Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลข้ามวัฒนธรรม ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ) - Coggle Diagram
การพยาบาลข้ามวัฒนธรรม ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ)
การต้อนรับในแบบอาหรับ
การต้อนรับเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมประจำวันของชาวเอมิเรตส์ และการจิบกาแฟอาราบิก้าหรือ gahwaเป็นส่วนหนึ่งของการต้อนรับที่แสนอบอุ่น กาแฟหอมนี้ทำจากกานพลู กระวาน ยี่หร่าและหญ้าฝรั่ง และเทจากหม้อ dallahลงในถ้วยเล็ก ๆ ที่เรียกว่า finjaanเพลิดเพลินไปกับ gahwaและอินทผลัมในขณะที่พักผ่อนใน majlisซึ่งเป็นพื้นที่พบปะสังสรรค์ที่แสนสะดวกสบายที่ใช้ในการรับรองแขกและพบปะกับเพื่อนฝูง
เทศกาลรอมฏอน
กฎหมายและวัฒนธรรมของดูไบและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้นเชื่อมโยงกับประเพณีของอิสลามโดยตรง และไม่มีเวลาไหนที่จะได้สัมผัสประเพณีของอิสลามได้ดีไปกว่าช่วงรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม โดยผู้ศรัทธาจะงดอาหารตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ชาวมุสลิมก็เพลิดเพลินไปกับอาหารอิฟตาร์กับเพื่อนและครอบครัว คุณสามารถรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์อิฟตาร์มากมายได้ทั่วเมืองและมีส่วนร่วมในประเพณีท้องถิ่น เดือนรอมฎอนจะดูจากปฏิทินจันทรคติ ดังนั้นวันที่จึงเปลี่ยนไปทุกปี ซึ่งอีดิลฟิฏรี (Eid al Fitr) จะตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์
ศาสนาอิสลามอยู่คู่กับสังคมเอมิเรตส์อย่างแนบแน่น
ชาวมุสลิมเชื่อว่าคัมภีร์อัลกุรอานคือพระดำรัสของพระเป็นเจ้า ที่ให้แนวทางด้านจริยธรรมและการดำเนินชีวิตไว้อย่างครอบคลุม ด้วยเหตุผลนี้คัมภีร์อัลกุรอานจึงมีความศักดิ์สิทธ์ และต้องแสดงความเคารพอย่างเคร่งครัด แม้สังคมอาหรับในดูไบจะเปิดกว้าง แต่ว่าประเพณีในดูไบยังคงไม่เปลี่ยนแปลง รอมฏอน เดือนศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม ทุกคนจะละหมาดถือศีลอด และบริจาคทาน เนื่องจากเป็นประเทศอิสลามวัฒนธรรมดูไบจึงไม่แตกต่างจากวัฒนธรรมอิสลามทั่วไป ร้านอาหารและคาเฟ่หลายแห่งปิดบริการในช่วงกลางวัน บุคคลที่ไม่ใช่มุสลิมไม่ควรทาน ดื่ม หรือสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ
การแต่งกาย
