Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Systemic drugs for systemic infections (ยาต้านเชื้อราในร่างกาย) - Coggle…
Systemic drugs for systemic infections
(ยาต้านเชื้อราในร่างกาย)
Ketoconazole/คีโตนาโซล
กลไกการออกฤทธิ์
คีโตโคนาโซล เป็นยากลุ่มยาต้านเชื้อรา ออกฤทธิ์รบกวนกระบวนการชีวสังเคราะห์ของไตรกลีเซอไรด์ และฟอสโฟลิพิด โดยยับยั้งเอนไซม์ CYPP450 ของเชื้อรา เป็นการรบกวนกระบวนการเลือกผ่านของเชื้อรา นอกจากนี้คีโตโคนาโซยังยับยั้งเอนไซม์ชนิดอื่นของเชื้อรา
เป็นผลให้เกิดการสะสมของไฮโรเจนพอร์ออกไซด์ (hydrogen peroxide) ที่เป็นพิษ
ข้อบ่งใช้
Ketoconazole เป็นยา azole มีแนวโน้มยับยั้งเอนไซม์ cytochrome P 450 ของมนุษย์ได้มาก ซึ่งการยับยั้งเอนไซม์นี้ทำให้เกิดผล 2 ประการ
ยับยั้งการสังเคราะห์สเตียรอยด์ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต
รังไข่และอัณฑะ ซึ่งทำให้เกิด gynecomastia ในเพศชาย และ infertility
ยับยั้งเอนไซม์ที่จะเปลี่ยนแปลงยาหรือทำลายยา ทำให้ยาถูกเปลี่ยนได้น้อยลง
และก่อให้เกิดพิษจากยา เช่น ยา cisapride เมื่อให้ร่วมกับ ketoconazole
Ketoconazole ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อราชนิด edemic mycoses เช่น blastomycosis, coccidioidomycosis และ histoplasmosis โดยให้ใช้เป็นยาทางเลือกเมื่อไม่สามารถใช้ยาอื่นที่ปลอดภัยกว่าได้
ผลข้างเคียง
การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตไม่เพียงพอ รบกวนระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
เกิดผื่นแดง ระคายเคืองผิวหนัง ผิวหนังอักเสบ รู้สึกแสบร้อน เกิดผื่นคัน ผื่นลมพิษ เกิดอาการบวม การแพ้ยาแบบ anaphylaxis ปวดศีรษะ มึนงง ง่วงนอน เป็นไข้ เกร็ดเลือดต่ำ ป
ประจำเดือนมาไม่ปกติ กดการทำงานของต่อมหมวกไต เต้านมโตในเพศชาย เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เพิ่มความดันในกะโหลก ไวต่อแสง ค่าการทำงานของตับเพิ่มขึ้น
อาการที่ไม่พึงประสงค์รุนแรง ได้แก่ การเกิดพิษต่อตับ
ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ
ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่ใช้ยาที่เป็นสารตั้งต้นของเอนไซม์ CYP3A4 เช่นยากลุ่ม เอช เอ็ม จี-โคเอ รีดักเทส อินฮิบิเตอร์ (HMG-CoA reductase inhibitor)
ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้
คำแนะนำ
การทาครีมที่มีตัวยาคีโตโคนาโซล ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันนาน 2-3 สัปดาห์ หรือทาจนกว่าจะหาย อาจทาต่อไปอีก 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
การใช้แชมพูที่มีตัวยาคีโตโคนาโซล สระสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ติดต่อกันนาน 2-4 สัปดาห์
การกินยาคีโตโคนาโซลเพื่อรักษาเชื้อรา ขนาดยาโดยส่วนใหญ่ คือ กินขนาด 200 มิลลิกรัม
วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันนาน 2-3 สัปดาห์ หลังอาหารทันทีหรือพร้อมอาหาร เนื่องจากตัวยาจะทำงานได้ดีในสภาวะเป็นกรด ในผู้ป่วยที่มีการกินยาลดกรดต้องเว้นเวลา 2 ชั่วโมง แล้วค่อยกินยาคีโตโคนาโซล
การใช้ยากินและยาทาร่วมกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาแต่ไม่ได้ช่วยลดระยะเวลาในการรักษา
การกินยาคีโตโคนาโซลต้องกินต่อเนื่องจนหมดตามแพทย์สั่ง ถึงแม้จะไม่มีอาการคันแล้วก็ตาม เนื่องจากเชื้อราอาจยังตายไม่หมด
หากมีการติดเชื้อในแผลที่ลึก ยากินรักษาได้ดีกว่ายาทา ส่วนการติดเชื้อบริเวณผิวหนังที่ไม่ลึก การใช้ยาทาค่อนข้างเหมาะสมกับการรักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ในการรักษา
