Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Systemic drugs for systemic infections (ยาต้านเชื้อราในร่างกาย) - Coggle…
Systemic drugs for systemic infections
(ยาต้านเชื้อราในร่างกาย)
Amphotericin B/แอมโฟเทอริซิน บี
กลไกลการออกฤทธิ์
เซลล์เมมเบรนของเชื้อรามีคุณสมบัติ ประกอบด้วย sterol ชนิด “Ergosterol” ซึ่งยาออกฤทธิ์ไปจับกับ ergosterol และเปลี่ยน permeability ของเซลล์เมมเบรน โดยที่ amphotericin B จะทำให้เกิดรู (pore) ที่เซลล์เมมเบรนจึงทำให้สารไหลออกนอกเซลล์ และทำให้เซลล์ตายได้ในที่สุด
ข้อบ่งใช้
ปัจจุบัน Amphotericin B เป็น local administration เช่น topical drops
รักษาตาอักเสบจากเชื้อรา ชนิดฉีดเข้าข้อโดยตรง ชนิดครีม โลชั่น
ยานี้เป็น drug of choice ในการรักษาการติดเชื้อราในร่างกายที่รุนแรง เช่นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา ปอดอักเสบจากเชื้อรา เนื่องจากยาสามารถฆ่าเชื้อได้หลายชนิด โดยให้ทาง IV infusion และตามด้วยยากลุ่ม azole drugs
Amphotericin B เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ครอบคลุมและกว้างมากที่สุด
ผลข้างเคียง
Infusion related toxicity ยา Infusion เข้าสู่เส้นเลือดดำ ได้แก่ fever, chills, muscle spasms, vomiting, headache, hypotension แก้ไขโดย Infusion ขนาดยาให้ลดลง
Slower toxicity อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดช้า และเกิดโดยตรง คือ nephrotoxicity หากให้ยานานจะเกิดการทำลายไต ผู้ป่วยมี potassium และ magnesium ต่ำ อาจพบตับวายได้ และการให้ยาทาง intrathecal ทำให้เกิด seizure ได้
ข้อห้ามใช้
ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือวางแผนมีบุตรห้ามใช้
ห้ามใช้ในผู้ที่ให้นมบุตร
ห้ามเริ่มใช้ยา หยุดยา หรือเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ยาด้วยตนเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
คำแนะนำในการใช้ยา
ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดอาการข้างเคียงภายใน 2-3 ชั่วโมง หลังจากเริ่มใช้ยา
หากพบว่ามีอาการที่รุนแรงต้องรีบแจ้งให้แพทย์ทราบ
ระหว่างที่ใช้ยานี้ ผู้ป่วยต้องเข้ารับการตรวจเลือดตามที่แพทย์สั่ง
ในระหว่างที่ใช้ยานี้ อาจทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับไต
และโดยส่วนใหญ่อาการจะหายไปเมื่อหยุดใช้ยา แต่หากอาการยังคงอยู่ ควรไปปรึกษาแพทย์
Flucytocine/ฟลูไซโทซีน (5-FC)
กลไกการออกฤทธิ์
เมื่อเข้าสู่เซลล์แล้ว ยาจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็น 5-FU และจะถูกเปลี่ยนแปลงต่อให้อยู่ในรูปของ active form มีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์ DNA และ RNA
ข้อบ่งใช้
มักจะใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อราที่รุนแรงภายในร่างกาย ยานี้อยู่ในกลุ่มของยาต้านเชื้อรา (Antifungal Drugs) มักจะใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น combination ของ 5-FC กับ amphotericin B สำหรับ cryptococcal meningitis หรือ combination ของ 5-FC กับ itraconazole
สำหรับ chromoblastomycosis ยานี้ทำงานโดยการชะลอการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิด
ผลข้างเคียง
มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
ผื่นแพ้
กดไขกระดูก
ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์เพราะอาจทำให้ทารกพิการได้
หากให้นมบุตรไม่ควรใช้ยานี้เพราะยาอาจสามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้
คำแนะนำในการใช้ยา
หากลืมรับประทานยาให้รับประทานทันที หรือข้ามมื้อนั้นไปเมื่อใกล้ได้เวลารับประทานยา
ครั้งต่อไปแล้ว ห้ามเพิ่มปริมาณยาทดแทน
ยาฟลูออกซิทีนอาจใช้เวลา 4-6 สัปดาห์ อาการจึงจะดีขึ้น ให้รับประทานยาต่อไปให้ครบตามกำหนด หากอาการไม่ดีขึ้นต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ
รับประทานด้วยการกลืนยาลงไปทั้งเม็ด อย่าเคี้ยว กัด หรือทำให้แคปซูลแตกออกก่อน
พยายามไปพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อตรวจดูความคืบหน้าของการรักษา
รับประทานยานี้ โดยปกติคือวันละ 4 ครั้ง (ทุกๆ 6 ชั่วโมง) หรือตามที่แพทย์กำหนด เพื่อไม่ให้เกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน
Azoles/เอโซล
กลไกการออกฤทธิ์
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้ง Fungal cytochrome P 450 enzyme ซี่งจะทำให้เกิดการลดลงของการสังเคราะห์ ergosterol ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเซลล์เมมเบรนของเชื้อรา ยามีความชอบต่อ fungal enzyme มากกว่า human enzyme
แต่ imidazole มีความจำเพาะเจาะจงต่อ fungal enzyme น้อยกว่าจึงมีโอกาสที่จะยับยั้ง human enzyme และก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้มากกว่า
ข้อบ่งใช้
ยาในกลุ่มนี้ค่อนข้างมีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อราที่กว้างมีผลต่อทั้ง Candida speices, Cryptococus neoformans, Blastomycosis, Coccidioidomycosis, Histoplasmosis, Dermatophytes (ก่อโรคเชื้อราที่ผิวหนัง) รวมทั้ง Aspergillus
ผลข้างเคียง
Azole drugs โดยมากจะไม่ก่อให้เกิดพิษที่พบ ได้แก่ Gl effects เช่น abnormal Liver enzyme แต่อาจพบว่าทำให้เกิดความเป็นพิษต่อตับได้ ค่าเอนไซม์ตับจะสูงขึ้น อาจทำให้เกิด hepatitis ได้
ข้อห้ามใช้
ไม่ควรใช้ยาฟลูโคนาโซลร่วมกับยาดังต่อไปนี้ cisapride (Propulsid)
หรือ terfenadine (Seldane) เพราะจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในสตรีมีครรภ์เพราะจากการศึกษาหาก
ได้ยาในขนาดสูงอาจเป็นอันตรายต่อมารดาและตัวอ่อนในครรภ์
ห้ามใช้ยาชนิดเม็ดในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ
คำแนะนำ
การใช้ยาต้านเชื้อราอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และไม่สบายท้องได้ แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที เพื่อลดอาการข้างเคียงดังกล่าว
ผู้ที่มีภาวะโรคตับ ควรระมัดระวังการใช้ยาต้านเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยากลุ่ม Azoles หากจำเป็นต้องใช้ควรปรึกษาแพทย์ และตรวจประเมินตับเป็นประจำหากต้องใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากยามีผลเพิ่มการทำงานของตับ อาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้