Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลมารดาทารกหลังคลอดปกติ - Coggle Diagram
การพยาบาลมารดาทารกหลังคลอดปกติ
มารดาอายุ 32 ปี มีบุตรคนที่4
สัญญาณชีพของมารดาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
-BP 120/88 mmHg (ค่าปกติ 120-129/80-81 mmHg)
-PR 100 bpm (ค่าปกติ 360-100 bpm)
-RR 18 bpm (ค่าปกติ 16-20 bpm)
-BT 38 มารดามี Reactionary fever ซึ่งพบได้ใน 24 ชม. หลังคลอด (อุณหภูมิสูงถึง 37.7 แต่ไม่เกิน 38 )
กิจกรรมพยาบาล
1.ดูแลให้พักผ่อนบนเตียงจนครบ 8-10 ชม. เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ จากอาการอ่อนเพลียเนื่องจากสูญเสียน้ำ เกลือแร่ และเลือดในระยะคลอด
2.ดูแลให้ได้รับอาหารและน้ำดื่มอย่างเพียงพอ
3.ช่วยเหลือในการดูแลทารกบ้างบางเวลา ในระยะที่มารดายังอ่อนเพลียมาก
4.ติดตามสัญญาณชีพและประเมิน BUBBLE-HE อย่างใกล้ชิด ประกอบด้วย
• B : Breast and Lactation ประเมินลักษณะของหัวนมว่าปกติ สั้น แบน บุ๋ม หรือไม่
• U : Uterus ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกว่าหดรัดตัวแข็งดีหรือไม่ ระดับยอดมดลูกอยู่ที่ระดับใด และตำแหน่งของยอดมดลูกอยู่บริเวณใด
• B : Bowel ประเมินการเคลื่อนไหวของลำไส้
• B : Bladder ประเมินกระเพาะปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะ
• L : Lochia ประเมินเลือดที่ออกทางช่องคลอด ในวันแรกเรียกว่า Bleeding และระยะหลัง 24 ชม.หลังคลอดเป็นต้นไปจะเรียกว่า น้ำคาวปลา (Lochia)
• E : Episiotomy/Laceration ประเมินแผลฝีเย็บหรือการฉีกขาดของช่องคลอด
• H : Homan’s sign ประเมินภาวะหลอดเลือดดำส่วนปลายอุดตัน
• E : Emotional การประเมินความพร้อมทางด้านจิตใจและอารมณ์ของมารดาหลังคลอด
มารดาปวดเเผลฝีเย็บ Pain score = 7 คะเเนน
กิจกรการพยาบาล
1.ให้ยาแก้ปวดกลุ่ม non steroidal anti-inflammatory drugs (NSAID) เพื่อใช้ระงับปวดภายใน 24 ชม. หลังคลอด
2.แนะนำให้มารดาหลังคลอดไม่นั่งทับแผลฝีเย็บโดยตรง โดยอาจหาห่วงยางเล็กๆหรือหมอนโดนัทรองนั่ง ส่วนท่านอนแนะนำให้นอนตะแคงไปในด้านฝั่งตรงข้ามกับแผลฝีเย็บ เพื่อไม่ให้แผลฝีเย็บถูกกดทับ ทำให้การไหลเวียนของเลือดปกติ ส่งเสริมการหายของแผล และหลีกเลี่ยงการนั่งที่ทำให้ขาหนีบแยกออกจากกัน
3.แนะนำให้บริหารฝีเย็บ ได้แก่ การทำ Kegel exercise โดยการขมิบช่องคลอด ควรทำวันละ 100-300 ครั้ง เพื่อช่วยส่งเสริมการหายของแผล และช่วยให้กล้ามเนื้อรอบช่องคลอดและฝีเย็บหดรัดตัวดีและแข็งแรง
4.ในช่วง 24 ชม. แรกหลังคลอด แนะนำให้ประคบเย็นที่แผลฝีเย็บทันทีหลังเย็บแผลเสร็จ ที่อุณหภูมิ 10-14 องศาเซลเซียส ประคบนาน 15 นาที และประคบทุก 15 นาทีต่อเนื่องจนครบ 2 ชม. หลังคลอด เพื่อลดอาการบวมของแผลฝีเย็บ ลดอาการปวด และลดการใช้ยาแก้ปวด เพราะความเย็นจะทำให้เส้นเลือดบริเวณที่ประคบเกิดการหดรัดตัว และยังช่วยลดการนำกระแสประสาท ลดการถูกกระตุ้นของปลายประสาทจึงทำให้ความเจ็บปวดลดลง
6.ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์และเเผลฝีเย็บให้มารดาหลังคลอด พร้อมทั้งสอนการทำความสะอาดอวัยวัสืบพันธ์ุที่ถูกวิธีหลังขับถ่ายปัสสาวะเเละอุจจาระ
5.หลังคลอด 24 ชม.ไปแล้ว แนะนำให้อบแผลฝีเย็บ โดยใช้โครมไฟแสงอินฟาเรด ส่องที่แผลฝีเย็บโดยตรง ระยะห่าง 1 ฟุตครึ่ง อบนาน 15 นาที เพื่อทำให้แผลฝีเย็บแห้ง ลดบวม ลดปวดและส่งเสริมให้แผลหายเร็วขึ้น
ประเมิน REEDA scale = 2 คะแนน ถือว่าผิดปกติ
การประเมินแผลฝีเย็บด้วย REEDA scale
ใส่รูปปปปปปปปปป
คลำพบลอนนิ่มบริเวณสะดือและยังไม่ถ่ายปัสสาวะ