ลักษณะการแต่งกายของมุสลิมขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมตามแต่ภูมิภาคนั้นๆ เช่น ภูมิภาคตะวันออกกลาง (โดยประกอบด้วยวัฒนธรรมอาหรับ เปอร์เซีย เตริก์) โดยจะมีรายละเอียดการแต่งกายแตกต่างกันไป สตรีมุสลิมแถบตะวันออกกลางนิยมสวมเสื้อคลุมยาวเรียกว่าอบายะห์ ในเอเชียใต้นิยมห่มสาหรี ในตะวันออกเฉียงใต้สวมเสื้อผ้ามัสลิน หรือลูกไม้ตัวยาวแบบมาลายู นุ่งซินปาเต๊ะ ผ้าบาติก หรือการเอาหลายวัฒนธรรมมาผสมผสานกัน สำหรับการคลุมศีรษะนั้นมีลักษณะการคลุมหลายลักษณะ เช่น คิมารุหรือตอรุฮะฮุคือการใช้ผ้าคลุมศีรษะโดยเปิดเผยใบหน้า และยังมีอีกหลากหลายลักษณะขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมแต่ละภูมิภาค
วัฒนธรรมของดูไบ
ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนก็ตามแต่วัฒนธรรมการใช้ชีวิตหรือสิ่งต่างๆซึ่งแต่ละประเทศก็มีความแตกต่าง และไม่เหมือนกันอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นการพบเจอบุคคลที่แปลกหน้าหรืออย่างไรก็แล้วแต่ถ้าคุณไปที่ประเทศเขาคุณจะได้ยินเสียงละหมาดหรือคุยกันในภาษาอารบิกตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งมันเป็นวัฒนธรรมต่างๆ โดยส่วนใหญ่แล้ววัฒนธรรมของที่นี่เวลาคุยงานติดต่อธุรกิจกัน เขาชอบนัดเจอกันที่ร้านกาแฟหรือร้านอาหาร ซึ่งมันเป็นวัฒนธรรมของทางบ้านเขาแล้วต้องบอกเลยว่าดูใบนั้นให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง และสิ่งที่น่าสนใจเลยก็คือเขาให้ความสนใจและให้การดูแลเป็นอย่างดีสำหรับผู้ที่มาเยือนเขาให้ การต้อนรับคุณเป็นอย่างดีอย่างแน่นอน
มารยาทและข้อพึงปฎิบัติในดูไบ
ข้อควรปฏิบัติ
การขายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นที่ถกเถียงกันยาวนานในภูมิภาคนี้ การดื่มหรือเมาสุราในที่สาธารณะมีความผิดรุนแรงและต้องจ่ายค่าปรับในอัตราสูง อย่างไรก็ตามในดูไบอนุญาตให้มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่จำกัดการขายเฉพาะในสถานบันเทิง บาร์หรือร้านอาหารที่ตั้งอยู่ภายในโรงแรมเท่านั้น
การดื่มและขับรถจะได้รับโทษถูกจำคุกในทันทีที่ตรวจพบว่ามีความผิด ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสำหรับการพิจารณาจำกัดอยู่ที่ 0.0 โปรดจำไว้ว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดยังคงตกค้างในเช้าวันถัดไปหลังจากการดื่มในตอนกลางคืน ทั้งนี้อาจมีการบังคับตรวจเลือดในสถานที่บริเวณที่เกิดอุบัติเหตุเพื่อตรวจสอบว่าคนขับ (ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ) ดื่มสุรามาหรือไม่ โดยไม่ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนั้น ทางที่ดีที่สุดแนะนำให้ใช้บริการรถแท็กซี่เพื่อความปลอดภัย
พฤติกรรมบางอย่างของชาวตะวันตก เช่น การสบถ การแสดงอากัปกิริยาที่หยาบคาย และการแสดงความรักในที่สาธารณะพฤติกรรมเหล่านี้จะถูกจับและลงโทษอย่างหนัก
