Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 9 การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ, นายศราวุฒิ เป็งมูล 6201210255…
บทที่ 9
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
1. ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
1.1 อายุ หรือ พัฒนาการในวัยต่าง ๆ (Developmental growth)
1) วัยเด็ก เด็กทารกกระเพาะปัสสาวะมีความจุน้อยการขับถ่ายปัสสาวะจึงบ่อยครั้งกว่าผู้ใหญ่
2) ผู้สูงอายุ จากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามวัย เมื่อมีน้ำปัสสาวะเพียง 150-200 มิลลิลิตร กระเพาะปัสสาวะก็จะบีบตัวทำให้รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะและทำให้ถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้น
1.2 น้ำและอาหาร (Food and fluid)
1) จำนวนน้ำที่ร่างกายได้รับ (Fluid intake)
2) จำนวนน้ำที่ร่างกายสูญเสีย (Loss of body fluid) เช่น การสูญเสียเหงื่อ มีไข้สูง
3) อาหารที่ร่างกายได้รับ (Food intake) เช่น อาหารที่มีความเค็มมาก (มีปริมาณโซเดียมสูง) ปัสสาวะจะออกน้อยลงและเข้มข้นมาก
1.3 ยา (Medication)
เช่น ยาที่ขับออกทางระบบปัสสาวะจะส่งผลให้สีของน้ำปัสสาวะเปลี่ยนแปลง
1.4 ด้านจิตสังคม (Psychosocial factors)
เช่น ความเครียดและความวิตกกังวลกระตุ้น
ให้อยากถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น ความกลัวที่รุนแรงอาจทำให้กลั้นปัสสาวะไม่ได
1.5 สังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factor)
สังคมและวัฒนธรรมประเพณี
รวมถึงการอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวมีอิทธิพลต่อนิสัยการขับถ่ายของบุคคล
1.6 ลักษณะท่าทาง (Body position)
โดยปกติผู้ชายจะใช้ท่ายืนซึ่งพบว่าผู้ชายบางรายจะมี
ปัญหาในการขับถ่ายปัสสาวะเมื่ออยู่ในท่านอนราบ ส่วนผู้หญิงจะใช้ท่านั่ง
1.7 กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Activity and Muscle tone)
1) การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2) ผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะไว้เป็นเวลานาน ทำให้กระเพาะปัสสาวะตึงตัวน้อยลง
3) สตรีในภาวะหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ก็ทำให้กระเพาะปัสสาวะตึงตัว
ลดลงด้วยเช่นกัน
4) ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนาน ๆ ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว มีผลทำให้ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
กระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อหูรูดลดลง
1.8 พยาธิสภาพ (Pathologic conditions)
พยาธิสภาพของโรคหลายชนิดมีผลต่อการสร้างปัสสาวะทั้งปริมาณและคุณภาพ เช่น นิ่ว ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นต้น
1.9 การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่าง ๆ (Surgical and diagnostic procedure)
1) ความเครียดและความวิตกกังวลในกระบวนการรักษาทำให้ร่างกายหลั่ง ADH และยังทำให้มีการเพิ่มขึ้นของ Aldosterone ทำให้เกิดการคั่งของโซเดียมและน้ำ
2) การตรวจวินิจฉัยในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น การส่องกล้องเพื่อตรวจในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (Cystoscopy) อาจมีผลทำให้มีเลือดออกในปัสสาวะ เป็นต้น
3) การฉีดยาชาที่ไขสันหลัง ส่งผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ
2. แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
2.1 แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
1) แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ
(2) กรณีอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ทันที ต้องสามารถกลั้นได้
(3) เวลาที่ใช้ในการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน 30 วินาที
(4) ตลอดการถ่ายปัสสาวะจะไม่มีอาการเจ็บปวด