ถือว่าผิดปกติ เพราะโดยปกติจะต้องคลำพบลอนกลมแข็งที่ระดับสะดือหรือต่ำกว่าระดับสะดือ แต่ถ้าคลำพบลอนนิ่มแสดงว่ามดลูกหดรัดตัวไม่ดี เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะเต็มจะไปขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งหลังคลอดมารดาควรปัสสาวะได้เองภายใน 6-8 ชม. จากกรณีศึกษาพบว่า ผ่านมา 8 ชม. มารดาก็ยังไม่ปัสสาวะ ดังนั้นพยาบาลจะต้องกระตุ้นให้มารดานั่งปัสสาวะบนเตียง ราดน้ำอุ่นหรือประคบเย็นบริเวณหัวเหน่าเพื่อกระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะและให้ดื่มน้ำปริมาณมากๆ 2-3 แก้วทันที เพื่อให้กระเพาะปัสสาวะเต็มอย่างเต็มที่ หากพยามกระตุ้นแล้วไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้จะต้องรายงานแพทย์เพื่อพิจารณาสวนปัสสาวะทิ้ง ภายหลังสวนปัสสาวะทิ้งต้องติดตามประเมินการขับถ่ายปัสสาวะเองของมารดาภายใน 4-6 ชม. โดยปกติภายหลังการสวนทิ้งมารดาจะสามารถปัสสาวะได้เอง และสอนให้มารดาคลึงมดลูกด้วยตนเองเพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอดเนื่องจากคลำพบลอนนิ่มบริเวณระดับสะดือ
เมื่อทารกดูดนมข้างซ้าย จะมีน้านมไหลจาก เต้านมข้างขวาด้วย และมีอาการปวดมดลูกขณะทารกดูดนม
กิจกรรการพยาบาล
1.ให้คำแนะนำและช่วยเหลือให้มารดามีความรู้เกี่ยวกับวิธีการอุ้มทารกที่ถูกต้องในท่าต่างๆเพื่อให้ทารกสามารถอมหัวนมและลานนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดจากการอุ้มทารกในท่าที่ไม่ถูกต้อง โดยท่าที่ใช้ในช่วงแรกหลังคลอดควรเป็นท่าที่มารดารู้สึกสบาย โดยปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างกันทั้งท่านั่งและท่านอน รวมถึงสอนการใช้มือจับประคองเต้านมเมื่อนำทารกเข้าเต้า พยาบาลควรสังเกตว่ามารดาปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหรือไม่และให้การช่วยเหลือทันทีหากปฏิบัติไม่ถูกต้อง และพยาบาลควรให้กำลังใจและเสริมแรงเพื่อให้มารดาเกิดความมั่นใจว่าตนเองสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้
2.อธิบายให้มารดาเข้าใจถึงลักษณะของการอมหัวนมที่ถูกต้อง 4 ประการ (4 key signs for Attachment) คือ
1.ปากทารกอ้ากว้างจนอมหัวนมได้ลึกมากพอจนคางแนบเต้านม
2.ริมฝีปากล่างบานออก
3.คาง จมูกและแก้มทารกสัมผัสกับเต้านมมารดา
4.ขณะทารกดูดนมมองเห็นลานนมเหนือริมฝีปากบนมากกว่าด้านล่าง พร้อมกับประเมินว่ามารดาปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหรือไม่ และให้การช่วยเหลือจนมารดาสามารถปฏิบัติได้เองอย่างถูกต้อง
3.อธิบายให้มารดามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูดเกลี้ยงเต้าเพื่อให้ทารกได้รับน้ำนมส่วนหลังที่มีไขมันมากกว่าอันจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารก ซึ่งการดูดแต่ละครั้งของทารกโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที นอกจากนี้พยาบาลควรแนะนำมารดาไม่ให้น้ำ นมผสม หรืออาหารอื่นแก่ทารก เนื่องจากจะทำให้ทารกอิ่มไม่ยอมดื่มนมแม่ ส่งผลให้การสร้างและการหลั่งน้ำนมลดลง รวมถึงแนะนำไม่ให้ทารกดูดจุกนมยาง จุกนมหลอด ซึ่งกลไกการดูดแตกต่างจากการดูดนมแม่อาจทำให้ทารกเกิดความสับสน (Nipple confusion) และปฏิเสธการดูดนมแม่ อันเป็นสาเหตุสำคัญของการยุติของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