สิ่งสำคัญเรื่องการแต่งกายทั้งนักท่องเที่ยวหญิงและชาย ควรแต่งกายให้มิดชิดไม่เปิดเผยช่วงแขน ขา หรือเอวซึ่งถือว่าไม่สุภาพโดยเฉพาะเดือนรอมฎอน ผู้ชายควรใส่กางเกงขายาว และผู้หญิงควรใส่กางเกงหรือกระโปรงที่ยาวเลยเข่า ดูไบถือเป็นเมืองเสรีนิยมมากที่สุดในกลุ่มรัฐต่างๆ ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และแม้ปัจจุบันยังไม่กฎบังคับเรื่องการแต่งกาย นักท่องเที่ยวควรให้ความเคารพต่อสถานที่โดยการแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม ในระหว่างเดือนรอมฎอนคุณควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ดื่ม หรือสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ระหว่างช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก โรงแรมส่วนใหญ่ยังให้บริการอาหารตลอดทั้งวัน อย่างไรก็ตามร้านอาหารในท้องถิ่นจะปิดให้บริการจนกระทั่งพระอาทิตย์ตก
ถึงแม้ว่าร้านอาหารใหญ่ๆในตัวเมืองจะรวมค่าบริการในใบแจ้งค่าอาหารแล้วแต่การให้ทิปพนักงานเป็นเงินสดประมาณร้อยละสิบของค่าอาหารถือเป็นมารยาทที่พึงปฎิบัติเพื่อแสดงความขอบคุณสำหรับมื้ออาหารที่อร่อยหรือบริการที่ดี
้ข้อห้ามในนครดูไบ
1.ห้ามยกนิ้วกลาง เพราะคนที่นี่เขาถือว่าการหยาบคายมากๆ
ห้ามหญิง-ชายที่ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันอยู่บ้านกันอยู่ เรื่องนี้ร้ายแรงพอๆกับท้องก่อนแต่งจะโดนจับโดนปรับและโดนเนรเทศ
ห้ามท้องก่อนแต่ง เพราะเมื่อเราตั้งท้องและไปฝากท้องที่โรงพยาบาล
ยาเสพติดและยาที่มีสารเคมีที่เป็นที่ต้องห้ามของประเทศนี้
ขับรถโปรดระวังอูฐ อูฐถือเป็นสัตว์มีบุญคุณและเป็นสัตว์มีคุณค่าสำหรับคนที่ดูไบ
คนโสดห้ามอยู่บ้านเป็นหลัง หมายความว่า บ้านเป็นหลังหรือที่เรียกว่า วิลล่า มีไว้ให้สำหรับครอบครัวอยู่เท่านั้น คนโสดต้องไปอยู่แบบอพาร์ทเม้นท์เท่านั้น
ห้ามใส่เสื้อยืดที่มีข้อความ offensive ยกตัวอย่าง Ph.D = Pretty Huge D_ckจำพวก sexy bitch , พวกคำไม่สุภาพ ค่าปรับอย่างน้อย ๒๐๐ เดียร์แร่ห์ม ประมาณ ๑๖๐๐ บาท
ห้ามนุ่งกระโปรงสั้นเต่อ กางเกงขาสั้น เสื้อผ้ารัดรูปเกินไป
ห้ามใส่ชุดว่ายน้ำไปเล่นน้ำหรืออาบแดดตามริมหาดสาธารณะ แต่ถ้าเป็นสระว่ายน้ำตามโรงแรมไม่เป็นไร
ไม่ควรถ่ายรูปผู้หญิง Local ที่แต่งชุดดำหรือ National Dress หรือเรียกว่าชุด อบายา ถ่ายได้แต่ควรถามเขาก่อนว่าเขาอนุญาตหรือไม่
ห้ามถ่ายรูปในสนามบิน ท่าเรือ อาคารที่ทำการของรัฐบาลหรือ สถานที่ราชการ / ทหาร ตำรวจที่อยู่ในเครื่องแบบก็ไม่ควรถ่าย
ไม่ควรใช้มือ "ซ้าย" จับมือในการทักทายหรือหยิบของให้คน Localเพราะถือเป็นการไม่ให้เกียรติอย่างรุนแรง
ห้ามเล่นหัว(ศรีษะ) คนดูไบถือเรื่องนี้
