Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
1 อายุ หรือ พัฒนาการในวัยต่าง ๆ
1) วัยเด็ก เด็กทารกกระเพาะปัสสาวะมีความจุน้อย การขับถ่ายปัสสาวะจึงบ่อยครั้งกว่าผู้ใหญ่
2) ผู้สูงอายุ จากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามวัย กระเพาะปัสสาวะก็จะบีบตัวทำให้รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะและทำให้ถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้น
2 น้ำและอาหาร
2) จำนวนน้ำที่ร่างกายสูญเสีย
3) อาหารที่ร่างกายได้รับ
1) จำนวนน้ำที่ร่างกายได้รับ
3 ยา
เช่น ยาที่ขับออกทางระบบปัสสาวะจะส่งผลให้สีของน้ำปัสสาวะ
เปลี่ยนแปลง
4 ด้านจิตสังคม
เช่น ความเครียดและความวิตกกังวลกระตุ้น
ให้อยากถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น
5 สังคมและวัฒนธรรม
6 ลักษณะท่าทาง
7 กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนาน ๆ ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว มีผลทำให้ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
กระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อหูรูดลดลง
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำให้การเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้มีการผลิตปัสสาวะมากขึ้น
8 พยาธิสภาพ
9 การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่าง ๆ
2) การตรวจวินิจฉัยในระบบทางเดินปัสสาวะ
3) การฉีดยาชาที่ไขสันหลัง ส่งผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะของผู้ป่วย
1) ความเครียดและความวิตกกังวลในกระบวนการรักษา
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
1 แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
1) แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ
ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ
มีความเป็นกรดอ่อนๆ pH ประมาณ 4.6-8.0
มีความถ่วงจำเพาะ (Specific gravity) ประมาณ 1.015-1.025
สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้ม สีเหลืองฟางข้าว หรือสีเหลืองอำพัน
เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ไม่พบ Casts,Bacteria, Albumin หรือน้ำตาล ไม่พบเม็ดเลือดแดง
ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน
ปัสสาวะใหม่มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ถ้าตั้งทิ้งไว้นานๆ จะได้กลิ่นแอมโมเนียที่แรง
ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800–1,600 มิลลิลิตร
2 การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
ลักษณะ
5) ปัสสาวะขัด ปัสสาวะลำบาก
6) ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย
4) ปัสสาวะตอนกลางคืน
7) ปัสสาวะรดที่นอน
3) ปัสสาวะมากกว่าปกติ
8) ปัสสาวะคั่ง
2) ปัสสาวะน้อยกว่าปกต
9) กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
1) ไม่มีปัสสาวะ
ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
5 ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ำตาลของบิลิรูบิน
6 ปัสสาวะมีสีดำของฮีโมโกลบิน
4 คีโตนในปัสสาวะ
7 ปัสสาวะเป็นหนอง
3 โปรตีนในปัสสาวะ
8 นิ่วในปัสสาวะ
2 น้ำตาลในปัสสาวะ
9 ไขมันในปัสสาวะ
1 ปัสสาวะเป็นเลือด
หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
1 ส่งเสริมให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
2 ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
4) อาบน้ำด้วยฝักบัวแทนอาบในอ่างอาบน้ำ หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่แรง การแช่ฟองสบู่
5) ใส่ชุดชั้นในที่ทำด้วยผ้าฝ้ายดีกว่าทำด้วยไนล่อน
3) ดื่มน้ำ 2 แก้วก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ และปัสสาวะทิ้งทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์
6) หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงที่แน่นหรือคับเกินไป
2) ฝึกถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ ทุก 2-4 ชั่วโมง
7) เพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ โดยการรับประทานวิตามินซี
1) ดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว (แก้วละ 240 มิลลิลิตร)
