Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 10 การส่งเสริมการขับถ่ายอุจจาระ - Coggle Diagram
บทที่ 10 การส่งเสริมการขับถ่ายอุจจาระ
[2]ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการขับถ่ายอุจจาระ
2.6) ความสม่ำเสมอในการขับถ่าย (Defecation habits )
2.2) ชนิดของอาหารที่รับประทาน (Food intake)
2.3) ปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ (Fluid intake)
2.1) อายุ (Age)
2.4) การเคลื่อนไหวของร่างกาย (Body movement)
2.5) อารมณ์ (Emotion)
2.7) ความเหมาะสม (Opportunity)
2.8) ยา (Medication)
2.9) การตั้งครรภ์ (Pregnancy)
2.10) อาการปวด (Pain)
2.11) การผ่าตัดและการดมยาสลบ (Surgery and Anesthesia)
2.12) การตรวจวินิจฉัยโรค (Diagnostic test)
[1]ความสำคัญของการขับถ่ายอุจจาระ
เป็นการขับของเสียออกจากร่างกาย หากร่างกายไม่ขับถ่ายอาจทำให้เกิดสารพิษและของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้
ถ้าร่างกายมีการสะสมของเสียตกค้างเป็นเวลานานนั้น ย่อมมีโอกาสในการได้รับสารพิษกลับเข้าไปในร่างกาย
การขับถ่ายอุจจาระเป็นทั้งการนำสารพิษและของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ออกไป
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวันก็ช่วยในการขับถ่าย
[4] สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหา
การขับถ่ายอุจจาระ
(4.1) ภาวะท้องผูก (Constipation)
1.สาเหตุ
2)ภาวะท้องผูกแบบทุติยภูมิ อาจเกิดจากความเจ็บป่วยหรือการรักษาด้วยยา
1)ภาวะท้องผูกแบบปฐมภูมิ เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย และภาวะขาดน้ำ
ผลที่เกิดจากภาวะท้องผูก
2)เกิดอาการปากแตก ลิ้นแตก ลมหายใจเหม็น อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
3)เป็นโรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoid) เกิดจากอุจจาระที่แห้งแข็ง กดหลอดเลือดดำรอบๆทวารหนัก
1)เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืด ปวดท้อง ไม่สุขสบายเบื่ออาหาร
4)ผู้ป่วยมีอาการทางสมอง ได้แก่สับสน ซึม และโคม่า ซึ่งเป็นผลจากภาวะตับวาย
5)ถ้าทิ้งไว้นานอุจจาระอาจอัดกันเป็นก้อนแข็ง หรือผนังลำไส้หย่อนตัว
6)เกิดอาการกลั้นอุจจาระไม่ได้ เนื่องจากก้อนอุจจาระไปกดปลายประสาทของกล้ามเนื้อหูรูด
ที่ควบคุมการขับถ่ายสูญเสียหน้าที่
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะท้องผูก
2) แนะนำและกระตุ้นให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีเส้นใยและกากมาก ๆ
3) แนะนำ กระตุ้น และช่วยให้ผู้ป่วยได้รับน้าให้เพียงพอ ควรดื่มน้าอย่างน้อยวันละ 2,000–2,500 cc.
1) แนะนำให้ความรู้และเน้นการดูแลสุขภาพส่วนบุคคล
4) แนะนำและช่วยเหลือเกี่ยวกับการถ่ายอุจจาระ และควรฝึกระบบขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา
6) แนะนำให้ออกกาลังกาย เพราะมีผลต่อการบีบตัวของ ลำไส้ช่วยให้การถ่ายอุจจาระเป็นปกติ
5) จัดสรรเวลาในตอนเช้าเพื่อฝึกให้เคยชินกับการถ่ายอุจจาระตรงเวลาทุกวัน
7) แนะนำสมุนไพรซึ่งเป็นอาหารหรือนำมาปรุงอาหารจะช่วยการขับถ่ายอุจจาระ
ใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ
(4.2) การอัดแน่นของอุจจาระ
(Fecal impaction)
1.อาการเริ่มแรก คือ ไม่ได้ถ่ายอุจจาระติดต่อกันนานแล้ว พบอุจจาระเป็นน้ำเหลวไหวซึมทางทวารหนักทีละเล็กละน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
2.เป้าหมายสำคัญของการพยาบาล คือ การช่วยเหลือเอาก้อนอุจจาระออกจากร่างกาย โดยการล้วงอุจจาระ หรือ การใช้ยาระบาย หรือ การสวนอุจจาระ
การล้วงอุจจาระ (Evacuation) คือ การล้วงอุจจาระออกโดยตรง
เป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยในกรณีที่ผู้ป่วยถ่ายอุจจาระออกเองไม่ได้
(4.3) ภาวะท้องอืด
(Flatulence หรือ Abdominal distention)
1.สาเหตุ
2) มีแก๊สในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ปริมาณมาก
3) มีการสะสมของอุจจาระมาก เนื่องจากไม่ได้ขับถ่ายออกตามปกติ
1) มีการสะสมของอาหารหรือน้ำมาก อาหารไม่ย่อย
