Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การรับผู้ป่วยใหม่และการจำหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล 🏥🚑🏢👩⚕️,…
การรับผู้ป่วยใหม่และการจำหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล 🏥🚑🏢👩⚕️
1. ชนิดของการรับผู้ป่วยใหม่
การรับผู้ป่วยเพื่อรับการรักษาในโรงพยาบาลขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการรักษาพยาบาล
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1.1 ผู้ป่วยใน (Inpatient)
ระยะเวลาของการนอนพักรักษาในโรงพยาบาลมากกว่า
24 ชั่วโมง
เช่น
ผู้ป่วยโรคปอดบวม
โรคหัวใจวาย
ประสบอุบัติเหตุกระดูกหัก
โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือ
แตก
โรคหอบ
รับสารพิษ ถูกไฟช็อต ถูกงูกัด
ประเภทของผู้ป่วยในประกอบด้วย
2) การรับ แบบฉุกเฉิน (Emergency admission)
เป็นการนอนพักรักษา
ในโรงพยาบาลแบบไม่ได้วางแผนไว้
รักษาที่แผนกฉุกเฉินก่อนจนอาการคงที่จึงย้ายไปนอนพักรักษาตัว
ที่หอผู้ป่วย
เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก ได้รับอุบัติเหตุที่รุนแรง มีเลือดออกปริมาณมาก หมดสติ
3) การรับโดยตรง (Direct admission)
เป็นการนอนพักรักษาในโรงพยาบาลแบบไม่ได้
วางแผนไว
ไม่ได้ตรวจที่แผนกฉุกเฉิน
อาจตรวจที่แผนกตรวจผู้ป่วยนอก
รับเข้าพักที่หอผู้ป่วยโดยตรง
เช่น
ผู้ป่วยที่มีไข้สูงเป็นเวลานาน
มีอาการปวดอย่างทรมาน
ท้องเสีย อาเจียนอย่างต่อเนื่อง
มีอาการเกร็ง
หรือชักเป็นๆ หายๆ
1) วางแผนเป็นผู้ป่วยในหรือกรณีไม่เร่งด่วน (Planned or Non-urgent)
ผู้ป่วยในตามปกติ เป็นการรับแบบที่มีการจัดตารางนอนผู้ป่วยไว้ล่วงหน้า
เช่น
ผู้ป่วยที่นัดมาทำการผ่าตัด
นัดมาเข้ารับการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด
ให้รังสีรักษา
นัดมาผ่าตัดคลอด
นัดมาตรวจวิเคราะห์โรค
ทั้งนี้ผู้ป่วยบางรายอาจถูกเลื่อนนัดหากมีความจำเป็น
1.2 ผู้ป่วยนอก (Outpatient)
ระยะเวลาของการอยู่ในโรงพยาบาลน้อยกว่า 24 ชั่วโมง
เช่น
กลุ่มที่มาตรวจเป็นครั้งๆ ที่แผนกตรวจผู้ป่วยนอก เมื่อตรวจเสร็จแล้วแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้
กลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดเล็ก
การให้ยาเคมีบ าบัดแบบเป็นครั้งๆ
ผู้ป่วยกลุ่มหลังนี้เป็นประเภท
นอนสังเกตอาการ จ าเป็นต้องได้รับการเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิดระยะเวลาหนึ่งภายใน 24 ชั่วโมง
เมื่อมีอาการดีขึ้นก็ให้กลับบ้านได้
ถ้าอาการไม่ดีขึ้นแพทย์อาจพิจารณาให้รับไว้เป็นผู้ป่วยใน
เช่น
ศีรษะได้รับบาดเจ็บมีสัญญาณชีพที่ผิดปกติ
มีอาการเจ็บครรภ์
หน้ามืดเป็นลม
แพ้อาหารหรือยา
บางชนิด
เป็นผื่นที่ผิวหนังแบบลุกลาม
2. การส่งเสริมการปรับตัวของผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาล
ทราบว่าจะต้องมาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลย่อมเกิดความวิตกกังวล ท าให้ไม่สามารถดำรงบทบาทต่างๆ ได้ตามปกต
เพื่อให้การช่วยเหลือส่งเสริมการปรับตัวของผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาล
2.3 ประสบการณ์ในอดีตมีความสำคัญต่อการแสดงออกของผู้ป่วย
พยาบาลควรจะพูดคุย
กับผู้ป่วยโดยการซักถามถึงประสบการณ์ในอดีตในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล
ทำให้ทราบทัศนคติของผู้ป่วยเพื่อน าข้อมูลที่ได้มา
มาใช้ในการวางแผนการให้การพยาบาลต่อไปได้ดียิ่งขึ้น
2.4 การคำนึงถึงความเป็นบุคคลของผู้ป่วย
พยาบาลจะต้องให้เกียรติผู้ป่วยตาม
ความเหมาะสม ซึ่งการเรียกผู้ป่วยควรเรียกชื่อ และมีคำนำหน้านามที่เหมาะสม
ไม่ควรเรียกผู้ป่วยโดยใช้
หมายเลขเตียง และควรมีค าลงท้ายที่เหมาะสมโดยเฉพาะผู้ป่วยเป็นผู้ใหญ
จะต้องบอกให้ผู้ป่วยทราบ
ทุกครั้งเมื่อจะให้การพยาบาล
2.2 ความกังวลต่อความเจ็บป่วย
พยาบาลช่วยลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยได้โดยบอกให้
ผู้ป่วยทราบถึงโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ การพยากรณ์โรค และการรักษา
ไม่ควรพูดศัพท์ทางการแพทย์หรือภาษาอังกฤษที่ผู้ป่วยไม่เข้าใจ
2.5 ความเชื่อและพฤติกรรมต่างๆ เป็นของผู้ป่วย
เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละคนมีความแตกต่าง
ในด้านนิสัยและการแสดงพฤติกรรม ตลอดจนความเชื่อที่เป็นของตนเอง
ต้องเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของผู้ป่วย
2.1 ความแปลกใหม่ต่อสถานที่ สิ่งแวดล้อม บุคลากรทางการแพทย์ และอื่นๆ
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องช่วยผู้ป่วยปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง
อธิบาย
และแนะนำถึงข้อปฏิบัติตัวต่างๆ ที่ผู้ป่วยต้องการทราบ และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วย
เช่น
ระเบียบเวลาเยี่ยม
การใช้กริ่งเมื่อต้องการความช่วยเหลือ
แนะนำสถานที่ให้ผู้ป่วยและญาติทราบ
2.6 การวางแผนให้การพยาบาลโดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการสังเกตและการซักถามต่างๆ
วางแผนการพยาบาลตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาล
แผนการพยาบาลจะเปลี่ยนแปลง
เมื่ออาการหรือปัญหาของผู้ป่วยเปลี่ยน
3. วัตถุประสงค์และขั้นตอนการรับผู้ป่วยใหม่
การรับผู้ป่วยใหม่มีวัตถุประสงค์ การเตรียมอุปกรณ์ขั้นตอนการรับผู้ป่วยใหม่ และการรับ
แผนการรักษา
3.1 วัตถุประสงค์
1) ผู้ป่วยและญาติมีความรู้และปฏิบัติตามกฎระเบียบและกิจวัตรของโรงพยาบาล
ได้อย่างถูกต้อง
2) ผู้ป่วยมีเครื่องใช้ที่จำเป็นในการรักษาพยาบาล เหมาะสม
3) ผู้ป่วยได้รับการประเมินปัญหาและความต้องการทางร่างกาย และจิตสังคม
ได้ถูกต้อง
5) ผู้ป่วยมีความปลอดภัยและสุขสบายเพิ่มขึ้น