8) ใช้ Estrogen cream ตามแผนการรักษาของแพทย์
3 ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างเต็มที่
4 การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีปัสสาวะไม่ออก
3) การเปิดก๊อกน้ำให้ได้เห็น หรือได้ยินเสียงน้ำไหล
4) การใช้ความร้อนช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ
2) ช่วยให้ผู้ป่วยได้ถ่ายปัสสาวะในท่าที่สะดวกเป็นธรรมชาติ
5) ให้เวลาในการขับถ่ายปัสสาวะ ไม่เร่งรัดผู้ป่วยเกินไป
1) จัดให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวในที่มิดชิดขณะถ่ายปัสสาวะ
6) ช่วยกดหน้าท้องเบาๆ เหนือบริเวณกระเพาะปัสสาวะจะช่วยให้ปัสสาวะสะดวก
5 สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
6 เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
7 การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีที่ไม่สามารถไปห้องน้ำได้
การสวนปัสสาวะ
วัตถุประสงค์ของการสวนปัสสาวะ
4) เพื่อเก็บน้ำปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อ
5) เพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ หรือใส่ยาในกระเพาะปัสสาวะ
3) เพื่อตรวจสอบจำนวนน้ำปัสสาวะที่เหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ
6) เพื่อศึกษาความผิดปกติของท่อปัสสาวะ
2) เพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะว่างในผู้ป่วยที่ต้องทำหัตถการต่างๆ
7) เพื่อตรวจสอบจำนวนน้ำปัสสาวะที่ขับออกมาในผู้ป่วยอาการหนักอย่างถูกต้อง
1) เพื่อระบายเอาน้ำปัสสาวะออกในผู้ป่วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะเองได้
ชนิดของการสวนปัสสาวะ
1) การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว (Intermittent catheterization)
2) การสวนคาสายสวนปัสสาวะ ( Indwelling catheterization or retainedcatheterization)
หลักการพยาบาลผู้ป่วยได้รับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะ
วัตถุประสงค์
2) ป้องกันการเกิดแผลกดทับในรายที่ต้องรักษาตัวนาน ๆ
3) ป้องกันการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้
1) เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันการระคายเคืองของผิวหนัง
4) ป้องกันการอักเสบในรายที่มีแผล
การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
2 วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว
2) เตรียม Syringe sterile เข็มปลอดเชื้อ Sterile swab น้ำยาฆ่าเชื้อ
3) ล้างมือ สวมถุงมือสะอาด เช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
1) ใช้Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นานประมาณ 15–30 นาทีเพื่อให้มีปัสสาวะใหม่เก็บอยู่ก่อน
4) ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะตรงตำแหน่งที่ทำความสะอาดฆ่าเชื้อไว้แล้ว ดูดปัสสาวะออกมาประมาณ 10 มล. ส่งตรวจเพาะเชื้อทันที
3 วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
เป็นการเก็บปัสสาวะที่มีการรวบรวมไว้จนครบ 24 ชั่วโมงแล้ว ส่งตรวจ เริ่มเก็บปัสสาวะเวลา 08.00 น. โดยให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะทิ้งก่อนเริ่มเก็บ และรวบรวม น้ำปัสสาวะที่เก็บได้หลัง 08.00 น. จนครบกำหนด 24 ชั่วโมง แล้วถ่ายปัสสาวะเก็บเป็นครั้งสุดท้าย คือ เวลา 08.00 น. เช้าวันรุ่งขึ้น ควรแนะนำให้งดโปรตีน คาเฟอีน ก่อนการเก็บปัสสาวะประมาณ 6 ชั่วโมง และให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ ก่อนและระหว่างการเก็บ (ถ้าไม่มีข้อห้าม)
1 วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง
โดยให้ผู้ป่วยทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ำสะอาด ล้างมือให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง ให้ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ หรือประมาณ 30-50 ml.โดยห้ามสัมผัสด้านในของภาชนะ แล้วปัสสาวะช่วงสุดท้ายทิ้งไป นำปัสสาวะไปส่งให้เจ้าหน้าที่โดยเร็วที่สุด
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
2 การวินิจฉัยทางการพยาบาล
3 การวางแผนการพยาบาล และการปฏิบัติการพยาบาล
1 การประเมิน
4 ประเมินผลการพยาบาล