Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมภาวะโภชนาการ - Coggle Diagram
การส่งเสริมภาวะโภชนาการ
ความหมายของโภชนาการและภาวะโภชนาการ
อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของการด ารงชีวิตของมนุษย์ การรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5
1.ความหมายของโภชนาการ(Nutrition)
ทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร สารอาหาร และสารอื่นที่มีอยู่ในอาหารหรือสารอาหาร สิ่งมีชีวิตย่อย ดูดซึม ขนส่ง น าสารอาหารไปใช้และสะสมในร่างกาย รวมทั้งการกำจัดสารที่เหลือใช้ของร่างกาย
วิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงของอาหารทั้งทางด้านอินทรีย์เคมี อนินทรีย์เคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์ของอาหาร โดยเริ่มตั้งแต่อาหารเข้าสู่ร่างกาย ผ่านกระบวนการย่อย การดูดซึม การใช้จ่ายสารอาหารต่างๆ ในร่างกาย การเก็บสะสมสารอาหารที่เหลือใช้ และการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย
2 ภาวะโภชนาการ(Nutritional Status)
หมายถึง สิ่งที่แสดงถึงระดับที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหาร เพื่อนำมาใช้ในด้านสรีระอย่างเพียงพอ
หมายถึง ผล สภาพ หรือภาวะของร่างกายที่เกิดจากการบริโภคอาหาร
1) ภาวะโภชนาการดี
ภาวะที่ร่างกายได้รับอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ
2)ภาวะโภชนาการไม่ดี
ภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือได้รับเพียงพอแต่ร่างกายไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสารอาหารที่ได้รับ
แบ่งเป็น 2
(1)ภาวะโภชนาการต่ำกว่าเกณฑ์
ภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยอาจขาดสารอาหารเพียง 1 ชนิด หรือมากกว่า และอาจขาดพลังงานด้วยหรือไม่ก็ได้
(2) ภาวะโภชนาการเกิน
ภาวะที่ร่างกายได้รับอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย และเก็บสะสมไว้จนเกิดอาการปรากฏ
ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะโภชนาการ
5)ความชอบส่วนบุคคลพบว่าความชอบและไม่ชอบบริโภคอาหารของแต่ละบุคคลมีผลต่อภาวะโภชนาการ เช่น บางคนชอบรับประทานอาหารหวานจัด
6)ผลจากการดื่มแอลกอฮอล์พบว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ทำให้ความรู้สึกอยากอาหารลดลง การบริโภคอาหารเปลี่ยนไป
4)ภาวะสุขภาพพบว่า การเจ็บป่วยเรื้อรังมีผลต่อภาวะโภชนาการ
7) วิถีชีวิตปัจจุบันมีผู้เลือกดำเนินชีวิตตามวิถีสุขภาพโดยเลือกงดรับประทานสัตว์และผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสัตว์ ผู้ที่เลือกรับประทานอาหารเจ เป็นเวลานาน ๆ
3)การใช้ยาพบว่า ยาที่มีผลข้างเคียงให้เกิดอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียนเช่น ยารักษาวัณโรค-พีเอเอส ยาลดความอ้วน
8) เศรษฐานะพบว่า ภาวะเศรษฐกิจดีทำให้ผู้คนเลือกรับประทานอาหารได้ตามความต้องการ ตรงกันข้ามในภาวะเศรษฐกิจไม่ดีการเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์อาจลดปริมาณลง
2)เพศพบว่าเพศชายต้องการพลังงานในหนึ่งวันมากกว่าเพศหญิง
9) วัฒนธรรม ความเชื่อ และศาสนาพบว่าการดำเนินชีวิตตามบริบทของวัฒนธรรม ความเชื่อ และศาสนายังด าเนินชีวิตอยู่ในกระบวนทัศน์เดิม มีผลต่อภาวะโภชนาการทั้งสิ้น
