัสสาวะ
การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว (Intermittent catheterization)
เป็นการใส่สายสวนปัสสาวะผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ เพื่อระบายน้ําปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะ เมื่อกระเพาะปัสสาวะว่างไม่มีน้ําปัสสาวะไหลออกมาแล้วจะถอดสายสวนปัสสาวะออก
การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
(Indwelling catheterization or retained catheterization)
เป็นการสอดใส่สายสวนปัสสาวะชนิด Foley catheter ผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะแล้วคาสายสวนสวนปัสสาวะไว้
วัตุประสงค์
เพื่อเก็บน้ําปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อ
เพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ หรือใส่ยาในกระเพาะปัสสาวะ
เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ําปัสสาวะที่เหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ
เพื่อศึกษาความผิดปกติของท่อปัสสาวะ
เพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะว่างในผู้ป่วยที่ต้องทําหัตถการต่างๆ
เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ํ้าปัสสาวะที่ขับออกมาในผู้ป่วยอาการหนักอย่างถูกต้อง
เพื่อระบายเอาน้ํ้าปัสสาวะออกในผู้ป่วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะเองได้