Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 8 การส่งเสริมภาวะโภชนาการ - Coggle Diagram
บทที่ 8 การส่งเสริมภาวะโภชนาการ
8.1 ความหมายของโภชนาการและภาวะโภชนาการ
8.1.1 ความหมายของโภชนาการ
วิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร สารอาหาร และสารอื่นที่มีอยู่ในอาหารหรือสารอาหาร ตลอดจนปฏิกิริยาระหว่างกันของสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่สิ่งมีชีวิตย่อย ดูดซึม ขนส่ง นำสารอาหารไปใช้และสะสมในร่างกาย รวมทั้งการกำจัดสารที่เหลือใช้ของร่างกาย นอกจากนี้ยังต้องค านึงถึงสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับอาหารและการบริโภคอาหารอีกด้วย
8.1.2 ภาวะโภชนาการ
หมายถึง สิ่งที่แสดงถึงระดับที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหาร เพื่อนำมาใช้ในด้านสรีระอย่างเพียงพอ ความสมดุลของสารอาหารที่ได้รับเข้าไปกับสารอาหารที่ร่างกายใช้มีอิทธิพลจากปัจจัยหลายอย่าง
1) ภาวะโภชนาการดี หมายถึง ภาวะที่ร่างกายได้รับอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ คือ มีสารอาหารครบถ้วน ในปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และร่างกายใช้สารอาหารเหล่านั้นในการเสริมสร้างสุขภาพอนามัยได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่
2)ภาวะโภชนาการไม่ดี หรือเรียกอีกอย่างว่า ภาวะทุพโภชนาการ หมายถึง ภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือได้รับเพียงพอแต่ร่างกายไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสารอาหารที่ได้รับ หรือการได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินความต้องการของร่างกาย จึงทำให้เกิดภาวะผิดปกติขึ้น
(1)ภาวะโภชนาการต่ ากว่าเกณฑ์
(2) ภาวะโภชนาการเกิน
8.2ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะโภชนาการ
3)การใช้ยา
4)ภาวะสุขภาพพบว่า การเจ็บป่วยเรื้อรังมีผลต่อภาวะโภชนาการ
2)เพศพบว่าเพศชายต้องการพลังงานในหนึ่งวันมากกว่าเพศหญิง
5)ความชอบส่วนบุคคลพบว่าความชอบและไม่ชอบบริโภคอาหารของแต่ละบุคคลมีผลต่อภาวะโภชนาการ
1)อายุ
6)ผลจากการดื่มแอลกอฮอล์
7) วิถีชีวิต
8) เศรษฐานะ
9) วัฒนธรรม ความเชื่อ และศาสนา
10)ปัจจัยด้านจิตใจ พบว่าความเครียด และความกลัวท าให้ความอยากอาหารลดลงรู้สึกเบื่ออาหาร กลืนอาหารไม่ลงคอ หรือมีอาการปากคอขมโดยไม่ทราบสาเหตุ
8.3ความส าคัญของอาหารต่อภาวะเจ็บป่วยและความต้องการพลังงานของร่างกายในภาวะเจ็บป่วย
8.3.1ความต้องการพลังงานของร่างกายในภาวะเจ็บป่วย
ความต้องการพลังงานหรือพลังงานที่ต้องการใช้(Energy Expenditure:EE)เป็นพลังงานที่เพียงพอหรือเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในการสร้างAdenosine triphosphate: ATP
ความต้องการพลังงานพื้นฐาน(Basal energyexpenditure:BEE) หรือพลังงานที่ต้องการขณะพัก (Resting Energy Expenditure:REE )BEEหมายถึง พลังงานที่น้อยที่สุดที่ทำให้เกิดกระบวนการเมทาบอลิสซึมของร่างกายก่อนที่จะมีการท างานของอวัยวะอื่น ๆ
ความต้องการพลังงานทั้งหมด (Total EnergyExpenditure:TEE) หมายถึง ผลรวมของพลังงานทั้งหมดใน 1 วัน ซึ่งรวมถึงBEEพลังงานที่ใช้ในการย่อย และดูดซึมสารอาหาร การใช้พลังงานจากการทำงานของร่างกายในแต่ละวัน และการใช้พลังงานของผู้ป่วยเฉพาะโรค
สูตร BEE เพศชาย
BEE = 66.47+ (13.75 x น้ าหนัก(Kg )) + (5.00 x ความสูง (Cm )) –(6.75 x อายุ (ปี))
สูตร BEE เพศหญิง
BEE = 655.09 + (9.56 x น้ าหนัก (Kg)) +(1.85 x ความสูง(Cm )) –(4.68 x อายุ(ปี))
Activity factor
มีกิจกรรมนอกเตียงได้ = 1.3
มีกิจกรรมเฉพาะบนเตียง = 1.2
หมดสติและใช้เครื่องช่วยหายใจ= 1.0
Stress factor
การติดเชื้อที่รุนแรงมาก= 1.4-1.5
ไตวายไม่ได้ล้างไต = 1.0
การติดเชื้อที่รุนแรงปานกลาง= 1.2-1.3
ผ่าตัดไม่มีภาวะแทรกซ้อน = 1.0
การติดเชื้อที่รุนแรงน้อย= 1.0
ติดเชื้อในช่องท้อง = 1.2-1.37
มีไข้= 1.0 + 0.13(ต่อองศาเซลเซียส)
ติดเชื้อในกระแสเลือด= 1.4-1.8
ขาดอาหาร = 0.7
แผลไหม้ น้อยกว่าร้อยละ20 = 1.0-1.5
แผลไหม้ ร้อยละ 20-40 = 1.5-1.85
แผลไหม้ ร้อยละ 41-100 = 1.5-2.05
การบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อ= 1.8-2.0
กระดูกหัก = 1.2-1.37
บาดเจ็บที่ศีรษะ= 1.4-1.6
8.4การประเมินภาวะโภชนาการ
8.4.1 การวัดสัดส่วนของร่างกาย
1) ดัชนีมวลของร่างกาย เป็นการประเมินมวลของร่างกายทั้งหมด โดยวัดส่วนสูงและน้ าหนักแล้วน ามาประเมินภาวะโภชนาการโดยค านวณหาดัชนีมวลของร่างกายมีหน่วยเป็นกิโลกรัมต่อตารางเมตร จากสูตรการคำนวณ
BMI= น้ าหนักตัว (กิโลกรัม)/ส่วนสูง(เมตร)2
8.4.2 การประเมินทางชีวเคมี
8.4.3 การตรวจร่างกายทางคลินิก
8.4.4การประเมินจากประวัติการรับประทานอาหาร
8.5 การส่งเสริมภาวะโภชนาการในผู้ป่วยที่มีปัญหาภาวะโภชนาการ
8.5.1 Obesity(ภาวะอ้วน)
ภาวะอ้วนคือ ร่างกายมีการสะสมของมวลไขมันในร่างกายมากเกินไป มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ทั้งเพศชายและเพศหญิง ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป และจากการวัดขนาดรอบเอวในผู้ชายรอบเอวมากกว่า 40 นิ้วผู้หญิง 35 นิ้ว อัตราส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก เพศชาย ≥0.9 เพศหญิง ≥0.85
การพยาบาลผู้ที่มีภาวะอ้วน
1)คำนวณพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน
2)จำกัดมื้ออาหารและสัดส่วนของอาหารตามพีระมิดอาหาร
3)จ ากัดการใช้น้ำมัน ไขมัน น้ำตาล
4)หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่แป้งและไขมันสูง
5)รับประทานอาหารครั้งละน้อย แต่บ่อยครั้งและจำกัดอาหารมื้อเย็น
6)หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารขณะดูโทรทัศน์
7)เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารจากผักผลไม้ และธัญพืชที่ไม่ขัดสี
8)ส่งเสริมให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอหรือสัปดาห์ละ 3 วัน
8.5.2 Emaciation(ภาวะผอมแห้ง)
ภาวะผอมแห้ง คือ ภาวะที่ผอมมากเกินไป BMI น้อยกว่าหรือเท่ากับ 16กิโลกรัมต่อตารางเมตรและน้ำหนักลดลงตลอดเวลาและลดลงเป็นเวลานานร่วมกับขาดสารอาหาร มีการควบคุมอาหารหรืออดอาหารออกกำลังกายมากเกินไปผู้ป่วยที่มีปัญหาความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร
8.5.2.1 Anorexianervosa
ภาวะเบื่ออาหารเป็นความรู้สึกไม่อยากรับประทานอาหาร อาจรู้สึกต่อต้าน เมื่อนึกถึงหรือเมื่อเห็นอาหาร รับประทานแล้วไม่ค่อยรู้สึกอร่อย ตรงข้ามกับความรู้สึกอยากอาหาร
8.5.2.2 BulimiaNervosa
เป็นความผิดปกติของพฤติกรรมการรับประทานโดยจะรับประทานวันละหลายๆ ครั้ง ครั้งละมากๆ โดยหลังจากรับประทานเสร็จจะรู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกผิดที่รับประทานเข้าไปมากมาย จึงต้องหาวิธีเอาออกโดยอาจล้วงคอให้อาเจียนออกมาจนหมดหรือกินยาระบายอย่างหนักตลอดจนอดอาหาร
8.5.2.3การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะAnorexianervosaและBulimianervosa
2) ส่งเสริมความรู้สึกอยากอาหารให้มากที่สุดและลดความรู้สึกเบื่ออาหาร
3)ดูแลด้านจิตใจ พยายามให้ช่วงเวลารับประทานอาหารเป็นเวลาที่จิตใจสบาย สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายขณะที่รับประทานอาหารเท่าที่ทำได้