ภาษาที่เขานิยมใช้กันในประเทศก็จะเป็นภาษาอาหรับ เพื่อเอาไว้ใช้ติดต่อสิ่งต่างๆซึ่งมันเป็นภาษาทางราชการ และอีกภาษาหนึ่งที่เขานิยมใช้กันภายในประเทศเลยก็คือภาษาอังกฤษต้องบอกอย่างนี้ว่าภาษาอังกฤษนั้นเป็นภาษาที่เราใช้สื่อสารได้ทั่วโลกและเป็นภาษากลางที่ทุกประเทศจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และฝึกฝนศึกษาไว้เพื่อที่จะได้สามารถนำไปใช้ได้ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนบอลโลกส่วนใหญ่แล้วภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญมากไม่ว่าจะเป็นติดต่อธุรกิจหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ภาษาอาหรับมันจะมีแบ่งได้ถึง 27 สำเนียงมันก็คงคล้ายๆ กับภาษาของบ้านเราที่มีภาคเหนือภาคใต้ส่วนใหญ่แล้วภาษาอาหรับจะนิยมใช้ในผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม
วิถีชีวิต ประเพณี และความเชื่อที่สืบต่อกันมา
การคลุมถุงชน เช่น การแต่งงานกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศอาหรับยังคงเป็นไปตามความประสงค์ของพ่อแม่ แต่หากว่าที่เจ้าสาวไม่ปลื้มว่าที่เจ้าบ่าวก็สามารถปฏิเสธคำขอแต่งงานได้
พิธีแต่งงาน เช่น งานเลี้ยงฉลองของเจ้าบ่าวเจ้าสาวจัดแยกต่างหาก , งานเลี้ยงของเจ้าบ่าว ตามกฎแล้วก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ชา กาแฟ ดินเนอร์ และพูดคุยเสวนาได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง แต่ของผู้หญิงจะจัดในศาลากลางจัดหวัด มีทั้งบริกร และศิลปิน
ประเพณีการมีภรรยาหลายคน เรามักคุ้นเคยกับการครองเรือนแบบผัวเดียวเมียเดียว แต่สำหรับอาหรับเราได้ยินมาว่าผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคน แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่มีได้ โดยศาสนาอิสลามอนุญาตให้มีภรรยาได้ถึง 4 คน แต่ต้องมีบ้าน ของรับขวัญ เครื่องประดับต่างๆ ให้ภรรยาทุกคนอย่างเท่าเทียม การมีภรรยาหลายคนมักเป็นสิทธิที่ชีค หรือคนรวยเท่านั้นที่สามารถเอื้อมถึง
การหย่าร้าง ตามประเพณีดั้งเดิม เมื่อผู้ชายต้องการหย่าจากภรรยา จะต้องพูดว่า “ผมเลิกกับคุณ” ทวนซ้ำ 3 ครั้ง และหลังจากการเซ็นใบหย่า ภรรยาจะอยู่ในบ้านสามีชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ตั้งครรภ์
สิทธิสตรี เช่น ผู้หญิงอาหรับเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ได้สิทธิ์ในการแต่งงานตามความต้องการของตนเอง มีสิทธิ์ในการขอหย่า และสิทธิ์ในการมีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง
การดูแลผู้ป่วยมุสลิมชาวตะวันออกกลางในประเทศไทย
1) ชาวตะวันออกกลางจะให้ความสำคัญกับการบริการทุกขั้นตอนเริ่มตั้งแต่เข้ามาในโรงพยาบาลควรต้องมีเจ้าหน้าที่พูดคุยทักทาย ช่วยทำบัตรคนไข้ มีเจ้า หน้าที่ให้ข้อมูล และให้คำแนะนำว่าควรจะพบแพทย์ด้านใด