(5) ลำปัสสาวะช่วงแรกจะพุ่งแรงและใหญ่กว่าตอนสุด
(6) ปัสสาวะประมาณ 4-6 ครั้งต่อวัน และปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน
(7) มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอน ตอนเช้าหลังตื่นนอน ก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
8) การถ่ายปัสสาวะจะเว้นช่วงห่างประมาณ 2–4 ชั่วโมงในเวลากลางวัน และ 6-8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน
(1) อยากถ่ายปัสสาวะเมื่อมีปริมาณปัสสาวะอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ 100-400 มิลลิลิตร
(9) จำนวนปัสสาวะประมาณ 250-400 มิลลิลิตรต่อครั้ง หรือไม่ควรน้อยกว่า 30 มิลลิลิตร ใน 1 ชั่วโมง
(10) Residual urine ไม่ควรเกิน 50 มิลลิลิตร ในผู้ใหญ่ และไม่ควรเกิน 100 มิลลิลิตรในผู้สูงอายุ
2) ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ มีดังนี้
(1)ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800 –1,600 มิลลิลิตร
(2)ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน
(3)สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้ม
สีเหลืองฟางข้าว หรือสีเหลืองอำพัน
(4)มีความเป็นกรดอ่อนๆ pH ประมาณ 4.6-8.0
(5)มีความถ่วงจำเพาะ (Specific gravity) ประมาณ 1.015-1.025
(6)เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic examination) ไม่พบ Casts,Bacteria, Albumin หรือน้ำตาล ไม่พบเม็ดเลือดแดง
(7)ปัสสาวะใหม่มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ถ้าตั้งทิ้งไว้นานๆ จะได้กลิ่นแอมโมเนียที่แรง
2.2 การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
1) ไม่มีปัสสาวะ (Anuria/Urinary suppression) เป็นภาวะที่มีปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 50 มิลลิลิตรต่อวันหรือไม่มีการปัสสาวะเลย
2) ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ (Oliguria) เป็นภาวะที่มีปัสสาวะน้อยกว่า 500 มิลลิลิตร ใน 24 ชั่วโมง
3) ปัสสาวะมากกว่าปกติ (Polyuria หรือ Diuresis) เป็นภาวะที่ไตผลิตปัสสาวะออกมา
จำนวนมากกว่าปกติ
4) ปัสสาวะตอนกลางคืน (Nocturia) เป็นภาวะที่มีการถ่ายปัสสาวะในตอนกลางคืนมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป
5) ปัสสาวะขัด ปัสสาวะลำบาก (Dysuria) เป็นภาวะที่มีการเบ่งถ่ายปัสสาวะ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเวลาถ่ายปัสสาวะ ถ่ายลำบาก
6) ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย (Pollakiuria) เป็นภาวะที่มีการถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้งกว่าปกติ
7) ปัสสาวะรดที่นอน (Enuresis) เป็นภาวะที่มีปัสสาวะไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจในเด็กที่มีอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป
8) ปัสสาวะคั่ง (Urinary retention) เป็นภาวะที่มีน้ำปัสสาวะคั่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะเป็นจำนวนมากกว่าปกติและไม่สามารถจะถ่ายปัสสาวะออกมาได้
9) กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้ (Urinary incontinence) เป็นภาวะที่ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้
(1) กลั้นปัสสาวะไม่อยู่โดยสิ้นเชิง (True Incontinence) ปัสสาวะจะไหลตลอดเวลา
โดยไม่มีความรู้สึกปวดอยากถ่ายปัสสาวะ
(2) กลั้นปัสสาวะไม่ทัน หรือ ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน (Urge incontinence/Urgency/ Overactive bladder) เป็นภาวะที่เมื่อรู้สึกปวดอยากถ่ายปัสสาวะก็มีปัสสาวะเล็ด
(3) ปัสสาวะเล็ด (Stress incontinence) คือการที่มีปัสสาวะไหลซึมออกมาโดยไม่ตั้งใจขณะที่มีความดันในช่องท้องสูงขึ้น เช่น ไอ จาม หัวเราะ ยกของ ออกกำลังกาย
(4) ปัสสาวะท้น (Overflow incontinence) เป็นภาวะที่มีปัสสาวะจำนวนมากเกินกว่า