1)อายุพบว่าในวัยเด็กมีความต้องการสารอาหารมากกว่าในวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ เพราะเด็กต้องการสารอาหารโปรตีนไปสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
10)ปัจจัยด้านจิตใจ พบว่าความเครียด และความกลัวทำให้ความอยากอาหารลดลงรู้สึกเบื่ออาหาร กลืนอาหารไม่ลงคอ หรือมีอาการปากคอขมโดยไม่ทราบสาเหตุ
ความสำคัญของอาหารต่อภาวะเจ็บป่วยและความต้องการพลังงานของร่างกายในภาวะเจ็บป่วย
อาหารหมายถึง
เพื่อเสริมสร้างความเจริญเติบโตและการมีโภชนาการที่ดีให้แก่ร่างกาย อาหารได้มาจากพืชและสัตว์อาหารที่รับประทานเข้าไปจะย่อยได้สารอาหารสำคัญ
ดังนั้นอาหารจึงมีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งในภาวะปกติ และภาวะเจ็บป่วยภูมิปัญญาของหมอพื้นบ้านเป็นการสืบทอดองค์ความรู้จากบรรพบุรุษในการดูแลสุขภาพของตนเองครอบครัว และชุมชน ภายใต้บริบทของวัฒนธรรม และประเพณีของท้องถิ่น
อาหาร และสารอาหา มีความสำคัญต่อภาวะการเจ็บป่วย และด้วยศาสตร์การดูแลสุขภาพด้วยการแพทย์ทางเลือก การแพทย์ผสมผสาน
ผู้ป่วยได้รับสารอาหารและพลังงานไม่เพียงพอ ย่อมส่งผลกระทบ
1) เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
2) ภูมิคุ้มกันโรคลดลง
3) การหายของแผลช้า
4) ความแข็งแรงและโครงสร้างของผิวหนังผิดปกติ
5) วันนอนโรงพยาบาลนานขึ้น เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น
6) อัตราการเสียชีวิตสูงขึ้น
ความต้องการพลังงานของร่างกายในภาวะเจ็บป่วย
ขึ้นอยู่กับ เพศ อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก และความรุนแรงของโรค
ความต้องการพลังงานหรือพลังงานที่ต้องการใช้(Energy Expenditure:EE)เป็นพลังงานที่เพียงพอหรือเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในการสร้างAdenosine triphosphate: ATP
วามต้องการพลังงานพื้นฐาน(Basal energyexpenditure:BEE) หรือพลังงานที่ต้องการขณะพัก BEEหมายถึง พลังงานที่น้อยที่สุดที่ท าให้เกิดกระบวนการเมทาบอลิสซึมของร่างกายก่อนที่จะมีการท างานของอวัยวะอื่น ๆ
ความต้องการพลังงานทั้งหมด (Total EnergyExpenditure:TEE) หมายถึง ผลรวมของพลังงานทั้งหมดใน 1 วัน ซึ่งรวมถึงBEEพลังงานที่ใช้ในการย่อย และดูดซึมสารอาหาร การใช้พลังงานจากการทำงานของร่างกายในแต่ละวัน และการใช้พลังงานของผู้ป่วยเฉพาะโรค
สูตร BEE เพศชาย
BEE = 66.47+ (13.75 x น้ าหนัก(Kg )) + (5.00 x ความสูง (Cm )) –(6.75 x อายุ (ปี))
สูตร BEE เพศหญิง
BEE = 655.09 + (9.56 x น้ าหนัก (Kg)) +(1.85 x ความสูง(Cm )) –(4.68 x อายุ(ปี))
การประเมินภาวะโภชนาการ
การประเมินภาวะโภชนาการใช้สัญญาลักษณ์ย่อ “ABCD”แบ่งออกเป็น
การวัดสัดส่วนของร่างกาย
การวัดส่วนสูงและน้ำหนักแล้วนำมาคำนวณค่าดัชนีมวลกาย
1) ดัชนีมวลของร่างกาย (Body Mass Index ; BMI)
เป็นการประเมินมวลของร่างกายทั้งหมด โดยวัดส่วนสูงและน้ำหนักแล้วนำมาประเมินภาวะโภชนาการโดยคำนวณหาดัชนีมวลของร่างกายมีหน่วยเป็นกิโลกรัมต่อตารางเมตร
BMI= น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ส่วนสูง(เมตร)2
การประเมินทางชีวเคมี
เจาะเลือดเพื่อประเมินภาวะโภชนาการ