1)หาสาเหตุ ที่พบได้บ่อยๆ เช่น โรคปากและฟัน คออักเสบ โรคมะเร็ง เป็นต้นแล้วขจัดสาเหตุ
4)การใช้ยา แพทย์อาจพิจารณาให้ยากระตุ้นความอยากอาหาร
5) การดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
5.1 พยายามให้รับประทานอาหารทางปากมากที่สุด
5.2 พิจารณาและแนะน าเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
5.3 ส่งเสริมให้มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย
5.4 การให้อาหารด้วยวิธีพิเศษ
8.5.3Nausea and vomiting(อาการคลื่นไส้และอาเจียน)
เป็นความรู้สึกอยากขับอาหารที่กินเข้าไปแล้วออกทางปาก มักเป็นอาการน าก่อนอาเจียน แต่อาจเกิดคลื่นไส้โดยไม่อาเจียนได้ อาการที่มักเกิดร่วมด้วย คือ มีน้ำลายมาก อาจเป็นลม ตาลาย เวียนศีรษะ ความดันเลือดลดลง
8.5.3.1 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน
1)การพยาบาลผู้ป่วยขณะอาเจียนเมื่อพบผู้ป่วยจะอาเจียน พยาบาลต้องรีบให้การช่วยเหลือโดยมีเป้าหมายให้ผู้ป่วยปลอดภัยและสุขสบาย
(2)จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่อาเจียนออกได้สะดวก ช่วยลูบหลังลงเบา ๆ เพื่อป้องกันการสำลักอาเจียนเข้าสู่หลอดลม
(3)คอยอยู่เป็นเพื่อนขณะที่ผู้ป่วยก าลังอาเจียน พยาบาลควรเฝ้าดูด้วยความเห็นใจ สงบ ไม่ตื่นเต้น ไม่แสดงท่าทีรังเกียจ คอยให้ความช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้น
(1)จัดหาภาชนะรองรับอาเจียน เตรียมกระดาษเช็ดปากหรือผ้าไว้ให้ผู้ป่วยสำหรับเช็ดปาก
2) สังเกตสิ่งต่างๆ เพื่อบันทึกและรายงานอย่างถูกต้อง
3) การพยาบาลผู้ป่วยหลังอาเจียน
(2)จัดสิ่งแวดล้อม ดูแลให้อากาศถ่ายเท
(3)ให้ผู้ป่วยพักผ่อนในบรรยากาศที่สงบ ลดการรบกวนจากภายนอก
(1)ดูแลความสะอาดของร่างกายและเครื่องใช้
(4) น้ าและอาหาร ในระยะแรกให้งดอาหารและน้ำ และเริ่มให้ทีละน้อย เมื่ออาการดีขึ้นจึงให้อาหารธรรมดา
4)การป้องกันและแก้ไขอาการอาเจียน
(3) ให้ผู้ป่วยสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ ภายหลังอาเจียน และเมื่อรู้สึกคลื่นไส้
(4) หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวร่างกายหรือเปลี่ยนท่าเร็วๆ
(2) พยายามหลีกเลี่ยงและลดแหล่งของความเครียดต่างๆ
(5)พิจารณาให้ยาระงับอาเจียน
(1) พยายามหาสาเหตุแล้วแก้ไขที่สาเหตุ
(6)ถ้าผู้ป่วยมีอาเจียนอย่างต่อเนื่องมักใส่สายเข้าทางจมูกลงสู่กระเพาะอาหารเป็นทางให้อาเจียนออกหรือเป็นทางใส่สารละลายเข้าไปล้างกระเพาะอาหารในกรณีกินยาพิษหรือสารพิษบางครั้งอาจต่อกับเครื่องสุญญากาศให้มีการดูดออกด้วยแรงดันต่ าๆ เป็นระยะๆ
5)ดูแลความสะอาดร่างกาย ปาก ฟัน เครื่องใช้ สิ่งแวดล้อม
6) เตรียมพร้อมถ้ามีการอาเจียนซ้ำ
8.5.4Abdominal distention(ภาวะท้องอืด)
8.5.4.1 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะท้องอืด
2) งดอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส
3) แสดงความเข้าใจและเห็นใจและยินดีให้การช่วยเหลืออย่างจริงใจ
1) จัดให้นอนศีรษะสูง 45 ํ-60 ํเพื่อช่วยลดอาการแน่นท้อง และผายลมสะดวก
4) ค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะท้องอืดและช่วยเหลือตามสาเหตุ
8.5.5Dysphagia and aphagia(ภาวะกลืนลำบากและกลืนไม่ได้)
ภาวะกลืนล าบาก(Dysphagia)เป็นความรู้สึกที่ผู้ป่วยเกิดความลำบากในการกลืน อาจรู้สึกว่ากลืนแล้วติดอยู่ที่ใดที่หนึ่งหรือกลืนแล้วรู้สึกเจ็บทั้งสองอย่าง
ภาวะกลืนไม่ได้(Aphagia)จึงไม่สามารถกลืนได้ไม่ว่าจะเป็นอาหารแข็ง อาหารธรรมดา อาหารอ่อน อาหารเหลว จนกระทั่งรุนแรงมากที่สุด คือ กลืนไม่ได้เลยแม้แต่น้ าหรือน้ าลาย