4.แนะนำให้มารดาบีบน้ำนมเพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนม ป้องกันอาการคัดตึงเต้านม รวมถึงคงสภาพการสร้างและการหลั่งน้ำนมในกรณีที่มารดาและทารกต้องแยกห่างจากกันชั่วคราว เช่น ทารกเจ็บป่วย การทำงาน เป็นต้น ซึ่งการบีบน้ำนมแม่มีหลายวิธี เช่น การบีบน้ำนมจากเต้าด้วยมือ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีและสะดวกที่สุด การบีบน้ำนมด้วยเครื่องปั๊มนม ซึ่งมารดาส่วนใหญ่รู้สึกว่าบีบได้เร็วและได้ปริมาณมากกว่าบีบด้วยมือ แต่ในมารดาบางรายอาจรู้สึกเจ็บขณะใช่เครื่องปั๊มนม
5.แนะนำให้บีบน้ำนมก่อนลูกดูด เพื่อให้ปริมาณน้ำนมลดลง และควรใช้ท่านอนให้นมเพื่อลดอัตราการไหลของน้ำนมลง
6.แนะนำการเก็บน้ำนมที่ถูกต้อง อธิบายวิธีการเก็บน้ำนมที่ถูกต้อง ระยะเวลาในการเก็บน้ำนม รวมถึงการนำน้ำนมแม่ที่แช่เย็นมาใช้เพื่อให้นมยังคงคุณค่าทั้งสารอาหารและภูมิคุ้มกัน
เป็นภาวะปกติ เนื่องจากกลไกการหลั่งน้ำนมเกิดขึ้นเมื่อให้ทารกดูดนม การดูดนมของทารกเป็นตัวกระตุ้นเบื้องต้น (primary stimulus) เมื่อเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตน้ำนมได้สร้างและหลังน้ำนมเข้าสู่ถุงน้ำนมแล้ว การที่จะให้น้ำนมไหลไปตามท่อน้ำนมและขับออกจากเต้านมได้นั้นต้องอาศัยกลไกการทำงานของประสาทและต่อมไร้ท่อที่เรียกว่า ปฏิกิริยาเล็ตดาวน์ (Let-down Reflex) ปฏิกิริยานี้จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อทารกดูดที่หัวนมและลานนมของมารดา ซึ่งบริเวณนี้จะมีเส้นประสาทมาเลี้ยงมากมาย การสัมผัสที่หัวนมและลานนมระหว่างการดูดของทารกจะเป็นผลให้กระแสประสาทวิ่งไปตามไขสันหลังไปสู่ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) กระแสประสาทจากไฮโปทาลามัสจะไปกระตุ้นต่อมพิทูทารีส่วนหลัง (posterior pituitary gland) ให้มีการหลังฮอร์โมนออกซิโตซิน (Oxytocin) เข้าสู่กระแสเลือดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ในขณะที่ทารกดูดนมและกระตุ้นให้ไมโอเอพิทิเลียลเซลล์ (Myoepithelial cells) ที่อยู่รอบๆถุงน้ำนมบีบตัวขับน้ำนมที่ขังอยู่ในถุงน้ำนมไหลออกจากท่อสู่รูเปิดที่บริเวณหัวนม เมื่อทารกดูดบริเวณลานนม น้ำนมก็จะไหลออกจากท่อน้ำนม การทำหน้าที่ของปฏิกิริยาเล็ตดาวน์จึงมีความสำคัญเพราะทำให้น้ำนมถูกขับออกจากถุงน้ำนมจึงทำให้เต้านมว่าง นอกจากปฏิกิริยาเล็ตดาวน์จะเกิดจากการดูดกระตุ้นของทารกบริเวณหัวนมและลานนมของมารดาแล้ว อาจทำให้มีน้ำนมไหลก่อนเวลาให้นมบุตรโดยจะรู้สึกเจ็บคล้ายกับถูกของแหลมหรือเข็มทิ่มในเต้านม และสังเกตเห็นได้ว่ามีน้ำนมหยดออกมา หรือระหว่างที่ให้นมบุตรข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งอาจมีน้ำนมไหลออกมา ดังนั้นสำหรับมารดาที่มีน้ำนมมากจะสังเกตได้ว่าเมื่อลูกดูดนมข้างนึงแล้วน้ำนมอีกข้างก็จะไหลออกมาเอง ทุกครั้งที่ทารกดูดนมมารดาจะมีการหลั่ง Oxytocin ออกมาทุกครั้ง ดังนั้นมารดาจะรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ทารกดูดนมจากการหดรัดตัวของมดลูก
2 วันหลังคลอด คลาพบมดลูกกลมแข็งต่ากว่าระดับสะดือ 1 นิ้ว น้าคาวปลาสีแดงจางๆ
ปกติ เนื่องจากหลังคลอดบุตรมดลูกจะมีขนาดเล็กลงทันทีสามารถคลำบริเวณหน้าท้องที่ระดับสะดือหรือต่ำกว่าสะดือเล็กน้อยจะพบลักษณะเป็นก้อนแข็ง และน้ำคาวปลาใน 1-3 วันแรกจะมีลักษณะสีแดงเข้ม ในวันที่ 3-10 จะเป็นสีแดงจางลงปนมูกหรือเป็นสีชมพู และวันที่ 10 เป็นต้นไปจะเป็นสีเหลืองอ่อนหรือสีครีมปนมูกสีขาวใสหรือไม่มีสี แล้วจะค่อยๆลดลงจนไม่มีน้ำคาวปลา
กิจกรรพยาบาล
1.แนะนำให้มารดาอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง สระผมได้ตามปกติ และไม่ควรแช่น้ำในอ่างหรือแม่น้ำลำคลอง เพราะในระยะหลังคลอดร่างกายได้รับบาดเจ็บจากการคลอด จึงมีช่องทางจากบาดแผลที่ให้เชื้อโรคสามารถเข้าไปฟักตัวและก่อให้เกิดโรคได้