4) ผู้ป่วย และ ญาติคลายความวิตกกังวล เต็มใจให้ความร่วมมือในการรักษา
พยาบาล
6) ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพความเจ็บป่วย
3.2 การเตรียมอุปกรณ์
เมื่อได้รับแจ้งจากแผนกผู้ป่วยนอกในการรับผู้ป่วยเข้ารักษาไว้ใน
โรงพยาบาล
1) เตรียมเตียงหรือห้องพักผู้ป่วยให้พร้อมเพื่อต้อนรับการพักรักษาตัวของผู้ป่วย
2) เอกสารรายงานการรับผู้ป่วยใหม่หรือแบบบันทึกต่างๆ ซึ่งจะแตกต่างกันในแต่ละ
โรงพยาบาล
3) อุปกรณ์ที่จ าเป็นตามความเหมาะสมส าหรับผู้ป่วยแต่ละราย
เสื้อผ้าชุด
โรงพยาบาล
ผ้าเช็ดตัว
อุปกรณ์ให้ออกซิเจน
กระบอกปัสสาวะหรือหม้อนอน
4) เครื่องมือตรวจสัญญาณชีพ น้ำหนักและส่วนสูง
5) สมุดบันทึกการรับใหม่
6) เครื่องใช้ส่วนตัว
3.3 ขั้นตอนการรับผู้ป่วยใหม
1) เตรียมสิ่งแวดล้อมเพื่อรับผู้ป่วยใหม่โดย
2) สร้างสัมพันธภาพ ให้การต้อนรับผู้ป่วยและญาติด้วยถ้อยคำ สีหน้า แววตา
กิริยาท่าทางที่เป็นมิตร สุภาพ
3) ตรวจสอบชื่อ นามสกุลของผู้ป่วย การลงทะเบียนรับเป็นผู้ป่วยใน และลายเซ็น
รับผู้ป่วยของแพทย์จากบัตรตรวจโรคของโรงพยาบาลให้ตรงกับเจ้าหน้าที่แผนกผู้ป่วยนอกที่แจ้งมา
4) ชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูง ตามสภาพอาการของผู้ป่วย
5) นำผู้ป่วยไปที่เตียง แนะนำให้รู้จักผู้ป่วยอื่นที่อยู่ร่วมห้อง
6) วัดอุณหภูมิ ชีพจร การหายใจ และความดันโลหิต
7) อธิบายกิจกรรมการรักษาพยาบาลที่จะให้ผู้ป่วย
8) ให้ผู้ป่วยหรือญาติที่มีสิทธิตามกฎหมายเซ็นอนุญาตหรือยินยอม
9) เก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วย โดยการสัมภาษณ์ผู้ป่วยและญาติ การตรวจร่างกาย
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
10) ให้ความช่วยเหลือหรือให้ค าแนะนำในการอาบน้ำแรกรับเข้ารักษาในโรงพยาบาล
เปลี่ยนใช้เสื้อผ้าของโรงพยาบาล
11) เบิกอาหารให้ผู้ป่วยที่เหมาะสมกับโรค และแผนการรักษา
12) นำป้ายข้อมือติดที่ข้อมือผู้ป่วย ติดป้ายหน้าเตียง และป้ายแจ้งข้อที่ควรปฏิบัติ
กับผู้ป่วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการแจ้งให้แพทย์ พยาบาล และผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ
13) แจ้งแพทย์เจ้าของผู้ป่วยหรือแพทย์ประจำหอผู้ป่วยรับทราบการเข้ารับการรักษา
14) ลงทะเบียนรับผู้ป่วยใหม่ จัดทำแฟ้มประวัติ (Chart) ตรวจรับแผนการรักษา
3.4 การรับแผนการรักษา
เป็นกระบวนการถ่ายทอดแผนการรักษาจากแผ่นคำสั่งการ
รักษาไปสู่การปฏิบัติ
แม้ว่าพยาบาลจะมิใช้ผู้ปฏิบัติทุกเรื่องในแผนการรักษา
วิธีการรับแผนการรักษาแตกต่างกันไปในแต่ละสถานบริการสุขภาพ
การรับแผนการรักษา
มีวัตถุประสงค์ อุปกรณ์ และวิธีการรับแผนการรักษา
2) อุปกรณ์ ประกอบด้วย แผ่นคำสั่งการรักษา ใบรับคำสั่งแผนการรักษา ใบบันทึกการ
ให้ยา ป้ายสำหรับติดขวดสารละลาย ปากกา
3) วิธีการรับแผนการรักษา