8.5.5.1 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะกลืนลำบากและกลืนไม่ได้
3)ดูแลการได้รับยาตามแผนการรักษา
4)ระมัดระวังการสำลัก
2) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ
5)ดูแลด้านความสะอาดของร่างกาย โดยเฉพาะความสะอาดของปากและฟัน
1) สังเกตและประเมินอาการเกี่ยวกับการกลืนไม่ได้หรือกลืนลำบากว่าเกิดขึ้นทันทีทันใดหรือค่อยๆ มากขึ้น
6)การเตรียมผู้ป่วยเพื่อตรวจหรือรักษา
7)การดูแลด้านจิตใจ ปลอบโยน ให้กำลังใจ การสังเกตและการดูแลเอาใจใส่ที่ดี สามารถบอกถึงสาเหตุและอาจแก้ไขอาการได้
8.6การส่งเสริมภาวะโภชนาการในผู้ป่วยที่รับประทานอาหารเองไม่ได้
8.6.1 การป้อนอาหาร
8.6.1.1 วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ได้รับอาหารตามความต้องการของร่างกาย
8.6.1.2 อุปกรณ์เครื่องใช้
3)แก้วน้ำพร้อมน้ำดื่ม และหลอดดูดน้ำ
4)กระดาษหรือผ้าเช็ดปาก
2)ช้อนหรือช้อนส้อม
5)ผ้ากันเปื้อน
1) ถาดอาหารพร้อมอาหาร
8.6.1.3วิธีปฏิบัติ
1) การเตรียมผู้ป่วยและสิ่งแวดล้อม
(1)ก่อนเวลาอาหาร แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายบ้าง
(2)จัดให้อยู่ในท่านั่ง กรณีที่นั่งไม่ได้จัดให้นอนตะแคงขวาเล็กน้อย
(3)ปูผ้ากันเปื้อนตั้งแต่ใต้คางลงไป หากผู้ป่วยที่อยู่ในท่านอนตะแคง ควรปูบนที่ไหล่และหมอนด้วย
(4)วางถาดอาหารในตำแหน่งที่ผู้ป่วยสามารถมองเห็นชนิดของอาหารได้ บอกรายการอาหารและเชิญชวนให้เกิดความอยากอาหารมื้อนั้น
(5)วางเครื่องใช้อื่นๆ ในตำแหน่งที่สามารถหยิบได้สะดวก
(6)ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง
2) การป้อนอาหาร
(3)ไม่ควรจ้องหน้าผู้ป่วย
(4) หลังป้อนอาหารให้ผู้ป่วยดื่มน้ า บ้วนปากหรือแปรงฟันและเช็ดปากให้สะอาด
(2) จังหวะในการป้อนต้องสัมพันธ์กับความสามารถในการรับประทานอาหาร เคี้ยวและกลืนของผู้ป่วย
(5) เก็บถาดอาหาร และเครื่องใช้ต่างๆ เมื่อผู้ป่วยรับประทานเสร็จ
(1) ขณะป้อนอาหารตักอาหารให้มีปริมาณที่เหมาะสม
(6) ลงบันทึกทางการพยาบาล
3)สำหรับผู้ป่วยพิการ
(1)ถ้าผู้ป่วยจับช้อนไม่ถนัดควรสาธิตการใช้ช้อนและส้อมในการตักอาหารใส่ปากหรือดัดแปลงที่จับของให้จับได้สะดวก
(2)ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อย ควรรับประทานอาหารเหลวที่สอดคล้องกับการแผนรักษาของแพทย์
4)สำหรับผู้ป่วยกลืนลำบาก
(4)ควรเริ่มจากอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลวก่อน
(5) ให้อาหารครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้ง
(3)สอนวิธีการใช้ลิ้นและการกลืน เพื่อช่วยให้การกลืนได้ดีขึ้น
(6) ในขณะรับประทานอาหารควรหยุดพักเป็นระยะๆจะช่วยให้ได้รับประทานอาหารได้มากขึ้น
(2) สอบถามผู้ป่วยถึงความรู้สึกเกี่ยวกับอาหารในปาก เพื่อดูว่ามีอาหารที่เหลือค้างในปาก
(1) จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือศีรษะสูงในลักษณะก้มเล็กน้อย เพื่อป้องกันการสำลัก
8.6.2 การใส่และถอดสายยางให้อาหารจากจมูกถึงกระเพาะอาหาร(Nasogastric intubation)
8.6.2.1 วัตถุประสงค์
1)เป็นทางให้อาหาร น้ำ หรือยา ในกรณีที่ผู้ป่วยรับประทานทางปากไม่ได้หรือได้รับไม่เพียงพอ
2) เป็นการลดแรงดันในกระเพาะอาหารหรือลำไส้
3) เป็นการเพิ่มแรงดันเข้าไปในระบบทางเดินอาหาร
4) ล้างภายในกระเพาะอาหาร
5) เก็บสิ่งตกค้างในกระเพาะอาหารไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ
8.6.2.2 อุปกรณ์เครื่องใช้
3) Toomey syringe ขนาด 50 ml 1 อัน
4) ถุงมือสะอาด 1 คู่
2)สายNG tube เบอร์ 14-18 fr.