การประเมินภาวะโลหิตจาง (Anemia) ใช้ค่าของฮีโมโกลบิน (Hb) และค่าฮีมาโตรคิต (Hct) Hemoglobin (Hb) การแปลผลค่าต่ำกว่า 10 mg%แสดงผลภาวะโลหิตจาง
-ชายค่าปกติ 14 –18 mg %
-หญิงค่าปกติ 12-16mg%
Hematocrit (Hct) การแปลผลค่าต่ ากว่า 30 % แสดงผลภาวะโลหิตจาง
-ชายค่าปกติ 40 –54 %
-หญิงค่าปกติ 37-47 %
การตรวจร่างกายทางคลินิก
การตรวจร่างกายเช่นเดียวกับการประเมินภาวะสุขภาพ แต่จะให้ความสนใจตรวจร่างกายเบื้องต้น
การประเมินภาวะซีด ถ้าไม่มีการเจาะเลือด
1) ตรวจConjunctiva ของเปลือกตาล่าง (ปกติจะมีสีชมพูค่อนข้างแดง)
2)สังเกตดูลักษณะเล็บเรียบเป็นมัน มีสีชมพู
3) ตรวจดูฝ่ามือ ให้เทียบกันทั้ง 2ข้าง (ปกติจะมีสีชมพู)
การประเมินจากประวัติการรับประทานอาหาร
มีประวัติชอบรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ผลการประเมิน: มีโอกาสเกิดโรคพยาธิใบไม้ในตับ
มีประวัติเลือกรับประทานอาหารประเภททอด และอาหารรสหวานผลการประเมิน: มีโอกาสเกิดภาวะโภชนาการเกิน
มีประวัติรับประทานอาหารเจตลอดชีวิต
การประเมินภาวะโภชนาการเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้พยาบาลสามารถประเมินปัญหาของผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม และให้การพยาบาลได้ตรงจุดอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การส่งเสริมภาวะโภชนาการในผู้ป่วยที่มีปัญหาภาวะโภชนาการ
Obesity(ภาวะอ้วน)
ร่างกายมีการสะสมของมวลไขมันในร่างกายมากเกินไป มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ทั้งเพศชายและเพศหญิง ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป
การพยาบาลผู้ที่มีภาวะอ้วน
4)หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่แป้งและไขมันสูง
5)รับประทานอาหารครั้งละน้อย แต่บ่อยครั้งและจำกัดอาหารมื้อเย็น
2)จำกัดมื้ออาหารและสัดส่วนของอาหารตามพีระมิดอาหาร
6)หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารขณะดูโทรทัศน์
3)จ ากัดการใช้น้ำมัน ไขมัน น้ำตาล
7)เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารจากผักผลไม้ และธัญพืชที่ไม่ขัดสี
8)ส่งเสริมให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอหรือสัปดาห์ละ 3 วัน
1)คำนวณพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน
Emaciation(ภาวะผอมแห้ง)
ภาวะที่ผอมมากเกินไป BMI น้อยกว่าหรือเท่ากับ 16กิโลกรัมต่อตารางเมตรและน้ำหนักลดลงตลอดเวลาและลดลงเป็นเวลานาน
ผู้ป่วยที่มีปัญหาความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร
Anorexianervosa
ภาวะเบื่ออาหารเป็นความรู้สึกไม่อยากรับประทานอาหาร อาการเบื่ออาหารอาจเกิดควบคู่กับคลื่นไส้ อาเจียน กลไกการเกิดไม่ทราบแน่นอน แต่น่าจะเกี่ยวกับการกระตุ้นที่ไม่เหมาะสมของศูนย์ความหิว
BulimiaNervosa
เป็นความผิดปกติของพฤติกรรมการรับประทานโดยจะรับประทานวันละหลายๆ ครั้ง โดยหลังจากรับประทานเสร็จจะรู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกผิดที่รับประทานเข้าไปมากมาย จึงต้องหาวิธีเอาออกโดยอาจล้วงคอให้อาเจียนออกมาจนหมดหรือกินยาระบายอย่างหนักตลอดจนอดอาหาร
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะAnorexianervosaและBulimianervosa
3)ดูแลด้านจิตใจ พยายามให้ช่วงเวลารับประทานอาหารเป็นเวลาที่จิตใจสบาย สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายขณะที่รับประทานอาหารเท่าที่ทำได้
4)การใช้ยา แพทย์อาจพิจารณาให้ยากระตุ้นความอยากอาหาร ในรายที่ไม่พบโรคทางร่างกายและต้องการให้รับประทานอาหารมากขึ้น
2) ส่งเสริมความรู้สึกอยากอาหารให้มากที่สุดและลดความรู้สึกเบื่ออาหารโดยจัดให้รับประทานอาหารในท่าสบาย
5) การดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
พิจารณาและแนะนำเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
ส่งเสริมให้มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือทำกิจกรรมตามสภาพร่างกายของผู้ป่วย
1 พยายามให้รับประทานอาหารทางปากมากที่สุด
การให้อาหารด้วยวิธีพิเศษ
1)หาสาเหตุ ที่พบได้บ่อยๆ เช่น โรคปากและฟัน คออักเสบ
Nausea and vomiting
เป็นความรู้สึกอยากขับอาหารที่กินเข้าไปแล้วออกทางปาก มักเป็นอาการนำก่อนอาเจียน แต่อาจเกิดคลื่นไส้โดยไม่อาเจียนได้ อาการที่มักเกิดร่วมด้วย
การที่มีแรงดันจากภายในดันเอาสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้นออกมาทางปาก เป็นผลจากมีการบีบตัวของลำไส้เล็กส่วนต้น หรือกระเพาะอาหารส่วนล่างอย่างแรง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน
1)การพยาบาลผู้ป่วยขณะอาเจียน
(2)จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่อาเจียนออกได้สะดวก ช่วยลูบหลังลงเบา ๆ
(3)คอยอยู่เป็นเพื่อนขณะที่ผู้ป่วยกำลังอาเจียน พยาบาลควรเฝ้าดูด้วยความเห็นใจ สงบ ไม่ตื่นเต้น
1)จัดหาภาชนะรองรับอาเจียน
2) สังเกตสิ่งต่างๆ เพื่อบันทึกและรายงานอย่างถูกต้อง
3) การพยาบาลผู้ป่วยหลังอาเจียน
(1)ดูแลความสะอาดของร่างกายและเครื่องใช้
2)จัดสิ่งแวดล้อม ดูแลให้อากาศถ่ายเท
(3)ให้ผู้ป่วยพักผ่อนในบรรยากาศที่สงบ
(4) น้ำและอาหาร ในระยะแรกให้งดอาหารและน้ำ
4)การป้องกันและแก้ไขอาการอาเจียน
(1) พยายามหาสาเหตุแล้วแก้ไขที่สาเหตุ
(2) พยายามหลีกเลี่ยงและลดแหล่งของความเครียดต่างๆ
(3) ให้ผู้ป่วยสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ ภายหลังอาเจียน และเมื่อรู้สึกคลื่นไส้
(4) หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวร่างกายหรือเปลี่ยนท่าเร็วๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการมองสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วๆ
(6)ถ้าผู้ป่วยมีอาเจียนอย่างต่อเนื่องมักใส่สายเข้าทางจมูกลงสู่กระเพาะอาหารเป็นทางให้อาเจียนออกหรือเป็นทางใส่สารละลายเข้าไปล้างกระเพาะอาหารในกรณีกินยาพิษ
5)ดูแลความสะอาดร่างกาย ปาก ฟัน เครื่องใช้ สิ่งแวดล้อม
6) เตรียมพร้อมถ้ามีการอาเจียนซ้ำ
Abdominal distention
เป็นความรู้สึกแน่น อึดอัด ไม่สบายในท้องที่เกิดจากมีแรงดันในท้องเพิ่ม ทำให้เกิดอาการที่ตามมา
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะท้องอืด
2) งดอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส
3) แสดงความเข้าใจและเห็นใจ
4) ค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะท้องอืดและช่วยเหลือตามสาเหตุ
1) จัดให้นอนศีรษะสูง 45-60 องศาเพื่อช่วยลดอาการแน่นท้อง และผายลมสะดวก
Dysphagia and aphagia
ภาวะกลืนลำบาก(Dysphagia)
เป็นความรู้สึกที่ผู้ป่วยเกิดความลำบากในการกลืน อาจรู้สึกว่ากลืนแล้วติดอยู่ที่ใดที่หนึ่งหรือกลืนแล้วรู้สึกเจ็บทั้งสองอย่าง
ภาวะกลืนไม่ได้(Aphagia)
ไม่สามารถกลืนได้ไม่ว่าจะเป็นอาหารแข็ง อาหารธรรมดา อาหารอ่อน อาหารเหลว จนกระทั่งรุนแรงมากที่สุด
การพยาบาลผู้ป่วย
1) สังเกตและประเมินอาการเกี่ยวกับการกลืนไม่ได้หรือกลืนลำบาก
2) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ
3)ดูแลการได้รับยาตามแผนการรักษา
4)ระมัดระวังการสำลัก
5)ดูแลด้านความสะอาดของร่างกาย
6)การเตรียมผู้ป่วยเพื่อตรวจหรือรักษา
7)การดูแลด้านจิตใจ ปลอบโยน ให้กำลังใจ
การส่งเสริมภาวะโภชนาการในผู้ป่วยที่รับประทานอาหารเองไม่ได้
การป้อนอาหาร(Feeding)
การช่วยให้ผู้ป่วยได้รับอาหารเข้าสู่ร่างกายทางปากโดยผู้ป่วยอาจไม่สะดวกในการใช้มือในการตักอาหาร
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ได้รับอาหารตามความต้องการของร่างกาย
อุปกรณ์เครื่องใช้
3)แก้วน้ำพร้อมน้ำดื่ม และหลอดดูดน้ำ
2)ช้อนหรือช้อนส้อม
4)กระดาษหรือผ้าเช็ดปาก
1) ถาดอาหารพร้อมอาหาร
5)ผ้ากันเปื้อน
วิธีปฏิบัติ
1) การเตรียมผู้ป่วยและสิ่งแวดล้อม
(3)ปูผ้ากันเปื้อนตั้งแต่ใต้คางลงไป
(2)จัดให้อยู่ในท่านั่ง กรณีที่นั่งไม่ได้จัดให้นอนตะแคงขวาเล็กน้อย
(4)วางถาดอาหารในตำแหน่งที่ผู้ป่วยสามารถมองเห็นชนิดของอาหารได้
(1)ก่อนเวลาอาหาร แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายบ้าง
(5)วางเครื่องใช้อื่นๆ ในตำแหน่งที่สามารถหยิบได้สะดวก
(6)ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง
2) การป้อนอาหาร
(2) จังหวะในการป้อนต้องสัมพันธ์กับความสามารถในการรับประทานอาหาร เคี้ยวและกลืนของผู้ป่วย
(3)ไม่ควรจ้องหน้าผู้ป่วย ระวังการตักอาหารไม่ทำอาหารหกรดผู้ป่วย และเช็ดปากให้เมื่อเปื้อนอาหาร
(1) ขณะป้อนอาหารตักอาหารให้มีปริมาณที่เหมาะสม
(4) หลังป้อนอาหารให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ บ้วนปาก
(5) เก็บถาดอาหาร และเครื่องใช้ต่างๆ เมื่อผู้ป่วยรับประทานเสร็จ
(6) ลงบันทึกทางการพยาบาล
3)สำหรับผู้ป่วยพิการ
(1)ถ้าผู้ป่วยจับช้อนไม่ถนัดควรสาธิตการใช้ช้อนและส้อมในการตักอาหารใส่ปากหรือดัดแปลงที่จับของให้จับได้สะดวก
(2)ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อย ควรรับประทานอาหารเหลวที่สอดคล้องกับการแผนรักษาของแพทย์
4)สำหรับผู้ป่วยกลืนลำบาก
(2) สอบถามผู้ป่วยถึงความรู้สึกเกี่ยวกับอาหารในปาก
(3)สอนวิธีการใช้ลิ้นและการกลืน เพื่อช่วยให้การกลืนได้ดีขึ้น
(1) จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือศีรษะสูงในลักษณะก้มเล็กน้อย
(4)ควรเริ่มจากอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลวก่อน
(5) ให้อาหารครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้ง
(6) ในขณะรับประทานอาหารควรหยุดพักเป็นระยะๆจะช่วยให้ได้รับประทานอาหารได้มากขึ้น
การใส่และถอดสายยางให้อาหารจากจมูกถึงกระเพาะอาหาร
วัตถุประสงค์
3) เป็นการเพิ่มแรงดันเข้าไปในระบบทางเดินอาหาร
4) ล้างภายในกระเพาะอาหาร
2) เป็นการลดแรงดันในกระเพาะอาหารหรือลำไส้
5) เก็บสิ่งตกค้างในกระเพาะอาหารไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1)เป็นทางให้อาหาร น้ำ หรือยา
อุปกรณ์เครื่องใช้
2)สายNG tube เบอร์ 14-18 fr.