(1)อ่านแผนการรักษาทั้งเฉพาะวันและตลอดไปให้เข้าใจโดยตลอด
(2)กรอกรายละเอียดแผนการรักษาในใบรับคำสั่งแผนการรักษา
(3) หากมีคำสั่งแผนการรักษาให้สารละลายทางหลอดเลือดดำให้เขียนป้ายส าหรับ
ติดขวดสารละลายตามจำนวนที่แพทย์กำหนด
(4) ปฏิบัติตามแผนการรักษา พร้อมทั้งทำเครื่องหมายหรือบันทึกชื่อผู้ทำในใบรับ
คำสั่งแผนการรักษา และ/ หรือใบบันทึกการให้ยา
1) วัตถุประสงค์ เพื่อถ่ายทอดแผนการรักษาไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้องครบถ้วน
4. สาเหตุและอุปกรณ์การจำหน่ายผู้ป่วย
หมายถึง
การจำหน่ายผู้ป่วยออกจากหอผู้ป่วย โดยแบ่งประเภทการ
จำหน่ายผู้ป่วย วัตถุประสงค์การจำหน่ายผู้ป่วย อุปกรณ์ และขั้นตอนการจำหน่าย
4.1 ประเภทการจำหน่ายผู้ป่วย
1) การจ าหน่ายผู้ป่วยเมื่อมีอาการทุเลาลงจากภาวะที่อันตราย ฟื้นหายจากโรค
2) การจำหน่ายโดย ไม่สมัครอยู่พยาบาลจะต้องอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบว่า
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับผู้ป่วย
3) การจำหน่ายเนื่องจากผู้ป่วยหนีกลับ ในกรณีผู้ป่วยหนีกลับจะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่
พยาบาลเพื่อทำการบันทึกไว้เป็นหลักฐานในฟอร์มใบบันทึกทางการพยาบาล และแจ้งเหตุที่จำหน่าย เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในการปฏิบัติการให้การพยาบาล
4) การจำหน่าย เนื่องจากผู้ป่วยถึงแก่กรรม ผู้ช่วยพยาบาลจะต้องให้ความช่วยเหลือ
ในการให้ข้อมูล ตั้งแต่แรกรับถึงอาการรุนแรง การช่วยเหลือของแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และ
การลงความเห็นของแพทย์ว่าไม่มีสัญญาณที่แสดงว่าผู้ป่วยมีชีวิตอย
5) การจำหน่ายผู้ป่วยเนื่องจากมีการส่งต่อให้ไปรับการดูแลรักษายังสถานบริการสุขภาพ
อื่น
4.2 การจำหน่ายผู้ป่วย มีวัตถุประสงค์
4) เพื่อให้ผู้ถึงแก่กรรมมีร่างกายสะอาด อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด อยู่ในสิ่งแวดล้อม
ที่สงบเรียบร้อย
5) เพื่อได้รับการปฏิบัติที่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
3) เพื่อให้ผู้ถึงแก่กรรมได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียม และความเชื่อ
ทางศาสนา
2) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง
1) เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
4.3 อุปกรณ์ในการจำหน่ายผู้ป่วย ประกอบด้วย
1) รายงานผู้ป่วยทั้งหมด
2) สมุดจำหน่ายผู้ป่วย
3) เสื้อผ้าผู้ป่วย
4) บัตรประจำตัวของโรงพยาบาล
4.4 ขั้นตอนจำหน่ายผู้ป่วย การจำหน่ายผู้ป่วยกรณีแพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน
และการจำหน่ายผู้ป่วยเมื่อถึงแก่กรรม
1) การจำหน่ายผู้ป่วยกรณีแพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน
(5) ให้ใบนัด พร้อมบัตรประจำตัวของผู้ป่วย พร้อมทั้งให้คำแนะนำ
(6) นำเสื้อผ้าและของมีค่าคืนให้ผู้ป่วยพร้อมทั้งช่วยแต่งกายให้เรียบร้อย
(4) แนะนำผู้ป่วยให้สอดคล้องกับสภาพความเจ็บป่วยทั้งด้านร่างกาย
(7) เตรียมล้อเข็น หรือเปลนอนในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยตามความเหมาะสม
(3) ให้ญาติผู้ป่วยไปซื้อยาตามใบสั่งยา
(8) ลงสมุดจำหน่ายผู้ป่วย ลบรายชื่อออกจากกระดานรายชื่อ
(2) แจ้งผู้ป่วยและญาติให้ทราบ พร้อมทั้งแจ้งค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
(9) เก็บอุปกรณ์ ทำความสะอาด เพื่อรอรับผู้ป่วยใหม่ต่อไป
(1) ตรวจสอบแผนการรักษาของแพทย์
2) การจำหน่ายผู้ป่วยเมื่อถึงแก่กรรม
(6) รวบรวมรายงานลงสมุดจำหน่าย
(3) ใส่อวัยวะปลอม (ถ้ามี) เช่น ตาปลอม ฟันปลอม ถ้าปากหุบไม่สนิทใช้ผ้า
สามเหลี่ยมยึดคางไว้ระยะหนึ่ง
(2) จัดท่าให้เร็วที่สุด โดยให้นอนหงาย จัดแขน ขาให้ตรงอยู่ในท่าที่สบาย
คล้ายผู้ป่วยนอนหลับ หนุนศีรษะเพียงเล็กน้อย
(5) ภายหลังศพอยู่ในหอผู้ป่วยอย่างน้อย 2 ชั่วโมงตามเจ้าหน้าที่มารับศพ
ตรวจความเรียบร้อย และเคลื่อนย้ายโดยปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป
(1) ใช้มือลูบหนังตาผู้ป่วยให้ปิดลงเมื่อแพทย์ลงความเห็นว่าเสียชีวิตแล้ว
ถอดอุปกรณ์ทุกชนิดในการรักษาออก อาบน้ำ ใส่เสื้อผ้าให้ ถ้ามีแผลเปลี่ยนผ้าปิดแผลให้ใหม่
ถ้ามีของเหลวจากจมูก หู ใช้สำลีอุดไว้ ถ้าออกจากช่องคลอดหรือทวารหนักให้ใช้ผ้าอนามัยหรือผ้าอ้อม
สำเร็จรูปห่อไว้เหมือนกับผู้ป่วยยังมีชีวิตอยู่
(4) ผูกบัตรแข็งประจ าตัวของโรงพยาบาลไว้ที่ข้อมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่ง
ผูกบัตรติดข้อมือศพที่เขียนไว้เรียบร้อย ห่มผ้าคลุมหน้าอกเหมือนคนมีชีวิต และเก็บเครื่องใช้ให้เรียบร้อย
6. ข้อบ่งชี้ และการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของผู้ป่วยถึงแก่กรรม
เมื่อผู้ป่วยถึงแก่กรรม จะมีข้อบ่งชี้และการเปลี่ยนแปลงสรีรวิทยาหลายอย่าง
6.2 Livor mortis
เมื่อการไหลเวียนเลือดหยุด ผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำๆ (Bluish
purple) ตามบริเวณส่วนล่างของร่างกาย เป็นผลจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย และตกตะกอนตาม
แรงดึงดูดของโลก
เช่น
ถ้าตายในท่านอนหงาย บริเวณหลัง แก้มก้น และด้านล่างของแขน ขา จะมีสีเข้มไป
จากเดิม
ยกเว้น บริเวณที่ถูกกดทับจะซีดขาวบริเวณใกล้เคียงและเป็นไปตามรูปของสิ่งที่กดทับอย
รอยเข็มขัด
เสื้อชั้นใน
ล้อรถยนต์
Livor mortis เกิดทุกรายภายหลังตายประมาณ 5 ชั่วโมง
และเกิดเต็มที่หลังตายประมาณ 12 ชั่วโมง และจะคงอยู่ตลอดไปจนกว่าศพจะเน่า
ประโยชน์ของ
Livor mortis
บอกเวลาตาย บอกสภาพเดิมของศพ และบอกสาเหตุการตาย
6.3 Rigor mortis
การแข็งทื่อของร่างกายหลังเสียชีวิต ประมาณ 2-4 ชั่วโมง เกิด
จากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อโครงกระดูก และกล้ามเนื้อเรียบ
เพื่อป้องกันศพผิดรูปร่าง หลังจากผู้ป่วย
เสียชีวิต
พยาบาลจะต้องปิดเปลือกตา ปิดปาก และจัดให้ศพอยู่ในท่าที่เป็นธรรมชาติทันทีเท่าที่จะท าได้
6.1 Algor mortis อุณหภูมิของร่างกายลดลง
ลดลง 1◦C (1.8◦F) ต่อชั่วโมงจนเท่าอุณหภูมิห้อง
เนื่องจากการไหลเวียนเลือดหยุด และ Hypothalamus หยุดทำงาน
5. บทบาทพยาบาลในการจำหน่วยผู้ป่วยโดยใช้หลัก D-METHOD
นอกจากการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อ
ส่งเสริมการปรับตัวของผู้ป่วยเมื่อเข้ามาอยู่โรงพยาบาลดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ต้องมีการวางแผนการ
จำหน่ายผู้ป่วยควบคู่ไปด้วย
เป็นการเตรียมผู้ป่วยให้พร้อมในการดูแลตนเอง
รวมถึงการเตรียมผู้ดูแลและชุมชนให้พร้อมในการดูแล
ช่วยเหลือ เพื่อดูแลการเจ็บป่วยและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องง ในระยะที่มีการเปลี่ยนผ่าน
การดูแลจากหน่วยบริการสุขภาพไปสู่หน่วยบริการสุขภาพอื่นหรือการดูแลตนเองที่บ้าน
ความสำเร็จของ
การวางแผนจำหน่ายไม่ใช่การจำหน่ายผู้ป่วยออกจากสถานบริการได้เร็ว
การมีความพร้อม
ในการเปลี่ยนผ่านการดูแลที่มีผลลัพธ
คุณภาพชีวิตที่ดี การทำงานเป็นทีมของสถานบริการสุขภาพ
ทุกระดับ
ตลอดจนบริบทของผู้ป่วยเป็นปัจจัยที่ส าคัญในการวางแผนจำหน่าย
การวางแผนจำหน่าย (Discharge planning)
เป็นการวางแผนและจัดสรรบริการในการ
ดูแลรักษาผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลต่อเนื่องหลังการจำหน่ายอย่างเป็นระบบ องค์รวม
มีการประสานของ
ทีมสหสาขาวิชาชีพในการสนับสนุนและเสริมพลังผู้ป่วยและครอบครัวเป็นรายกรณ
มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
2) พัฒนาศักยภาพในการดูแลตนเองของผู้ป่วย ครอบครัว
และผู้ดูแล
3) ลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ดูแล
4) ส่งเสริมการใช้แหล่งประโยชน์
ที่จำเป็น
5) ควบคุมค่าใช้จ่ายของสถานพยาบาล
การดูแลอย่างต่อเนื่อง (Continuing care)
เป็นกระบวนการส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยภายหลัง
การจำหน่าย โดยความร่วมมือระหว่างทีมสุขภาพ ผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ดูแล
เริ่มจากการประเมินความ
จำเป็นในการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยตั้งแต่แรกรับ วิเคราะห์ปัญหา ความต้องการการดูแลที่ผู้ป่วยจะต้อง
เผชิญเมื่อกลับบ้าน รวมถึงการประเมินครอบครัวและผู้ดูแล และสภาพแวดล้อมที่บ้าน
เพื่อกำหนด
เป้าหมายในการดูแลร่วมกัน ให้คำแนะนำ ความรู้และฝึกทักษะที่จำเป็นการดูแลผู้ป่วย แก่ผู้ป่วย
ครอบครัว และผู้ดูแล รวมถึงประเมินผลการดูแลของผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ดูแลก่อนการจำหน่าย