2) ชาวตะวันออกกลางจะรู้สึกสนิทใจและเชื่อถือมุสลิม/ผู้ที่นับถือศาสนาเดียวกันมากกว่าผู้ให้บริการจากต่างศาสนาลูกค้ากลุ่มนี้มีความผูกพันกับผู้ให้บริการ(ล่ามอารบิค หมอ และพยาบาล) ขณะที่ชาติอื่นๆไม่มีความสัมพันธ์ในลักษณะนี้
3) การพยาบาลผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการมุสลิมและอาหรับจึงต้องคำนึงถึงหลักการทางศาสนาและวัฒนธรรมของผู้ป่วยด้วยอย่างไรก็ตาม จากการศึกษากลับพบว่าภาครัฐและผู้ให้บริการทางการแพทย์ (ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ให้บริการรายใหม่ยังขาดความเข้าใจหรือหลงลืมเรื่องดังกล่าวหลายประเด็นต่อไปนี้ มุสลิมจะไม่ทักทายผู้ที่นับถือศาสนาอื่นว่า “อัสลามมุ อาลัยกุม” ดังนั้นการที่แพทย์หรือพยาบาลพยายามสร้างความประทับใจโดยทักทายด้วยคำว่า “อัสลามมุ อาลัยกุม” กับมุสลิมจึงอาจไม่ได้รับการตอบกลับ หรือบางคนเลี่ยงตอบกลับด้วยคำทักทายอื่นเพื่อเป็นการ รักษามารยาท ทุกๆวันมุสลิมทุกคนต้องละหมาด (สวด มนต์) วันละ 5 ครั้ง (5 เวลา) ฉะนั้นผู้ให้บริการทุกคนในโรงพยาบาลควรสามารถแนะนำทางไปห้อง ละหมาดให้ผู้ป่วยได้ ในการเยี่ยมไข้ของแพทย์และพยาบาลก็เช่นกันควรรอจนผู้ป่วยเสร็จสิ้นการละหมาด และอนุญาตให้เข้าห้อง นอกจากนี้หากต้องการเยี่ยมผู้ ป่วยต้องเคาะประตูเสียก่อนและเว้นช่วงเวลาให้คนไข้เตรียมตัวให้พร้อมและปกปิดร่างกายให้มิดชิด
4) การตรวจอวัยวะสงวนของผู้หญิงโดยเฉพาะผู้ หญิงอาหรับสูงอายุหรือผู้หญิงโสดเช่น ตรวจภายใน ริดสีดวงทวาร ตรวจเต้านม หรือการอัลตร้าซาวด์ท้อง ต้องขออนุญาตคนไข้เสียก่อนเพราะในความคิดของผู้ หญิงอาหรับร่างกายทั้งหมดคือสิ่งพึงสงวนที่ต้องปกปิดยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือที่เปิดเผยได้ ดังนั้นคนไข้บางคน อาจร้องขอให้แพทย์เพศเดียวกันมาตรวจรักษา เช่น การ ร้องขอให้แพทย์ผู้ชายตรวจผู้ป่วยชาย และให้แพทย์ผู้ หญิงตรวจผู้ป่วยหญิง ผู้หญิงจะไม่ชอบให้เพศตรงกัน ข้ามสัมผัสหรือจ้องมองร่างกายเพราะมองว่าไม่ให้ เกียรติ ล่ามผู้ชายจะถูกปฏิเสธจากคนไข้ในการแปลการ รักษาในแผนกสูตินารีเวช หรือซักถามเรื่องอวัยวะที่ ปกปิดในร่างกาย รวมถึงเรื่องประจำเดือน
5) ชาวตะวันออกกลางที่เคร่งครัดแต่เข้าใจผิดเรื่องการถือศีลอดจะไม่อนุญาตให้ฉีดยา เจาะเลือด หรือให้ น้ำเกลือในขณะถือศีลอดเพราะเข้าใจว่าทำให้เสียการ ถือศีลอดในครั้งนั้น บางคนปฏิเสธรับประทานยาแก้ไอ เช่น ไบโซวอล เพราะมองว่ามีส่วนผสมของแอลกอฮอล์(ศาสนาอิสลามห้ามดื่มแอลกอฮอล์)ซึ่งผู้ให้ข้อมูลหลัก จากกลุ่มโรงพยาบาลที่มีความรู้ด้านศาสนามองว่าเป็นความเชื่อที่ผิด