3) Toomey syringe ขนาด 50 ml 1 อัน
1) ถาดสำหรับใส่เครื่องใช้
4) ถุงมือสะอาด 1 คู่
5) Stethoscope
6) สารหล่อลื่น เช่น K.Y. jelly
7) แก้วน้ำ
8) หลอดดูดน้ำ
9) พลาสเตอร์
10) กระดาษเช็ดปาก
11) ชามรูปไต
12) ผ้าเช็ดตัว
วิธีปฏิบัติ
1) ตรวจสอบความถูกต้องของคำสั่งการรักษา
2)ล้างมือให้สะอาด
3) นำอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ไปที่เตียงผู้ป่วย ตรวจสอบโดยดูป้ายชื่อ
4) บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงวัตถุประสงค์ของการใส่สายยางจากจมูกถึงกระเพาะอาหารปิดประตูหรือกั้นม่านให้เรียบร้อย
5) จัดท่าให้ผู้ป่วย จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือนอนศีรษะสูง
6) ใส่ถุงมือสะอาด และMaskตรวจดูรูจมูก ผนังกั้นจมูก
7) เปิดซองสาย NG tubeจากนั้นบีบ K.Y. jelly ลงด้านในของซองสายNG tubeโดยยังไม่หล่อลื่นสายNG tube
8) นำสายNG tubeวัดตำแหน่งที่จะใส่สายโดยวัดจากปลายจมูกถึงปลายติ่งหูและจากปลายติ่งหูถึงปลายกระดูกอก
9) เปิดห่อ Toomey syringe แล้วใส่ Plunger ให้เรียบร้อย พันสาย NG ให้อยู่ในมือซ้าย พร้อมใส่สาย NG
10)บอกให้ผู้ป่วยตั้งศีรษะให้ตรงหรือเงยหน้าเล็กน้อย
11) เมื่อสายผ่านถึงคอ ผู้ใส่หักข้อมือเล็กน้อยให้ผู้ป่วยก้มศีรษะลงบอกให้ผู้ป่วยช่วยกลืนสายโดยกลืนน้ำลายหรือดูดน้ำที่เตรียมไว้พร้อมทั้งค่อย ๆ ดันสายอย่างนุ่มนวล
12)ตรวจสอบว่าสาย NG เข้าไปถึงกระเพาะอาหาร
13)ใช้พลาสเตอร์พันสายติดกับจมูก ให้สายอยู่ตรงกลางรูจมูกโค้งปลายสายติดด้วยพลาสเตอร์ข้างโหนกแก้ม
การให้อาหารทางสายยางให้อาหารจากจมูกถึงกระเพาะอาหาร
วิธีการให้อาหารทางสายยางมี 2 วิธี
1)Bolus doseเป็นการให้อาหารทางสาย NG โดยใช้ Toomey syringe เหมาะส าหรับผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้เอง
2)Drip feedingเป็นการให้อาหารทางสาย NG โดยใช้ชุดให้อาหาร
อุปกรณ์เครื่องใช้
5) Toomey syringe ขนาด 50 ml 1 อัน
6) ถุงมือสะอาด 1 คู่
4) ผ้ากันเปื้อน
7) Stethoscope
3) ในกรณีที่มียาหลังอาหารบดยาเป็นผงและละลายน้ำประมาณ 15-30 ซีซี
8) แก้วน้ำ
2) อาหารเหลวสำเร็จรูป หรืออาหารปั่น
9) กระดาษหรือผ้าเช็ดปาก
1) ถาดสำหรับใส่เครื่องใช้
10) ส าลีชุบ 70% Alcohol2 ก้อน
11) ชุดทำความสะอาดปาก ฟัน และจมูก
วิธีปฏิบัติ
1)อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุผล ข้อดีและประโยชน์ในการให้อาหารทางสายให้อาหาร
2)ไขหัวเตียงสูงเพื่อจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่ง ในกรณีที่ผู้ป่วยนั่งไม่ได้จัดให้นอนตะแคงขวา ช่วยให้อาหารเคลื่อนลงสู่กระเพาะอาหาร
3)ทำความสะอาดปาก ฟันกรณีใช้เครื่องช่วยหายใจต้องทำการดูดเสมหะก่อนให้ทางเดินหายในโล่ง
4) ปูผ้ากันเปื้อนรองตรงปลายสายให้อาหาร
5) ปลดผ้าก๊อซที่หุ้มปลายสายให้อาหารออกทำความสะอาดปลายสายด้วยสำลีชุบ 70% Alcohol
6) ทดสอบตำแหน่งของสายให้อาหาร ได้ 2 วิธี
วิธีที่ 1 ใช้ Toomey syringe
วิธีที่ 2วาง Stethoscopeที่บริเวณ Epigastrium
7) หักพับสาย ถอด Toomey syringeแล้วดึงPlunger ออก และต่อกระบอกสูบเข้ากับส่วนปลายของสายNG
8) เทอาหารใส่กระบอก Syringeคลายรอยพับออก
9) กรณีให้ยาหลังอาหาร