5) Stethoscope
1) ถาดสำหรับใส่เครื่องใช้
6) สารหล่อลื่น เช่น K.Y. jellyเป็นต้น
7) แก้วน้ ำ
8) หลอดดูดน้ำ
9) พลาสเตอร์
10) กระดาษเช็ดปาก
11) ชามรูปไต
12) ผ้าเช็ดตัว
8.6.2.3 วิธีปฏิบัติ
1) ตรวจสอบความถูกต้องของคำสั่งการรักษา
2)ล้างมือให้สะอาด
3) นำอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ไปที่เตียงผู้ป่วย ตรวจสอบโดยดูป้ายชื่อ และสอบถามชื่อ-สกุลผู้ป่วยให้ถูกต้อง
4) บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงวัตถุประสงค์ของการใส่สายยางจากจมูกถึงกระเพาะอาหารปิดประตูหรือกั้นม่านให้เรียบร้อย
5) จัดท่าให้ผู้ป่วย จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือนอนศีรษะสูง
6) ใส่ถุงมือสะอาด และMaskตรวจดูรูจมูก ผนังกั้นจมูก โดยให้ผู้ป่วยหายใจเข้าออกแรงๆ ทีละข้าง ดูการผ่านของลมหายใจ
7) เปิดซองสาย NG tubeจากนั้นบีบ K.Y. jelly ลงด้านในของซองสายNG tubeโดยยังไม่หล่อลื่นสายNG tube
8) นำสายNG tubeวัดต าแหน่งที่จะใส่สายโดยวัดจากปลายจมูกถึงปลายติ่งหูและจากปลายติ่งหูถึงปลายกระดูกอก(Xiphoid process) โดยไม่ให้สาย NG สัมผัสตัวผู้ป่วย แล้วใช้พลาสเตอร์พันไว้เป็นเครื่องหมาย
9) เปิดห่อ Toomey syringe แล้วใส่ Plunger ให้เรียบร้อย พันสาย NG ให้อยู่ในมือซ้าย พร้อมใส่สาย NG โดยใช้มือขวาจับปลายสาย NG แล้วหล่อลื่นปลายสายNGด้วย K.Y. jelly ประมาณ 5-6 นิ้ว
10)บอกให้ผู้ป่วยตั้งศีรษะให้ตรงหรือเงยหน้าเล็กน้อย ใช้มือขวาจับปลายสายด้านที่หล่อลื่นแล้วโดยให้ห่างจากปลายสาย 3-4นิ้ว ค่อยๆ สอดเข้าทางรูจมูกแนวด้านข้างของจมูกเอียงเล็กน้อยโดยให้แนวโค้งของสายเข้าสู่แนวโค้งตามกายวิภาคของลำคอ
11) เมื่อสายผ่านถึงคอ (Posterior nasopharynx) ผู้ใส่หักข้อมือเล็กน้อยให้ผู้ป่วยก้มศีรษะลงบอกให้ผู้ป่วยช่วยกลืนสายโดยกลืนน้ำลายหรือดูดน้ำที่เตรียมไว้พร้อมทั้งค่อย ๆ ดันสายอย่างนุ่มนวลตามจังหวะการกลืนจนถึงตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายไว้ติดพลาสเตอร์ไว้คร่าว ๆ ถ้าผู้ป่วยไอหรือขย้อน หยุดดันสาย รอสักพักจนอาการสงบดีแล้วจึงใส่ต่อถ้ามีน้ำตา น้ำมูก น้ำลาย เช็ดด้วยกระดาษชำระ ถ้าผู้ป่วยยังคงสำลัก ไอมากขึ้นหายใจไม่สะดวก ร้องไม่ออก รีบดึงสายออกทันที รอให้อาการสงบ แล้วเริ่มใส่ใหม่ทางรูจมูกอีกข้างหนึ่ง
12)ตรวจสอบว่าสาย NG เข้าไปถึงกระเพาะอาหาร ดังนี้
(1)ใช้Toomeysyringe ต่อกับปลายสายด้านนอก และดูดน้ าย่อยจากกระเพาะอาหารสังเกตลักษณะของน้ าย่อยและลมที่ออกมา แล้วยกToomeysyringeขึ้นให้สูงน้ าย่อยและลมจะไหลกลับไปในกระเพาะอาหาร
(2)ใช้Toomeysyringe ดูดลมประมาณ 10 ซีซี ต่อกับปลายสายด้านนอกวาง Stethoscope ฟังบริเวณ Epigastrium และใช้ Toomeysyringeดันลมกลับเข้าอย่างรวดเร็วจะได้ยินเสียงอากาศผ่านเข้าไปในกระเพาะอาหาร
13)ใช้พลาสเตอร์พันสายติดกับจมูก ให้สายอยู่ตรงกลางรูจมูกโค้งปลายสายติดด้วยพลาสเตอร์ข้างโหนกแก้ม หรือคล้องใบหู แล้วกลัดด้วยเข็มกลัดติดกับเสื้อ ถ้าต้องใส่สายคาไว้ต้องปิดจุกให้เรียบร้อย
14)ทำความสะอาดปาก และจมูก
15)นำเครื่องใช้ไปทำความสะอาดเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
16)ลงบันทึกทางการพยาบาล
8.6.3 การให้อาหารทางสายยางให้อาหารจากจมูกถึงกระเพาะอาหาร