Fluconazole/ฟลูโคนาโซล
ข้อบ่งใช้
ละลายน้ำได้ดีและผ่าน CSF ได้ดี ดูดซึมดีเมื่อให้แบบรับประทาน และสามารถให้ทางการฉีดเข้าเส้นเลือดดำได้ Fluconazole เป็นยาที่มีผล ข้างเคียงน้อยกว่ายาตัวอื่นๆ รบกวนเอนไซม์น้อยที่สุด มีพิษต่อตับน้อยที่สุด และมีปฏิกิริยาระหว่างยาน้อยกว่า ketoconazole ยานี้ใช้รักษา cryptococcal meningitis, candidiaemia ในผู้ป่วย ICU เป็นต้น
ข้อห้ามใช้
หลีกเลี่ยงในการใช้ยากับผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ หรือสตรีให้นมบุตร
ผู้ที่มีประวัติแพ้ยานี้ห้ามใช้ยาดังกล่าวโดยเด็ดขาด
กลไกการออกฤทธิ์
ฟลูโคนาโซล เป็นยากลุ่มยาต้านแบคทีเรีย ออกฤทธิ์รบกวนกระบวนการชีวสังเคราะห์ของไตรกลีเซอไรด์ และฟอสโฟลิพิด โดยยับยั้งเอนไซม์ CYPP450 ของเชื้อรา เป็นการรบกวนกระบวนการก่อตัวของเยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อรา
คำแนะนำ
ยา Fluconazole เป็นยาที่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น
การใช้ยาชนิดรับประทาน สามารถรับประทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ และควรรับประทานห่างจากยาลดกรดอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
ในการรับประทานยา Fluconazole แม้จะหายแล้วก็ควรรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง และควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้ยาสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรรับประทานยาให้ตรงเวลา และเป็นเวลาเดียวกันในทุก ๆ วัน หากลืมรับประทานยา ควรรีบรับประทานยาให้เร็วที่สุด แต่ถ้าหากใกล้ถึงเวลาที่จะรับประทานครั้งต่อไปแล้ว ควรรอให้ถึงเวลาแล้วค่อยรับประทาน ไม่ควรเพิ่มขนาดของยาหากลืมรับประทานยา
ผลข้างเคียง
มีไข้ต่ำๆร่วมกับ คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะสีเข้ม อุจาระสีซีด
ไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อตามตัว เหมือนอาการไข้หวัดใหญ่
มีอาการของแพ้ยา เช่น มีผื่นขึ้น แน่นหน้าอก หน้าบวม หนังตา ริมฝีปากบวม
มีผื่นแดงตามตัว บ่งคนผิวหนังลอก
มีจ้ำเลือด และเลือดออกง่าย
มีอาการชัก
แน่นท้อง คลื่นใส้ อาเจียน
ปวดศีรษะ
มึนงง
Voriconazole/โวริโคนาโซล
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการสังเคราะห์ ergosterol ของเชื้อรา ยานี้ถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับ โดย CYP450,CYP2C19, CYP2C9, CYP3A4 ดังนั้นต้องระวังยาที่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยเอนไซม์เหล่านี้
ข้อห้ามใช้
ผู้ที่กำลังใช้ยาอื่นอยู่ รวมทั้งยาที่ซื้อได้เอง เช่น สมุนไพรหรือยาทางเลือกอื่นๆ
ผู้ที่มีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ยานี้อาจทำให้เกิดการเสียชีวิตแบบเฉียบพลัน
ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
ผลข้างเคียง
เป็นไข้หรือหนาวสั่น
ปวดกระดูก
สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ไม่สามารถปัสสาวะได้
ปริมาณปัสสาวะเปลี่ยนแปลง มีเลือดในปัสสาวะ หรือน้ำหนักขึ้นอย่างมาก
สัญญาณของของปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อน เช่น โรคตับอ่อนอักเสบ (pancreatitis) อย่างอาการ
ปวดกระเพาะอาหารอย่างรุนแรง ปวดหลังอย่างรุนแรง หรือท้องไส้ปั่นป่วนอย่างรุนแรงหรืออาเจียน
หัวใจเต้นผิดปกติ
สัญญาณของอาการแพ้ ได้แก่ ผดผื่น ลมพิษ อาการคัน รอยแดง อาการบวม แผลพุพอง หรือผิวหนังลอก โดยมีหรือไม่มีไข้ หายใจมีเสียงหวีด แน่นหน้าอกหรือลำคอ หายใจติดขัด หรือมีปัญหากับการพูด