(1)ก่อนที่อาหารจะหมดควรเหลืออาหารไว้ใน Syringeประมาณ 10 ซีซีและควรรินยาลงไปตรงๆ
(2)ก่อนยาจะหมด เหลือค้างใน Syringeประมาณ 5 ซีซีเติมน้ำสะอาด เพื่อไล่เศษอาหารและยาที่ตกค้างอยู่ในสายให้อาหาร
10) หักพับปลายสายให้อาหาร และเช็ดปลายสายด้วยสำลีชุบ 70% Alcohol
11) ปิดจุกสายNG ใช้ก๊อสปิดไว้ให้เรียบร้อย
12) ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าเดิมอย่างน้อย 30 นาที
14)ลงบันทึกทางการพยาบาล
13) เก็บเครื่องใช้ทำความสะอาด และเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
การถอดสายยางให้อาหารจากจมูกถึงกระเพาะอาหาร
อุปกรณ์เครื่องใช้
4) สำลีชุบ70%Alcohol
5) ไม้พันสำลีชุบเบนซิน (Benzene)และน้ำเกลือ
3) น้ำยาบ้วนปาก
6) ถุงมือสะอาด
2) ชามรูปไต
7) ผ้าก๊อสสะอาด
1) ผ้ากันเปื้อนหรือผ้าเช็ดตัว
วิธีปฏิบัติ
4) ล้างมือให้สะอาด เช็ดให้แห้งและใส่ถุงมือสวมmask
5) ปูผ้ากันเปื้อนหรือผ้าขนหนูและแกะพลาสเตอร์ที่ยึดสายจมูกออก
2) ไขหัวเตียงสูงเพื่อจัดให้ผู้ป่วยอยู่ท่านั่ง
6)หักพับสาย และดึงสายออก ขณะดึงสายให้ผู้ป่วยอ้าปากหายใจยาวๆ
2) ไขหัวเตียงสูงเพื่อจัดให้ผู้ป่วยอยู่ท่านั่ง
7) เช็ดรอยพลาสเตอร์ด้วยเบนซิน เช็ดตามด้วยน้ำเกลือและแอลกอฮอล์แล้วเช็ดให้แห้ง
1)อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุผล
8) ทำความสะอาดปาก ฟัน และจมูก เพื่อช่วยให้รู้สึกสะอาด และสดชื่น
การให้อาหารทางสายยางให้อาหารที่ใส่เข้าทางรูเปิดของกระเพาะอาหาร
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับอาหารตามความต้องการของร่างกาย
อุปกรณ์เครื่องใช้
เหมือนกับการให้อาหารทางสาย NG tube
วิธีปฏิบัติ
5) ตรวจสอบคำสั่งการรักษา
6) ปลดผ้าก๊อซที่หุ้มปลายสายให้อาหารออกทำความสะอาดปลายสายด้วยสำลีชุบ70%Alcohol
4) ล้างมือให้สะอาดใส่Mask
7) ใช้ Toomey syringe ต่อกับปลายสายดูด Gastric content
3) เปิดเสื้อผ้าบริเวณ Gastrostomy tubeหรือ Jejunostomy tubeออก ปูผ้ากันเปื้อนไว้ใต้ Tube
8) หักพับสาย ถอด Syringeแล้วดึงPlunger ออก และต่อกระบอกสูบเข้ากับสายให้อาหาร
2) จัดให้อยู่ในท่านั่ง หรือนอนในท่าศีรษะสูง
9) เทอาหารใส่กระบอก Syringeและปล่อยให้อาหารไหลเข้าช้าๆ
10) กรณีให้ยาหลังอาหาร
(1) ก่อนที่อาหารจะหมดควรเหลืออาหารค้างใน Syringeประมาณ 10 ซีซีและควรรินยาลงไปตรงๆ
(2) ก่อนยาจะหมด เหลือค้างใน Syringeประมาณ 5 มล. เติมน้ำสะอาด เพื่อไล่เศษอาหารและยา ที่ตกค้างอยู่ในสายให้อาหาร
1) แจ้งและอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจจุดประสงค์และวิธีทำ
11) เช็ดปลายสายให้อาหารด้วยสำลีชุบ70%Alcohol
12) หักพับปลายสายให้อาหารเพื่อป้องกันอากาศเข้าไปในกระเพาะอาหาร
13) ปิดปลายสายอาหารให้เรียบร้อย
14) ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าเดิมอย่างน้อย 30นาที เพื่อป้องกันอาหารไหลย้อน และสำลักได้
15) เก็บเครื่องใช้ทำความสะอาด และเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
16) ลงบันทึกทางการพยาบาล
การล้างภายในกระเพาะอาหาร(Gastric lavage)
วัตถุประสงค์
2) ทดสอบหรือยับยั้งการมีเลือดออกจำนวนน้อยในทางเดินอาหารส่วนบน