วิธีการให้อาหารทางสายยางมี 2 วิธี
1)Bolus doseเป็นการให้อาหารทางสาย NG โดยใช้ Toomey syringe เหมาะส าหรับผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้เอง
2)Drip feedingเป็นการให้อาหารทางสาย NG โดยใช้ชุดให้อาหาร
8.6.3.1อุปกรณ์เครื่องใช้
1) ถาดสำหรับใส่เครื่องใช้
2) อาหารเหลวสำเร็จรูป หรืออาหารปั่น
3) ในกรณีที่มียาหลังอาหารบดยาเป็นผงและละลายน้ าประมาณ 15-30 ซีซี
4) ผ้ากันเปื้อน
5) Toomey syringe ขนาด 50 ml 1 อัน
6) ถุงมือสะอาด 1 คู่
7) Stethoscope
8) แก้วน้ ำ
9) กระดาษหรือผ้าเช็ดปาก
10) สำลีชุบ 70% Alcohol2 ก้อน
11) ชุดทำความสะอาดปาก ฟัน และจมูก
8.6.3.2 วิธีปฏิบัติ
6) ทดสอบตำแหน่งของสายให้อาหาร ได้ 2 วิธี
(1) วิธีที่ 1 ใช้ Toomey syringeต่อกับปลายสาย ดูด Gastric content ออกมาตรวจดูปริมาณ
(2) วิธีที่ 2วาง Stethoscopeที่บริเวณ Epigastrium และใช้Toomey syringeดันอากาศประมาณ 5-10 มล. เข้าไปทางสายให้อาหาร ถ้าสายให้อาหารอยู่ในกระเพาะอาหารจะฟังได้ยินเสียงอากาศเข้าไปในกระเพาะอาหาร จากนั้นดูดลมกลับคืนออกมาเท่ากับจำนวนที่ดันลมเข้าไป
7) หักพับสาย ถอด Toomey syringeแล้วดึงPlunger ออก และต่อกระบอกสูบเข้ากับส่วนปลายของสายNG
5) ปลดผ้าก๊อซที่หุ้มปลายสายให้อาหารออกทำความสะอาดปลายสายด้วยสำลีชุบ 70% Alcohol
8) เทอาหารใส่กระบอก Syringeคลายรอยพับออก
4) ปูผ้ากันเปื้อนรองตรงปลายสายให้อาหาร
9) กรณีให้ยาหลังอาหาร
(1)ก่อนที่อาหารจะหมดควรเหลืออาหารไว้ใน Syringeประมาณ 10 ซีซีและควรรินยาลงไปตรงๆ
(2)ก่อนยาจะหมด เหลือค้างใน Syringeประมาณ 5 ซีซีเติมน้ำสะอาด เพื่อไล่เศษอาหารและยาที่ตกค้างอยู่ในสายให้อาหาร
3)ทำความสะอาดปาก ฟันกรณีใช้เครื่องช่วยหายใจต้องทำการดูดเสมหะก่อนให้ทางเดินหายในโล่ง
2)ไขหัวเตียงสูงเพื่อจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่ง ในกรณีที่ผู้ป่วยนั่งไม่ได้จัดให้นอนตะแคงขวา ช่วยให้อาหารเคลื่อนลงสู่กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กได้สะดวก ป้องกันอาหารไหลย้อนกลับ
1)อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุผล ข้อดีและประโยชน์ในการให้อาหารทางสายให้อาหาร
10) หักพับปลายสายให้อาหาร และเช็ดปลายสายด้วยสำลีชุบ 70% Alcohol
11) ปิดจุกสายNG ใช้ก๊อสปิดไว้ให้เรียบร้อย
12) ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าเดิมอย่างน้อย 30 นาที
13) เก็บเครื่องใช้ทำความสะอาด และเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
14)ลงบันทึกทางการพยาบาล
8.6.4 การถอดสายยางให้อาหารจากจมูกถึงกระเพาะอาหาร
8.6.4.1 อุปกรณ์เครื่องใช้
4) สำลีชุบ70%Alcohol
5) ไม้พันสำลีชุบเบนซิน (Benzene)และน้ำเกลือ (Normal saline)
3) น้ำยาบ้วนปาก
6) ถุงมือสะอาด
2) ชามรูปไต
7) ผ้าก๊อสสะอาด
1) ผ้ากันเปื้อนหรือผ้าเช็ดตัว
8.6.4.2 วิธีปฏิบัติ
5) ปูผ้ากันเปื้อนหรือผ้าขนหนูและแกะพลาสเตอร์ที่ยึดสายจมูกออก
6)หักพับสาย และดึงสายออก ขณะดึงสายให้ผู้ป่วยอ้าปากหายใจยาวๆ ใช้ผ้าก๊อสจับสายที่ดึงออกมาด้วยมืออีกข้างหนึ่ง การดึงควรดึงอย่างนุ่มนวลแต่เร็วระวังสายยางสะบัด
4) ล้างมือให้สะอาด เช็ดให้แห้งและใส่ถุงมือสวมmask
