Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 9 การพยาบาลมารดาและทารกที่มีภาวะติดเชื้อขณะตั้งครรภ์(…
บทที่ 9
การพยาบาลมารดาและทารกที่มีภาวะติดเชื้อขณะตั้งครรภ์( การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ)
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะในขณะตั้งครรภ์
1.มีการเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคที่สำคัญของระบบทางเดินปัสสาวะ ตั้งแต่ภายในกรวยไตจนถึงท่อไตเป็นผลมาจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ร่วมกับการถูกกดทับของมดลูกที่มีขนาดโตขึ้นขณะตั้งครรภ์ทำให้มีการคั่งของน้ำปัสสาวะในไต ท่อไต ค้างอยู่นาน เป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ
2.มีการเปลี่ยนแปลงทางหน้าที่ของไต ในไตมีระบบการหมุนเวียนของเลือดเพิ่มจึ้นประมาณร้อยละ 70-85 ทำให้ไตต้องปรับตัว และเพิ่มหน้าที่การกรองของไตทำให้ระดับ creatinine และ BUN ในเลือดลดต่ำลง
ชนิดของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะและระบบขับถ่ายปัสสาวะขณะตั้งครรภ์
1.การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะแต่ไม่แสดงอาการ (Asymptomatic bacteriuria: ASB)เป็นการตรวจพบแบคทีเรียในปัสสาวะมากกว่า 105 colony forming unit/ml (cfu/ml)ไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อ
2.การติดเชื้อเฉียบพลันที่กระเพาะปัสสาวะ (Acute cystitis) เป็นการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ ร่วมกับมีอาการเจ็บปวดขณะถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัดปัสสาวะบ่อย ปวดปัสสาวะจนต้องรีบปัสสาะ (urgency) ปัสสาวะมีสีขุ่นหรือสีแดง มีไข้สูง อ่อนเพลีย และปวดบริเวณท้องน้อย
การติดเชื้อเฉียบพลันที่กรวยไต (Acute pyelonephritis) เป็นการตรวจพบแบคทีเรียในปัสสาวะมากกว่า 105 cfu/ml ร่วมกับปัสสาวะเป็นหนอง มีไข้ หนาวสั่น และปวดบริเวณบั้นเอว
กลุ่มอาการโรคไตรั่ว หรือโปรตีนรั่วในปัสสาวะ (Nephrotic syndrome) เป็นพบโปรตีนในปัสสาวะมากประมาณ 5 กรัมต่อวัน โปรตีนในเลือดต่ำ ไขมันในเลือดสูง
ภาวะไตวาย (renal failure)
ไตวายเรื้อรัง (chronic renal failure) มักมีสาเหตุมาจากโรคหลายอย่าง เช่น DM, SLE,glomerulonephritis
ไตวายเฉียบพลัน (acute renal failure) มักมีสาเหตุจากการแท้งติดเชื้อ (septic abortion),preeclampsia with severe feature, hemolytic uremia syndrome
สาเหตุและปัจจัยส่งเสริม
่เกิดจากการติดเชื้อ Escherichia Coli (E. Coli)
การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนขณะตั้งครรภ์
กการที่มดลูกมีการขยายขนาดใหญ่ขึ้นและกดเบียดกระเพาะปัสสาวะทำให้รูเปิดของหลอดไตที่กระเพาะปัสสาวะเกิดการบิดงอ ขัปัสสาวะออกไม่สะดวก
พยาธิสรีรวิทยา
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณปากช่องคลอด หรือทวารหนักใกล้ท่อปัสสาวะย้อนกลับขึ้นไป(ascending infection) ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทำงานของ ระบบทางเดินปัสสาวะ
ขณะตั้งครรภ์ จากผลของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) และการขยายตัวของขนาดมดลูก
อาการและอาการแสดง
1.อาการและอาการแสดงติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (Lower UTI)มีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบขัด กระปิดกระปรอย กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ ปวดบริเวณหัวหน่าว
2.อาการและอาการแสดงติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะส่วบน(Upper UTI) ได้แก่ กรวยไตอักเสบ พบปัสสาวะเป็นสีขุ่น หรือสีน้ำล้างเนื้อ เจ็บบริเวณชายโครง ปวดหลังบริเวณตำแหน่งของไต มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
เกิดการแท้ง การเจ็บครรภ์คลอด
ก่อนกำหนด และ/หรือถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด septic shock
ผลต่อทารก
ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักตัวน้อย ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ และทารกตายคลอด
การประเมินและวินิจฉัย
1.การซักประวัติ ซักประวัติเกี่ยวกับการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ หรือการติดเชื้อของระบบสืบพันธ์อาการและอาการแสดง
2.การตรวจร่างกาย จะตรวจพบปัสสาวะขุ่น หรือพบปัสสาวะเป็นสีน้าล้างเนื้อ มีไข้ ปวดบริเวณท้องน้อยเหนือหัวหน่าว(positive Goldflam sign or kidney punch
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจ urine analysis จะพบไข่ขาว เม็ดเลือดขาย ตรวจ urine culture จะพบเชื้อแบคทีเรียมากกว่า 105 dfu/m
แนวทางการป้องกันและรักษา
การรักษา
1 รายที่มีการติดเชื้อแบบ ASB จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อการรักษาทุกราย เพื่อป้องกันการเกิด upper UT เช่น ampicillin, cephalexin, amoxicillin
รายที่เป็นกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ต้องรับไว้ในโรงพยาบาลเพื่อให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ และให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ
การป้องกัน
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งหลังขับถ่าย
ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
ทำการคัดกรองการติดเชื้อตั้งแต่ต้น
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินของโรค ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับสตรีตั้งครรภ์และทารก และแผนการรักษาพยาบาล
2.เน้นความสำคัญของการมาตรวจครรภ์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง
และสม่ำเสมอ
3.แนะนำการปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
พักผ่อนอย่างเพียงพอ
ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว หรือ 2,000-3,000 มิลลิลิตร
ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายโดยเฉพาะอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
แนะนำให้สังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรีบาพบแพทย์ เช่น ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะออกน้อย มีไข้ เป็นต้น
กรณีที่ต้องรับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการติดเชื้อในร่างกาย
ประเมินเสียงหัวใจของทารกและการดิ้นของทารกเพื่อประเมินสภาวะของทารกในครรภ์
ระยะคลอด
เน้นเรื่องการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกทุก
ครั้งหลังการขับถ่าย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ระยะหลังคลอด
การป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และการป้องกันการ
กลับเป็นซ้ำ
ให้คำแนะนำเช่นเดียวกับคำแนะนำเพื่อป้องกันการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ โดยเน้นการคุมกำเนิด ในรายที่มีบุตรเพียงพอแล้ว