2.แนะนำให้เปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 3-4 ชั่วโมงหรือเมื่อชุ่ม โดยใส่ผ้าอนามัยจากหัวหน่าวไปยังทวารหนัก เพื่อป้องกันอุจจาระจากทวารหนักเข้าสู่ช่องคลอด
3.แนะนำให้สังเกตลักษณะของน้ำคาวปลา โดยในช่วง 1-3 วันแรกน้ำคาวปลาจะมีสีแดงอาจมีก้อนเลือดแดงๆปนได้ แต่หลังจากนี้ไม่ควรมีก้อนเลือดแล้ว และสีของน้ำคาวปลาจะค่อยๆจางลง กลิ่นจะเป็นกลิ่นคาวเลือด ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า ซึ่งน้ำคาวปลาจะหมดภายใน 3 สัปดาห์
4.แนะนำให้มารดาทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งที่มีการขับถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ โดยล้างน้ำสบู่และล้างด้วยน้ำสะอาดจากหัวหน่าวไปยังทวารหนัก ไม่ถูย้อนไปมาและซับให้แห้ง
5.แนะนำให้ออกกำลังอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละประมาณ 30 นาที เพื่อช่วยให้น้ำคาวปลาไหลดีและมดลูกเข้าอู่ได้เร็ว ซึ่งใน 3 วันแรกหลังคลอดแนะนำให้บริหารท่าที่ 1-5 สำหรับวันที่ 4 เป็นต้นไปแนะนำให้บริหารท่าที่ 1-7 ดังนี้
1.ฝึกการหายใจและบริหารปอด
2.บริหารไหล่และแขน
3.การบริหารคอและกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ เพื่อลดความเครียด
4.ท่าบริหารเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อก้นและกล้ามเนื้อบริเวณฝีเย็บเพื่อให้มดลูกเข้าอู่เร็วและลดอาการปวดหลัง
5.การบริหารกล้ามเนื้อน่องและข้อเข้า
6.การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและอุ้งเชิงกราน
7.การบริการเพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าอกแข็งแรง และเต้านมไม่หย่อนยาน มี 2 ท่า. 7.1 นั่งขัดสมาธิกับพื้น หลังตั้งตรง ยกมือทั้งสองข้างพนมมือเข้าหากันโดยไม่ชิดหน้าอก 7.2 วิดพื้นแบบเข่าแตะพื้น โดยนอนคว่ำแล้วใช้มือสองข้างยันลำตัวให้ส่วนบนลอยสูงพ้นพื้น
6.แนะนำงดการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 6 สัปดาห์หลังคลอด เนื่องจากหลังคลอดแผลภายในโพรงมดลูกยังไม่หายดี ผนังช่องคลอดบาง แผลฝีเย็บยังมีความไวต่อความเจ็บปวดและปากมดลูกยังปิดไม่สนิท เสี่ยงต่อการติดเชื้อในโพรงมดลูกมากยิ่งขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้มารดารายนี้มีน้ำนมไหลน้อย
-ความเครียด
-ความวิตกกังวล
-ความอ่อนเพลีย
-ความปวด
-ขาดการกระตุ้นเต้านมที่ถูกวิธี กล่าวคือมารดาบอกว่าไม่อยากให้ลูกดูดนม
หลักการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยแม่
“บันได 10 ขั้น สู่ความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่” ในบันไดขั้นที่ 4 เริ่มส่งเสริมให้ลูกดูดนมทันทีภายหลังคลอดและให้ลูกอยู่กับแม่นานที่สุดอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
ภายหลังคลอด 45 นาทีพยาบาลนำทารกแรกเกิดไปดูดนมมารดา
มารดาแจ้งว่าไม่อยากให้ลูกดูดนมสีเหลือง
อธิบายให้มารดาฟังว่านมสีเหลืองคือน้ำนมหยดแรกจากอกแม่จะเป็นน้ำนมที่อุดมด้วยภูมิคุ้มกันและสารอาหารที่ สำคัญครบถ้วน ช่วยป้องกันการติดเชื้อ พัฒนาระบบ ภูมิคุ้มกันของลูกให้ดียิ่งขึ้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของ ลำไส้และช่วยการขับถ่ายของลูก
ระยะ 3 วันหลังคลอด
ทารกแรกเกิดมีภาวะ Neonatal jaundice เนื่องจากได้รับนมมารดาช้าและไม่เพียงพอ
กิจกรรมพยาบาล