3)ตรวจคำสั่งการรักษา เพื่อยืนยันแผนการรักษา
7) เช็ดรอยพลาสเตอร์ด้วยเบนซิน เช็ดตามด้วยน้ำเกลือและแอลกอฮอล์แล้วเช็ดให้แห้ง
2) ไขหัวเตียงสูงเพื่อจัดให้ผู้ป่วยอยู่ท่านั่ง
8) ท าความสะอาดปาก ฟัน และจมูก เพื่อช่วยให้รู้สึกสะอาด และสดชื่น
1)อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุผล
8.6.5 การให้อาหารทางสายยางให้อาหารที่ใส่เข้าทางรูเปิดของกระเพาะอาหาร
8.6.5.1 วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับอาหารตามความต้องการของร่างกาย
8.6.5.2 อุปกรณ์เครื่องใช้เหมือนกับการให้อาหารทางสาย NG tube
8.6.5.3 วิธีปฏิบัติ
1) แจ้งและอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจจุดประสงค์และวิธีทำ
2) จัดให้อยู่ในท่านั่ง หรือนอนในท่าศีรษะสูง
3) เปิดเสื้อผ้าบริเวณ Gastrostomy tubeหรือ Jejunostomy tubeออก ปูผ้ากันเปื้อนไว้ใต้ Tube
4) ล้างมือให้สะอาดใส่Mask
5) ตรวจสอบคำสั่งการรักษา
6) ปลดผ้าก๊อซที่หุ้มปลายสายให้อาหารออกทำความสะอาดปลายสายด้วยสำลีชุบ70%Alcohol
7) ใช้ Toomey syringe ต่อกับปลายสายดูด Gastric content เพื่อตรวจสอบความสามารถของกระเพาะอาหารในการบีบไล่อาหารไปยังลำไส้เล็ก
8) หักพับสาย ถอด Syringeแล้วดึงPlunger ออก และต่อกระบอกสูบเข้ากับสายให้อาหาร
9) เทอาหารใส่กระบอก Syringeและปล่อยให้อาหารไหลเข้าช้าๆ ต่อเนื่องกันไปไม่ให้ขาดระยะเพื่อป้องกันไม่ให้อากาศเข้ากระเพาะอาหารหรือต่อส่วนปลายของสายชุดให้อาหารเข้ากับจุกเปิดของสายยางให้อาหาร
10) กรณีให้ยาหลังอาหาร
(1) ก่อนที่อาหารจะหมดควรเหลืออาหารค้างใน Syringeประมาณ 10 ซีซีและควรรินยาลงไปตรงๆ
(2) ก่อนยาจะหมด เหลือค้างใน Syringeประมาณ 5 มล. เติมน้ำสะอาด เพื่อไล่เศษอาหารและยา ที่ตกค้างอยู่ในสายให้อาหาร
11) เช็ดปลายสายให้อาหารด้วยสำลีชุบ70%Alcohol
12) หักพับปลายสายให้อาหารเพื่อป้องกันอากาศเข้าไปในกระเพาะอาหาร
13) ปิดปลายสายอาหารให้เรียบร้อย
14) ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าเดิมอย่างน้อย 30นาที เพื่อป้องกันอาหารไหลย้อน และสำลักได้
15) เก็บเครื่องใช้ท าความสะอาด และเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
16) ลงบันทึกทางการพยาบาล
8.7 การล้างภายในกระเพาะอาหาร(Gastric lavage)
8.7.1วัตถุประสงค์
2) ทดสอบหรือยับยั้งการมีเลือดออกจำนวนน้อยในทางเดินอาหารส่วนบน
3) ตรวจสอบการอุดตันของสาย
1) ล้างกระเพาะอาหารในกรณีที่ผู้ป่วยกินยาหรือสารพิษ
4) ตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคปอดและหลอดลม
8.7.2 อุปกรณ์เครื่องใช้
4) ผ้าเช็ดปากหรือผ้าขนหนูผืนเล็กหรือผ้ากันเปื้อน
5) สายยางสำหรับใส่ในกระเพาะอาหาร
3) ชามรูปไตหรืออ่างกลม
6) Ky jelly
2) สารละลายที่ใช้ล้างกระเพาะอาหารใช้น้ำเกลือ
7) ถุงมือสะอาด 1 คู่และ Mask
1) ชุดล้างกระเพาะอาหาร
8.7.3วิธีปฏิบัติ
1)ตรวจสอบคำสั่งการรักษา
2)ประเมินสภาพผู้ป่วยอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจปิดประตูหรือกั้นม่านให้เรียบร้อย
3) ล้างมือก่อนจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้
4) เตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ให้พร้อม
5) ปูผ้าคลุมบนเตียงและตัวผู้ป่วยตรงที่จะปลดสาย