ที่กระเพาะปัสสาวะจะเก็บกักไว้ได้
5) ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่เกิดจากภาวะหรือโรคอื่น ๆ (Functional Incontinence) เช่น จากการติดเชื้อ สาเหตุจากจิตใจ-อารมณ์ อาการเพ้อคลั่ง (Delirium)
3. ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
3.1 ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)
ภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงปนออกมาในน้ำปัสสาวะ
ทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดง อาจเห็นชัดเป็นเลือดสดๆ
3.2 น้ำตาลในปัสสาวะ (Glycosuria)
ภาวะที่มีน้ำตาลปนออกมาในน้ำปัสสาวะ
โดยคนปกติจะตรวจไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะ
3.4 คีโตนในปัสสาวะ (Ketonuria)
ภาวะที่ตรวจพบคีโตนในน้ำปัสสาวะโดยคีโตนเป็น
ผลจากการเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน แทนพลังงานที่ได้จากน้ำตาล
3.3 โปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria หรือ Albuminuria)
ภาวะที่มีโปรตีนหรือ
แอลบูมิน ในปัสสาวะมากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน
3.5 ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ำตาลของบิลิรูบิน (Bilirubinuria)
ภาวะที่ตรวจพบบิลิรูบินในน้ำปัสสาวะ โดย bilirubinเป็น Breakdown product ของ Hemoglobin ซึ่งปกติจะไม่พบในปัสสาวะ
4. หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
4.1 ส่งเสริมให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
ในผู้ใหญ่ควรได้รับน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ
6-8 แก้ว หรือประมาณ 1,500-2,000 มิลลิลิตร
4.2 ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
1) ดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
2) ฝึกถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ ทุก 2-4 ชั่วโมง
3) ดื่มน้ำ 2 แก้วก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์
4) อาบน้ำด้วยฝักบัวแทนอาบในอ่างอาบน้ำ หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่แรง
5) ใส่ชุดชั้นในที่ทำด้วยผ้าฝ้ายดีกว่าทำด้วยไนล่อน
6) หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงที่แน่นหรือคับเกินไป
7) เพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ โดยการรับประทานวิตามินซี และดื่มน้ำผลไม้ที่เป็นกรด
8) ใช้ Estrogen cream ตามแผนการรักษาของแพทย์
4.3 ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างเต็มที่
หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ซึ่งสามารถลดอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้มากถึง 60 % ของผู้ที่ร่วมมือในการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
4.4 การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีปัสสาวะไม่ออก
1) จัดให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวในที่มิดชิดขณะถ่ายปัสสาวะ
2) ช่วยให้ผู้ป่วยได้ถ่ายปัสสาวะในท่าที่สะดวกเป็นธรรมชาติ
3) การเปิดก๊อกน้ำให้ได้เห็น
4) การใช้ความร้อนช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ
5) ให้เวลาในการขับถ่ายปัสสาวะ ไม่เร่งรัดผู้ป่วยเกินไป
6) ช่วยกดหน้าท้องเบาๆ เหนือบริเวณกระเพาะปัสสาวะจะช่วยให้ปัสสาวะสะดวก
4.7 การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีที่ไม่สามารถไปห้องน้ำได้
พยาบาลอาจต้องนำหม้อนอน (Bedpan)
4.6 เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
เป็นวิธีที่ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีความบกพร่องเกี่ยวกับ
ความรู้ความเข้าใจในช่วงเวลาถ่ายปัสสาวะที่ยาวนานมาก
4.5 สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
การนวดกระเพาะปัสสาวะเป็นเทคนิคที่ช่วยทำให้กระเพาะปัสสาวะว่าง
นายศราวุฒิ เป็งมูล 6201210255 เลขที่ 11 วิชา SN213