สังเกตและประเมินอาการตัวเหลืองโดยใช้นิ้วกดบนผิวหนังบริเวณกระดูก จมูก หน้าผาก หน้าอก หรือหน้าแข้ง ถ้าสังเกตเห็นอาการตัวเหลืองอย่างรวดเร็วภายใน 6-24 ชั่วโมงหลังคลอด หรือทารกมีอาการ เหลืองร่วมกับภาวะอื่น เช่น ซีดมาก บวม ตับม้ามโต หรือมีอาการแสดงของภาวะติดเชื้อ ได้แก่ ซึม ไม่ดูดนม อุณหภูมิร่างกายต่ำ ให้รายงานแพทย์อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทารกได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ดูแลให้ทารกได้รับสารน้ำสารอาหาร และนมอย่างเพียงพอตามแผนการรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันภาวะ น้ําตาลในเลือดต่ำ
ดูแลให้ทารกได้รับการรักษาโดยการส่องไฟ โดย
3.1 ถอดเสื้อผ้าทารกออกและจัดให้ทารกอยู่ในท่านอนหงาย หรือนอนคว่ำ พลิกตะแคงทุก 4 ชั่วโมง
3.2 ดูแลให้ทารกได้นอนอยู่บริเวณตรงกลางของแผงหลอดไฟ หากใช้หลอดแสงสีฟ้าชนิดพิเศษสลับกับแสงสีขาวให้อยู่ห่างจากตัวเด็ก 20-30 เซนติเมตร
3.3 บันทึกและรายงานการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพทุก 2-4 ชั่วโมง ถ้าพบว่าอุณหภูมิกาย ของทารกต่ำมาก ปลายมือปลายเท้าเย็น ใช้เครื่องทําความอบอุ่น (radiant warmer) หรืออยู่ในตู้อบ เพื่อช่วยให้อุ่นขึ้น ส่วนทารกที่มีอุณหภูมิสูงอาจมีสาเหตุเนื่องมาจากการขาดน้ำ ต้องตรวจดูความตึงตัวของผิวหนังกระหม่อม และการชั่งน้ำหนักตัวทุกวัน หรือถ้ามีภาวะติดเชื้อ ควรประเมินอาการผิดปกติ เช่น ดูดนมไม่ดี ซึมลง เคลื่อนไหวน้อย มีอาเจียนหลังดูดนม ควรรายงานให้แพทย์ทราบ
3.4 ปิดตาทารกด้วยผ้าปิดตา (eyes patches) เพื่อป้องกันการระคายเคืองของแสงต่อตา เช็ดทํา ความสะอาดตา และตรวจตาของทารกทุกวัน เพราะอาจมีการระคายเคืองจากผ้าปิดตา ทําให้ตาอักเสบ ควรเปิดตาทุก 4 ชั่วโมง และเปลี่ยนผ้าปิดตาทุก 8-12 ชั่วโมง ระหว่างให้นมควรเปิดผ้าปิดตาเพื่อให้ทารกได้สบตากับมารดา เป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกันระหว่างมารดากับทารก
3.5 สังเกตลักษณะอุจจาระ เพราะทารกอาจจะมีอาการถ่ายเหลวสีเขียวปนเหลืองจากบิลิรูบินและ น้ำดี ระหว่างการส่องไฟทารกอาจถ่ายอุจจาระบ่อยขึ้น ให้บันทึกลักษณะและจํานวนอุจจาระอย่างละเอียดเพื่อประเมินภาวะสูญเสียน้ำ และดูแลให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
3.6 ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจเลือดหาระดับบิลิรูบินในเลือดอย่างน้อยทุก 12 ชั่วโมง
มารดามีภาวะหัวนมแตกเนื่องจากให้ลูกกินนมผิดวิธี
กิจกรรพยาบาล
อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้หัวนมแตกคือการอุ้มลูกดูดนมไม่ถูกวิธี ลูกอมหัวนมไม่ลึกถึงลานนม
แนะนำให้บีบน้ำนมทาบริเวณหัวนมที่แตกแล้วปล่อยให้แห้งเอง แล้วค่อยใส่ยกทรง โดยใช้แผ่นซับน้ำนมหรือกระดาษนุ่มรองในยกทรง
ช่วยให้อุ้มลูกได้ถนัด ก่อนให้ลูกดูดนมแม่ เพราะการดูดนมแต่ละครั้งในระยะที่มีหัวนมแตก แม่จะเจ็บมาก ถ้าแม่อุ้มได้ถนัดและสบายจะทำให้สร้างความมั่นใจในเบื้องต้น
สอนและช่วยจัดท่าอุ้มให้ลูกดูดนมแม่ โดยการสอน ท่าฟุตบอล เพราะจะทำให้ลูกอมหัวนมได้ลึกขึ้น
5.ให้ลูกดูดนมข้างที่เป็นแผลน้อยก่อน ซึ่งจะมีข้อดี เพราะโดยธรรมชาติเวลาเมื่อลูกเริ่มดูดนมลูกจะดูดแรง ถ้าให้ลูกดูดข้างที่เป็นแผลมาก แผลจะยิ่งเป็นมากขึ้น ทำให้มารดาหลังคลอดยิ่งเจ็บมากขึ้น นอกจากนั้นการที่ลูกดูดนมแรงในระยะแรก จะทำให้Oxytocin reflex ทำงานได้ดี น้ำนมก็จะไหลดีขึ้น เมื่อย้ายลูกมาดูดข้างที่เป็นแผลมากน้ำนมก็จะไหลสะดวก มารดาหลังคลอดจะเจ็บน้อยลง
ช่วยให้ลูกอ้าปากกว้างที่สุด เคลื่อนศีรษะลูกเข้าหาเต้านมโดยเร็ว เพื่อจะได้งับลานหัวนมลึกพอ เคลื่อนไหวมือทั้ง 2 ข้างที่จับเต้านมและมือที่ประคองบริเวณท้ายทอยลูก จนกว่าลูกจะดูดติดจึงปล่อยมือได้