6) ใช้Toomey syringe ดูดสารละลาย 50 ซีซี
7) หักพับสายไว้ก่อนปลดรอยต่อ จากนั้นต่อสายกับกระบอกฉีดยาแล้วปล่อยสายที่หักพับไว้ ค่อยดันสารละลายผ่านกระบอกฉีดยาเข้าทางสาย ถ้ามีแรงต้าน ตรวจสอบการหักหรือพับงอของสาย และให้ผู้ป่วยพลิกตัวไปมา ถ้ายังมีแรงต้านให้รายงานแพทย์
8) ดูดน้ำออกเบาๆ หรือปล่อยให้สารละลายไหลออกเอง
9) ใส่สารละลายเข้าไปแล้วปล่อยหรือดูดน้ำออกเรื่อยๆ จนการไหลผ่านดี หรือครบจำนวนตามแผนการรักษาพับสายไว้ ปลดกระบอกฉีดยา ปิดปลายสาย
10) ถ้ากรณีล้างกระเพาะอาหาร เพื่อห้ามเลือดในกระเพาะอาหาร ต้องทำการล้างจนสารน้ำมีลักษณะสีแดงจางที่สุด หรือมีลักษณะใส
11) เมื่อสิ้นสุดการล้างกระเพาะอาหารแล้ว ให้ทำความสะอาดช่องปากและจัดท่าผู้ป่วยในท่าที่สุขสบาย
12) เก็บเครื่องใช้ทำความสะอาด และเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
13) ลงบันทึกทางการพยาบาล
8.8กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมภาวะโภชนาการ
ตัวอย่างผู้ป่วยรายหนึ่งได้รับการวินิจฉัยโรคเป็นมะเร็งหลอดอาหาร ไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้ น้ าหนักลดลง 10 กิโลกรัมภายใน 2 สัปดาห์ สีหน้าท่าทางอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ผิวหนังแห้ง เห็นกระดูกชัดเจน ญาติผู้ป่วยบอกไม่สามารถกลืนอะไรได้เลย จิบน้ำแค่เล็กน้อยก็ไหลออกทางปาก แพทย์มีแผนการรักษาให้ Retain NG tube for Feeding BD 250 ml x 5 Feed
การประเมินภาวะสุขภาพ
S:ญาติผู้ป่วยบอกไม่สามารถกลืนอะไรได้เลย จิบน้ำแค่เล็กน้อยก็ไหลออกทางปาก
O:จากการสังเกต ผู้ป่วยมีสีหน้าท่าทางอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ผิวหนังแห้ง ผอมจนเห็นกระดูกชัดเจน
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะทุพโภชนาการ เนื่องจากไม่สามารถรับประทานอาหารได้เอง
3.การวางแผนการพยาบาล
วัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ
เกณฑ์การประเมิน
1) ผู้ป่วยได้รับสารอาหารตรงตามแผนการรักษาของแพทย์
2) ผู้ป่วยมีค่าดัชนีมวลกาย อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การปฏิบัติการพยาบาล
3)บอกวัตถุประสงค์ เตรียมความพร้อมของผู้ป่วย จัดท่าให้เหมาะสม ปิดกั้นม่าน
4)ใส่สายยางทางจมูกถึงกระเพาะอาหารให้แก่ผู้ป่วยตามแนวปฏิบัติ
2) จัดเตรียมอุปกรณ์ในการใส่สาย NG และอาหารปั่นให้พร้อม ยกไปที่เตียงผู้ป่วย
5) ให้อาหารทางสายยางทางจมูกถึงกระเพาะอาหารตามแผนการรักษา
6) จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าศีรษะสูง อย่างน้อย 30 นาที หลังให้อาหารทางสายยาง
7) ลงบันทึกทางการพยาบาล
1) ตรวจสอบแผนการรักษา ชื่อผู้ป่วย และอาหารปั่นให้ตรงกัน
8) ติดตาม ประเมินน้ำหนักตัวของผู้ป่วย โดยชั่งน้ำหนักทุกเช้า วันเว้นวัน
5.การประเมินผลการพยาบาล
5.1 ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
1) ประเมินความสุขสบายของผู้ป่วยสังเกตสีหน้าท่าทางของผู้ป่วย
5.2 ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
1) ประเมินการปฏิบัติถูกต้องครบและเป็นไปตามขั้นตอนของแนวปฏิบัติ
2) ประเมินผลภายหลังผู้ป่วยได้รับอาหารทางสายยางทางจมูกถึงกระเพาะอาหารไม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น