การวางแผนการจ าหน่ายผู้ป่วยแบ่งเป็นการวางแผนการจำหน่ายผู้ป่วยตามกระบวนการ
พยาบาล และวางแผนการจ าหน่ายแบบ D-METHOD
D = Diagnosis
ให้ความรู้เรื่องโรคที่เป็นอยู่ เกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การปฏิบัติตัว
ที่ถูกต้อง
M = Medication
ให้ความรู้เกี่ยวกับยาที่ต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องที่บ้าน ชื่อยา
ฤทธิ์ของยา วิธีการใช้ ขนาด จำนวนครั้ง ระยะเวลาที่ใช้ข้อควรระวังในการใช้ยา ผลข้างเคียง
ข้อห้ามส าหรับการใช้ยา และการเก็บรักษายา
E = Environment & Economic
กระตุ้นให้ผู้ป่วย/ ครอบครัว/ ผู้ดูแล เห็นความสำคัญ
ของการใช้สถานบริการสุขภาพในชุมชนการจัดการสิ่งแวดล้อม ที่บ้านให้เหมาะสมกับภาวะสุขภาพ
T = Treatment
แนะนำผู้ป่วย/ ครอบครัว/ ผู้ดูแล ให้เข้าใจเป้าหมายการรักษา แนะนำ
ให้ปฏิบัติกิจกรรมการรักษา
H = Health
ให้ความรู้เกี่ยวกับข้อจำกัดในการทำกิจกรรมให้เหมาะสมกับภาวะสุขภาพ
กระตุ้นให้ผู้ป่วย/ ญาติ
O = Outpatient referral
ชี้แจงให้ผู้ป่วย/ ครอบครัว/ ผู้ดูแล ตระหนักและเข้าใจถึง
ความสำคัญของการมาตรวจตามนัดและอาการผิดปกติที่ต้องมาก่อนนัด
D = Diet
ให้ความรู้เรื่องอาหารเฉพาะโรค หลีกเลี่ยงหรืองดอาหารที่เป็นอันตราย
ต่อสุขภาพ
7. หลักการพยาบาลภายหลังผู้ป่วยถึงแก่กรรมตามประเพณีและศาสนา
7.1 การพยาบาลภายหลังถึงแก่กรรม
เป็นการเตรียมผู้ตายก่อนญาติเข้าไปดูศพ
พยาบาลจะต้องเก็บอุปกรณ์การรักษาทุกชนิด
ออกจากศพ และทำการแต่งศพให้เรียบร้อย
วัตถุประสงค์ และขั้นตอน
1) การแต่งศพ
หมายถึง การดูแลศพให้เรียบร้อยพร้อมเคลื่อนย้ายไปยังห้องศพ
การแต่งศพจะต้องคำนึงถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของผู้ตาย
ต้องศึกษาข้อมูลของผู้ตาย
ข้อปฏิบัติจากญาติและให้ญาติได้มีส่วนร่วมด้วย
2) วัตถุประสงค์ของการแต่งศพ
(1) เตรียมศพให้สะอาด เรียบร้อยพร้อมย้ายไปยังห้องศพ
(2) ดูแลจัดกา รตามข้อกฎหมายกฎระเบียบของโ รงพยาบาลและ
ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมเชื้อชาติ ศาสนาของผู้ตาย
(3) ดูแลจัดเก็บของใช้ ของต้องทิ้งหรือทำลายได้ถูกต้อง
(4) ประสานงานหน่วยงานหรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องได้ถูกต้อง
(5) เขียนบันทึกรายงานที่เกี่ยวข้องได้ถูกต้อง
3) ขั้นตอนการแต่งศพ
(1) อธิบายให้ญาติผู้ป่วยเข้าใจ เมื่อผู้ป่วยเสียชีวิต
ยาบาลมีหน้าที่ดูแลทำ
ความสะอาดร่างกาย และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แก่ศพ
หากญาติมีความประสงค์จะให้ศพแต่งกายหรือประดับ
ตกแต่งศพอย่างไรสามารถแจ้งให้กับเจ้าหน้าที่พยาบาลได้
(2) ล้างมือก่อนจัดเตรียมของใช้
(3) เตรียมอุปกรณ์
ชุดทำความสะอาดร่างกาย , เสื้อผ้าชุดใหม่ , ชุดทำแผล,
ชุดของใช้แต่งศพ , สำลี ก๊อซ, ถุงมือ 1-2 คู่ ,ป้ายผูกข้อมือ