แนะนำให้บีบน้ำนมออกก่อนให้ลานนมนิ่ม เพื่อให้ลูกอมหัวนมได้ลึกถึงลานหัวนม หลีกเลี่ยงการดูดถูกหัวนมที่แตก ไม่ควรใช้ครีมทาแผลที่หัวนมเพราะอาจทำให้แผลเป็นมากขึ้น
ดูแลให้รับประทานยาแก้ปวด Paracetamal (500 mg) 2 เม็ดเวลาปวด ห่างกันทุก 4-6 ชั่วโมง
แนะนำวิธีการถอนหัวนมจากปากอย่างถูกวิธี คือ ให้สอดนิ้วก้อย ลงไปที่มุมปากลูก เพื่อให้อากาศเข้าไปช่วยคลายผนึกที่ลูกดูดติดอยู่กับหัวนม ทำให้มารดาหลังคลอดไม่เจ็บหัวนมและหัวนมไม่แตกเพิ่มขึ้น
ติดตามและฝึกมารดาหลังคลอดให้นมบุตรด้วยตนเองอย่างถูกวิธี โดยการส่งเวรต่อให้พยาบาลเวรต่อๆไปช่วยดูแล จนมารดาหลังคลอดเกิดความมั่นใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
11.ให้ญาติและสามีเข้ามามีส่วนร่วมในการให้นมบุตร เช่น การบีบน้ำนมทาบริเวณที่หัวนมแตก
ไม่สุขสบายเนื่องจากเต้านมคัดตึง
กิจกรรมพยาบาล
ดูแลให้ยาแก้ปวด Paracetamal (500 mg) 2 เม็ดทางปาก เวลาปวด ห่างกันทุก 4-6 ชั่วโมง
ดูแลใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นจัดประคบเต้านม 3- 5 นาที พร้อมกับนวดเต้านม
ดูแลบีบน้ำนมออกจากเต้าด้วยมือ จนกระทั่งลานนมนิ่ม ลูกสามารถคาบลานนมได้ติด
สอนและฝึกมารดาหลังคลอดนวดเต้านมและบีบน้ำนมออกจนเกลี้ยงเต้าด้วยตนเอง
ฝึกมารดาหลังคลอดประคบเต้านมและบีบน้ำนมด้วยตนเอง
แนะนำมารดาให้ลูกดูดนมบ่อยขึ้น อย่างน้อยทุก 1-2 ชั่วโมงให้เวลาลูกดูดอย่างน้อย 15-20 นาที
ให้กำลังใจโดยให้ญาติและสามีเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลเต้านมคัดตึง เช่น ฝึกให้ช่วยประคบและบีบน้ำนมออกจากเต้านมมารดาหลังคลอด
ดูแลหลังลูกดูดนมเสร็จแล้วใช้ผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบเต้านม เพื่อบรรเทาอาการปวด
ติดตามและฝึกมารดาหลังคลอดให้ทำด้วยตนเอง จะทำให้มารดาหลังคลอดเกิดความมั่นใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และประสบผลสำเร็จ
1.อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เต้านมคัดตึง คือ การให้ลูกดูดนมไม่ถูกวิธี ลูกอมหัวนมไม่ลึกถึงลานนม
ระยะ 6 สัปดาห์หลังคลอด
ขาดทักษะการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
กิจกรรมพยาบาล
สอนและฝึกปฏิบัติการให้นมบุตรในท่าที่ถูกต้อง เพื่อช่วยให้มารดาหลังคลอดเกิดความมั่นใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และประสบผลสำเร็จสอนวิธีการให้นมอย่างถูกวิธี โดยอุ้มให้ถูกต้อง ใช้มือจับเต้านม โดยใช้นิ้วหัวแม่มืออยู่ด้านบน และนิ้วอื่นๆ รองรับเต้านม ปากทารกอยู่บริเวณลานหัวนม
3.ให้ญาติและสามีเข้ามามีส่วนร่วมในการให้นมบุตร เช่น การประคองหัวเด็กช่วยขณะมารดาให้นมบุตร
พูดคุยให้กำลังใจมารดาหลังคลอดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
5.สอนเทคนิคการนวดเต้านมให้แก่มารดาเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนม
การให้อาหารให้ทารกกินนมมารดาอย่างเดียวนาน 6 เดือน แล้วจึงให้อาหารเสริมตามวัย ซึ่งดูได้ในสมุดบันทึกสุขภาพสีชมพู
สอนและจัดท่านอนที่ถูกต้องหลังการดูดนม อุ้มทารกเรอแล้ว 15 นาที จัดให้ทารกนอนตะแคงด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อป้องกันการสำลักนม และยกศีรษะสูงเล็กน้อย
พูดคุยแนะนำถึงประโยชน์ของนมแม่ที่มีต่อลูกและต่อแม่ แนะนำให้เลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดาอย่างเดียวนานอย่างน้อย 6 เดือน เพราะน้ำนมมารดามีประโยชน์ มีคุณค่าทางสารอาหารสูง เหมาะสำหรับเลี้ยงทารก สะอาด ประหยัด และมีภูมิต้านทานโรค