เสียงแหบผิดปกติ หรือมีอาการบวมที่ปาก ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ
วิงเวียนอย่างรุนแรงหรือหมดสติ
ปวดหน้าอก มีแรงดัน หรือหัวใจเต้นเร็ว
ข้อบ่งใช้
ยาโวริโคนาโซล (Voriconazole) เป็นยาต้านเชื้อรากลุ่มไตรอะโซล (triazole) มักใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อรา เช่น การติดเชื้อราแคนดิดาแบบลุกลาม (invasive candidiasis) การติดเชื้อ
แอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม (invasive aspergillosis) และการติดเชื้อรารุนแรงอื่นๆ
ยานี้มักจะใช้กับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
คำแนะนำ
หากลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยาเอง
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
หลีกเลี่ยงในการขับรถหรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัวหรือการมองเห็นที่ชัดเจนเพราะยาทำให้ง่วงนอน
itraconazole/ไอทราโคนาโซล
ข้อบ่งใช้
Itraconazole มีทั้งรูปแบบรับประทานและแบบยาฉีดทางเส้นเลือดดำ ดูดซึมดีในภาวะที่เป็นกรดและให้พร้อมอาหารจะช่วยเพิ่มการดูดซึมได้ดี ยาเข้าสู่ CSF ได้ไม่ดี ยานี้รบกวนเอนไซม์ที่ตับน้อยกว่า ketoconazole และ itraconazole ไม่มีผลต่อการสังเคราะห์สเตียรอยด์ฮอร์โมน และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงยาต่างๆน้อยกว่า ketoconazole
ข้อห้ามใช้
มีอาการไตวายหรือมีปัญหารุนแรงเกี่ยวกับไต
เป็นโรคตับ โรคปอดหรือโรคระบบทางเดินหายใจ
ตั้งครรภ์ มีแนวโน้มจะตั้งครรภ์หรือต้องให้นมบุตร
เป็นโรคหัวใจ รวมไปถึงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันหรือหัวใจล้มเหลว หรือมีประวัติอัตราการเต้นของหัวใจไม่ปกติ
ผู้ที่แพ้ยา Itraconazole หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ในตัวยา
ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ระบบภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงหรือมีปัญหาเกี่ยวกับปอดหรือการหายใจ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD)
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา
ผลข้างเคียงทั่วไปจากตัวยา เช่น กระหายน้ำ ปากแห้ง มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน
อาการอื่น ๆ
ไม่อยากอาหาร อารมณ์เปลี่ยนปัสสาวะน้อยครั้ง หายใจลำบาก ริมฝีปาก มือหรือเท้าเป็นเหน็บและมีอาการชา เจ็บหรือเกร็งกล้ามเนื้อ การเต้นหัวใจผิดปกติ ชัก หมดแรงหรืออ่อนเพลีย
กลไกการออกฤทธิ์
itraconazole ออกฤทธิ์เหมือน imidazoles คือ กดการสร้าง ergosterol โดยยับยั้ง 14α-demethylase เกิดการสะสมของ 14α-methylsterols ทำให้เกิดความผิดปกติ ของโครงสร้างและการทำงานของ membrane เชื้อราหยุดเจริญเติบโต
คำแนะนำ
ควรกินทั้งแคปซูลหรือเม็ด ไม่ควรเปิด เคี้ยวหรือบดยา
การกินยาเวลาเดิมทุกวันช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น
ยานี้ทำให้ง่วงนอนควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องจักรหรือการขับรถขณะใช้ยา Itraconazole เพราะอาจทำให้มีอาการเวียนศีรษะ หรือมีปัญหากับการมองเห็น เช่น ภาพไม่ชัดหรือภาพซ้อน
ควรกินยาตามแพทย์สั่งให้ครบ เพื่อรักษาการติดเชื้อให้หายขาดและป้องกันการเป็นซ้ำ
รับประทานยาติดต่อกันจนหมด ถึงแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตามแต่อาจยังไม่หายขาด การหยุดยาก่อนอาจทำให้เชื้อกำเริบได้ ควรพบแพทย์ตามนัด เพื่อประเมินผลการรักษา
หากลืมกินยา ควรรีบกินยาทันทีที่รู้ตัว แต่หากใกล้จะถึงเวลากินยาครั้งต่อไปแล้ว ให้ข้ามยาที่ลืมกินนั้นไป และห้ามเพิ่มปริมาณยาที่จะกินในครั้งต่อไป