(4) จัดสถานที่และสิ่งแวดล้อม
(5) เก็บอุปกรณ์การรักษาพยาบาลทุกชนิดออกจากศพ
(6) สวมถุงมือ
7) ถ้ามีฟันปลอม ตาปลอมต้องรีบใส่ เพราะหากใส่ช้านานเกินกว่า 2 ชั่วโมง
ขากรรไกร คอคางจะแข็งจะใส่ฟันปลอมยาก
(8) ถ้ามีแผลต้องตกแต่งแผลให้เรียบร้อย
(9) จัดศพให้นอนหงายดูคล้ายคนนอนหลับ
(10) ปิดปากและตาทั้ง 2 ข้างให้สนิท
11) ใช้ส าลีหรือก๊อซอุดอวัยวะต่าง ๆ
(12) เช็ดตัวให้สะอาด ใส่เสื้อผ้าชุดใหม
(13) ผูกป้ายชื่อที่ข้อมือ
14) คลุมผ้าจากปลายเท้าถึงระดับไหล่ เก็บของใช้ต่างๆ ของผู้ป่วยส่งคืน
ให้แก่ญาต
(15) ถอดถุงมือ ล้างมือให้สะอาด เช็ดให้แห้ง
(16) ให้ศพอยู่ในหอผู้ป่วยประมาณ 2 ชั่วโมง จึงเคลื่อนย้ายศพไปห้องเก็บศพ
พร้อมใบส่งศพ
(17) ข้อควรคำนึงในการแต่งศพ
พิจารณา ร่วมกับญาติผู้ป่ วย
เช็ดร่างกายให้สะอาด
เปลี่ยนผ้าใหม่ตามประเพณีของญาติ
หากต้องการแต่งหน้า อย่าแต่งหน้า
ให้เข้มเกินไป
ปัจจุบันไม่ต้อง Pack สำลีในอวัยวะต่างๆ เป็นการปฏิบัติคล้ายดูแลให้นอนหลับสบาย
7.2 การพยาบาลภายหลังผู้ป่วยถึงแก่กรรมตามประเพณี และศาสนาของผู้ป่วย
การปฏิบัติตามหลักศาสนาและประเพณีภายหลังถึงแก่กรรม
คือ การอาบน้ำแต่งตัวศพ
หลังจากตายแล้ว
ทำให้ร่างกายสะอาดและแต่งตัวให้สมฐานะของผู้ตาย
สำหรับศาสนาอิสลาม
ใช้น้ำผสมการบูรหรือใบพุทราอาบน้ำให้ศพ และใช้ผ้ากะพัน
(ผ้าห่อศพ) แทนการสวมเสื้อผ้า
ในส่วนของคนจีน
ใช้น้ำผสมธูป ยอดทับทิมและใบเซียงเช่า เช็ดตัวศพเพื่อให้วิญญาณ
ขึ้นสู่สวรรค
สวมเสื้อผ้าสวยงามพร้อมทั้งหมวกและรองเท้าให้กับผู้ตาย
7.3 หลักปฏิบัติทางกฎหมายและระเบียบของโรงพยาบาล
ถ้าผู้ป่วยถึงแก่กรรมภายหลังที่รับเข้ารักษาในโรงพยาบาล กรณีที่เป็นอุบัติเหตุ ฆาตกรรม
ให้แจ้งนิติเวช เพื่อหาสาเหตุการตาย แพทย์จะเป็นผู้เขียนใบมรณบัตร แล้วญาตินำไปแจ้งที่อำเภอภายใน
24 ชั่วโมง
บางรายแพทย์ต้องการตรวจศพ (Autopsy) จะต้องได้รับอนุญาตจากญาติก่อน
ถ้าผู้ตายเป็นโรคติดต่อ
เช่น อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ
ทางโรงพยาบาลต้องแจ้ง
หน่วยราชการสาธารณสุข และทำความสะอาดห้องและอุปกรณ์ของใช้ตามหลักการควบคุมการติดเชื้อของ
โรงพยาบาลนั้นๆ ในการติดต่อรับศพ
ญาติจะต้องดำเนินการ ดังนี้
3) นำใบมรณะบัตรไปแจ้งที่วัดเพื่อเผาศพ
4) ในกรณีขอเคลื่อนย้ายศพออกจากเขตหรือข้ามจังหวัด ให้นำใบมรณะบัตรไป
แจ้งเทศบาลหรือที่ว่าการเขต
2) นำใบรายงานของแพทย์ไปแจ้งเทศบาลหรือที่ว่าการเขตท้องถิ่นที่ที่บ้านตั้งอยู่
เพื่อแก้ไขทะเบียนบ้านภายใน 24 ชั่วโมง และขอใบมรณะบัตร
5) ผู้ตายไม่สามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้อีกต่อไป
1) นำหลักฐานต่างๆ
เช่น บัตรประชาชน บัตรข้าราชการ สำเนาทะเบียนบ้านของ
ผู้ตาย เป็นต้น มายื่นให้กับเจ้าหน้าที่ในหอผู้ป่วย
🌈👩⚕️🌍✨
จัดทำโดย นางสาวพลินี จำปา 19A 6201210378
💕🙃😍😘