มารดามีสีหน้า วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย บางครั้งร้องไห้คนเดียว
มารดามีภาวะเศร้าหลังคลอด (Postpartum blues หรือ baby blues) พบในช่วง 10 วันแรกหลังคลอดพบมากในครรภ์แรก ซึ่งพบว่ามารดาหลังคลอดไม่ได้เตรียมตัวรับความรู้สึกเศร้า แต่ความรู้สึกนี้จะค่อยๆเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจอาจเนื่องมาจากปัจจัยดังนี้ (ฐิติพรอิงคถาวรวงศ์, 2558)
1 มีการลดลงทันทีของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในช่วง 72 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
2 ผิดหวังเกี่ยวกับรูปร่างของตนเองในช่วงหลังคลอดเช่นหน้าท้องห้อยหย่อนยานรู้สึกเบื่อหน่ายคิดว่าตนเองมีรูปร่างที่ไม่น่าดูไม่เป็นที่ดึงดูดใจจากผู้อื่นและมักคิดว่าไม่สามารถทำรูปร่างให้เหมือนเดิมได้
3 มีความเครียดทางร่างกายเช่นอ่อนเพลียเจ็บแผลฝีเย็บปวดจากเต้านมคัดตึงเจ็บริดสีดวงทวาร
4 มีความเครียดด้านจิตใจในช่วงรับบทบาทการเป็นมารดา แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคงไว้ซึ่งบทบาทการเป็นภรรยาที่ดี
5 มีความขัดแย้งระหว่างบุคคลเช่นมีความขัดแย้งระหว่างตนเองกับสามีกับสมาชิกคนอื่น ๆ ภายในบ้านกับเพื่อนหรือเพื่อนบ้าน
6 รู้สึกถูกละเลยไม่ได้รับความสนใจเนื่องจากช่วงหลังคลอดบุคคลแวดล้อมจะแสดงความชื่นชมยินดีกับทารกมากกว่าที่จะแสดงความชื่นชมยินดีหรือสนใจหญิงระยะหลังคลอดทำให้หญิงระยะหลังคลอดมักมีความรู้สึกเศร้าและเสียใจ
กิจกรรมการพยาบาล
1 พยาบาลควรรับฟังปัญหาต่าง ๆ ของมารดาหลังคลอด (emotional Support) พร้อมทั้งให้คำแนะนำแก่มารดาหลังคลอดและครอบครัวเพิ่มเติมหากพบว่ายังไม่สามารถดูแลตนเองได้
2 พยาบาลช่วยดูแลทารก (instrumental support) เมื่อมารดายังไม่พร้อมในการดูแลบุตรหรือพบว่ามีอารมณ์เศร้า (postpartum blues)
3แนะนำกิจกรรมกลุ่มเพื่อให้มารดาที่เคยซึมเศร้าหลังคลอดมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ (informational support)
4 พยาบาลมีการวางแผนจำหน่าย (discharge plan) เพื่อการดูแลต่อเนื่อง
อาบน้ำให้ลูกไม่ถูก กลัวทำลูกจมน้ำ
การปรับตัวด้านจิตสังคมของมารดาในระยะหลังคลอดไม่เหมาะสม เนื่องจากการปรับตัวด้านจิตสังคมไม่เกิดทันทีหลังการคลอดค่อยๆเกิดตามลำดับโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญในการปรับ ได้แก่ สภาพร่างกายของมารดาหลังคลอดการได้รับเอาใจใส่ดูแลจากสามีและการสนับสนุนทางสังคมการเปลี่ยนแปลงทางจิตสังคมเกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างความคุ้นเคยระหว่างมารดากับทารกซึ่งความรักใคร่ความผูกพันของมารดาต่อทารกในระยะหลังคลอดคือช่วง 30- 60 นาที
กิจกรรมการพยาบาล
1 พยาบาลต้องให้การดูแลช่วยเหลือประคับประคองและตอบสนองความต้องการของมารดาหลังคลอดทางด้านร่างกายและด้านจิตใจเนื่องจากมารดายังมีความรู้สึกไม่สุขสบายและปวดจากการคลอดอยู่
2ให้การพยาบาลด้วยท่าทีที่อบอุ่นเห็นอกเห็นใจเข้าใจความรู้สึกด้วยความจริงใจเพื่อให้มารดาหลังคลอดมีความรู้สึกว่ามีผู้สนใจเอาใจใส่ตนเองเกิดความอบอุ่นใจ
3 เปิดโอกาสให้มารดาหลังคลอดได้ระบายความรู้สึกและรับฟังด้วยความสนใจจะช่วยให้มารดาหลังคลอดสบายใจขึ้น
4 พยาบาลควรอธิบายให้สามีและญาติเข้าใจถึงความรู้สึกและการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของมารดาหลังคลอดและสนับสนุนให้มารดาหลังคลอดได้พูดคุยกับสามีญาติรวมทั้งมารดาหลังคลอตรา อื่น ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการคลอด
5 สังเกตอาการผิดปกติทางด้านจิตใจที่อาจจะเกิดขึ้นให้ความสนใจทั้งคำพูดและพฤติกรรมที่แสดงออกเพื่อประเมินสภาพจิตใจและให้การพยาบาลช่วยเหลือ แต่เนิ่นๆก่อนที่อาการทางจิตจะรุนแรงมากขึ้น
การปรับบทบาทต่อการเป็นมารดาหลังคลอดรายนี้ อยู่ในระยะที่ 1 หรือ Taking in phase ระยะเริ่มเข้าสู่บทบาทการเป็นมารดาหรือระยะพึ่งพาเป็นระยะ 1-2 วันแรกหลังคลอดร่างกายมีความอ่อนล้าไม่สุขสบายจากการปวดมดลูกเจ็บปวดแผลฝีเย็บและคัดตึงเต้านมบางรายอาจปวดร้าวกล้ามเนื้อบริเวณตะโพกและฝีเย็บจนกระทั่งเดินไม่ได้ในช่วงวันแรกช่วยเหลือตนเองได้น้อยในช่วงนี้จึงสนใจแต่ตนเองมีความต้องการพึ่งพาผู้อื่น
การส่งเสริมบทบาทบิดา
สามีของมารดาหลังคลอดอาจมีอาการเศร้าหลังคลอด (Baby blues) เกิดขึ้นได้ซึ่งอาจเกิดจากร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นการพักผ่อนไม่เพียงพอกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในรู้สึกไม่มั่นคงในการสวมบทบาทบิดาและมีความยากในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์กับภรรยาภายหลังจากคลอดทารกเป็นต้น ดังนั้นการตอบสนองของสามีต่อมารดาหลังคลอดจะขึ้นกับการได้เข้าร่วมกระบวนการคลอดของภรรยา ยังต้องขึ้นกับบุคลิกภาพความพร้อมที่จะเป็นบิดาและความสัมพันธ์กับภรรยาอีกด้วย
ประเมินสุขภาพมารดาหลังคลอดด้วยหลักการ 12B
การประเมินมารดาทารกควรจะครอบคลุมในทุกระยะของการตั้งครรภ์ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ระยะตั้งครรภ์ระยะคลอดและหลังคลอดที่มีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจในระยะหลังคลอดโดยใช้หลัก BUBBLERS ดังนี้
โซนนี้ใส่รูป
กลไกการสร้างและการหลั่งน้ำนม
เมื่อทารกดูดนมจะมีการกระตุ้นปลายประสาทบริเวณหัวนมและลานนมส่งกระแสประสาทไปตามไขสันหลังเข้าสู่สมองซึ่งจะกระตุ้น hypothalamus ให้เกิดผล 2 ประการคือ
1 ต่อมใต้สมองส่วนหน้า (anterior pituitary gland) หลั่ง prolactin ไปกระตุ้นเซลล์สร้างน้ำนม (alveolar cel) ให้สร้างน้ำนมพบว่าขณะลูกดูดนมระดับของ prolactin จะสูงประมาณ 30 นาทีภายหลังจากลูกดูดนมเสร็จส่งผลให้มีการสร้างน้ำนมไว้สำหรับการให้นมมื้อต่อไปและระดับของ prolactin ทั้งกลางวันและกลางคืน ดังนั้นหากต้องการให้เต้านมสร้างน้ำนมต่อไปเรื่อยๆจะมีการระบายน้ำนมอย่างสม่ำเสมอ
2 ต่อมใต้สมองส่วนหลัง (posterior pituitary gland) หลั่งฮอร์โมน oxytocin กระตุ้นให้เซลล์กล้ามเนื้อที่อยู่รอบต่อมน้ำนม (myoepithelial cell) หดตัวบีบน้ำนมจากทุกๆ alveoli ไหลผ่านท่อน้ำนมออกมาจนเข้าสู่ปากลูกขณะดูดนมได้ ซึ่งการหลั่งฮอร์โมนนี้มากขึ้นทำให้มีน้ำนมไหลโดยที่ลูกดูดนมเรียกว่า milk-election reflex หรือ let down reflex นอกจากฮอร์โมน oxytocin ยังมีผลทำให้มดลูกหดรัดตัวขับน้ำคาวปลา ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น เมื่อทารกดูดนมแม่วันแรกๆ แม่จะรู้สึกเจ็บบริเวณท้องน้อย เรียกว่า after pain
ระยะ2วัน หลังคลอด
การสร้างน้ำนม
อยู่ในระยะที่ 1 (lactogenesis I) เกิดขึ้นระหว่างช่วงตั้งครรภ์ประมาณ 12 สัปดาห์ก่อนคลอดจนถึง 2-3 วันแรกหลังคลอด เป็นระยะที่ต่อมน้ำนมสร้างหัวน้ำนม (colostrum) และเก็บไว้ในต่อมน้ำนม แต่ยังไม่มีการหลั่งน้ำนมในระยะตั้งครรภ์เนื่องจากฮอร์โมนโปรแลกตินจะถูกยับยั้งด้วย prolactin inhibiting factor (PIF) ได้แก่ โปรเจสเตอโรน เอสโตร เจนอินซูลิน human placental lactogen และ cortisol การสร้างน้ำนมระยะนี้จะถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนเป็นหลัก
การเตรียมมารดา เพื่อให้ทารกได้รับนมมารดา
การจัดท่าให้นมลูกอย่างถูกวิธี