3) ตรวจสอบการอุดตันของสาย
1) ล้างกระเพาะอาหารในกรณีที่ผู้ป่วยกินยาหรือสารพิษ
4) ตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคปอดและหลอดลม
อุปกรณ์เครื่องใช้
3) ชามรูปไตหรืออ่างกลม
4) ผ้าเช็ดปากหรือผ้าขนหนูผืนเล็กหรือผ้ากันเปื้อน
2) สารละลายที่ใช้ล้างกระเพาะอาหารใช้น้ำเกลือ
5) สายยางสำหรับใส่ในกระเพาะอาหาร
1) ชุดล้างกระเพาะอาหาร
6) Ky jelly
7) ถุงมือสะอาด 1 คู่และ Mask
วิธีปฏิบัติ
7) หักพับสายไว้ก่อนปลดรอยต่อ จากนั้นต่อสายกับกระบอกฉีดยาแล้วปล่อยสายที่หักพับไว้
8) ดูดน้ำออกเบาๆ หรือปล่อยให้สารละลายไหลออกเอง ถ้าไม่มีน้ำออกให้ผู้ป่วยพลิกตัวไปมา ถ้ายังดูดไม่ออกให้รายงานแพทย์บันทึกสารน้ำที่ใส่กับที่ดูดออกมาต้องมีปริมาณเท่ากัน
6) ใช้Toomey syringe ดูดสารละลาย 50 ซีซี
5) ปูผ้าคลุมบนเตียงและตัวผู้ป่วยตรงที่จะปลดสาย
9) ใส่สารละลายเข้าไปแล้วปล่อยหรือดูดน้ าออกเรื่อยๆ จนการไหลผ่านดี หรือครบจำนวนตามแผนการรักษาพับสายไว้ ปลดกระบอกฉีดยา ปิดปลายสาย
4) เตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ให้พร้อม นำเครื่องใช้ต่างๆ
10) ถ้ากรณีล้างกระเพาะอาหาร เพื่อห้ามเลือดในกระเพาะอาหาร ต้องทำการล้างจนสารน้ำมีลักษณะสีแดงจางที่สุด หรือมีลักษณะใส
12) เก็บเครื่องใช้ทำความสะอาด และเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
3) ล้างมือก่อนจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้
2)ประเมินสภาพผู้ป่วยอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจปิดประตูหรือกั้นม่านให้เรียบร้อย
13) ลงบันทึกทางการพยาบาล
1)ตรวจสอบคำสั่งการรักษา
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมภาวะโภชนาการ
การประเมินภาวะสุขภาพ (Assessment)
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
3.การวางแผนการพยาบาล (Planning)
1) ผู้ป่วยได้รับสารอาหารตรงตามแผนการรักษาของแพทย์
2) ผู้ป่วยมีค่าดัชนีมวลกาย อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
3)บอกวัตถุประสงค์ เตรียมความพร้อมของผู้ป่วย จัดท่าให้เหมาะสม ปิดกั้นม่าน
4)ใส่สายยางทางจมูกถึงกระเพาะอาหารให้แก่ผู้ป่วยตามแนวปฏิบัติ
2) จัดเตรียมอุปกรณ์ในการใส่สาย NG และอาหารปั่นให้พร้อม ยกไปที่เตียงผู้ป่วย
5) ให้อาหารทางสายยางทางจมูกถึงกระเพาะอาหารตามแผนการรักษา
1) ตรวจสอบแผนการรักษา ชื่อผู้ป่วย และอาหารปั่นให้ตรงกัน
6) จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าศีรษะสูง อย่างน้อย 30 นาที หลังให้อาหารทางสายยาง
7) ลงบันทึกทางการพยาบาล
8) ติดตาม ประเมินน้ าหนักตัวของผู้ป่วย โดยชั่งน้ าหนักทุกเช้า วันเว้นวัน
5.การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
5.1 ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
1) ประเมินความสุขสบายของผู้ป่วยสังเกตสีหน้าท่าทางของผู้ป่วย
5.2 ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
1) ประเมินการปฏิบัติถูกต้องครบและเป็นไปตามขั้นตอนของแนวปฏิบัติ
2) ประเมินผลภายหลังผู้ป่วยได้รับอาหารทางสายยางทางจมูกถึงกระเพาะอาหารไม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น