4) ปริมาตรของช่องท้องลดลงจากความผิดปกติของอวัยวะที่อยู่ใกล้เคียง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะท้องอืด
2) อธิบายสาเหตุและวิธีการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดอาการท้องอืด
3) ค้นหาสาเหตุของอาการท้องอืดและให้การช่วยเหลือตามสาเหตุ
1) จัดท่านอน ให้นอนศีรษะสูง 45-60 องศา เพื่อให้กระบังลมหย่อยตัว ปอดขยายตัวได้ดีขึ้น
(4.4) การกลั้นอุจจาระไม่ได้
(Fecal incontinence)
1.ผลของการกลั้นอุจจาระไม่ได้
2) ผลด้านจิตใจ - เกิดการสูญเสียความรู้สึกมีคุณค่าและความนับถือต่อตนเอง
3) ผลด้านสังคม - การกลั้นอุจจาระไม่ได้ เป็นเรื่องน่าอับอายส่งผลให้ไม่ต้องการออกสังคม
1) ผลด้านร่างกาย - ทาให้มีอุจจาระไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
4) ผลด้านจิตวิญญาณ - ความรู้สึกเสียคุณค่าในตนเองลดลง และขาดการแสดงออกถึงความต้องการการมีส่วนร่วม
การพยาบาลผู้ป่วยที่กลั้นอุจจาระไม่ได้
1) ด้านร่างกาย
(2) การควบคุมการขับถ่ายอุจจาระโดยใช้วิธีการฝึกถ่ายอุจจาระเป็นเวลา
(3) ให้การดูแลผิวหนังให้สะอาด และแห้งตลอดเวลา
(1) ความสะอาดทั่วไปของร่างกาย
(4) ดูแลเสื้อผ้า ที่นอน ให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ
(5) รักษาสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการเกิดโรคหวัด
2) ด้านจิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ
การดูแลเรื่องจิตใจเป็นสิ่งสาคัญ เพราะอาจส่งผลให้เกิดภาวะเก็บกด
การให้กำลังใจ และสร้างเสริมกาลังใจกับผู้ป่วยให้สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
(4.5) ภาวะท้องเสีย (Diarrhea)
1.สาเหตุของภาวะท้องเสีย
2) จากการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ และอารมณ์
3) การได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะและมีอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
1) จากอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม
2.ผลที่เกิดจากภาวะท้องเสีย
1) เกิดภาวะเสียสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย
2) เกิดความไม่สุขสบาย ปวดท้อง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะท้องเสีย
1) ประเมินสภาพผู้ป่วย
3) การดูแลเรื่องอาหาร ในระยะแรกมักให้งดอาหารและน้ำทางปาก (NPO)
2) ให้การช่วยเหลือดูแลในการขับถ่ายอุจจาระที่มีจำนวนครั้งค่อนข้างบ่อย
4) ติดตาม เฝ้าระวัง ป้องกัน และช่วยแก้ไขอาการขาดน้ำและเกลือแร่
5) สังเกตความผิดปกติอื่น ๆ ที่เกิดร่วมด้วย
6) สังเกตและบันทึกลักษณะอุจจาระ ความถี่ของการถ่ายอุจจาระ
7) ส่งเสริมการพักผ่อนนอนหลับ ให้การพยาบาลตามความจาเป็นและเหมาะสม
8) การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ หรือการกลับซ้าเป็นอีก
[3] ลักษณะของอุจจาระ
Type 1 Separate hard lumps, like nuts - ลักษณะแข็งคล้ายเมล็ดถั่ว คนไทยเรียกว่า “ขี้แพะ”
Type 2 Sausage shaped but lumpy - ลักษณะยาวแต่เป็นก้อน
Type 3 Like a sausage but with cracks on surface - ลักษณะยาวหรือขดม้วน แต่พื้นผิวบนนุ่มๆ
Type 4 Like a sausage or snake, smooth and soft - ลักษณะยาวหรือขดม้วน เรียบ และนุ่ม
Type 5 Soft blobs with clear-cut edges- ลักษณะเป็นก้อนนุ่ม ๆ แยกออกจากันชัดเจน
Type 6 Fluffy pieces with ragged edges, a mushy stool - ลักษณะเป็นก้อนนุ่มปุย มีขอบขยักไม่เรียบ
Type 7 Watery, no solid pieces (entirely liquid) - ลักษณะเป็นน้าไม่มีเนื้ออุจจาระปน
[5] การสวนอุจจาระ
(5.1) วัตถุประสงค์
3) เตรียมผ่าตัดในรายที่ผู้ป่วยจะต้องดมยาสลบ
4) เตรียมคลอด
2) เตรียมตรวจทางรังสี
5) เพื่อการรักษา เช่น การระบายพิษจากแอมโมเนียคั่งในกระแสเลือด
ในผู้ป่วยโรคตับ เป็นต้น
1) ลดปัญหาอาการท้องผูก
(5.2) ชนิดของการสวนอุจจาระ
1.Cleansing enema เป็นการสวนน้ำเข้าไปในลำไส้ใหญ่เพื่อกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวของลำไส้
2.Retention enema การสวนเก็บ เป็นการสวนน้ำยาเข้าไปเก็บไว้ในลำไส้ใหญ่ในผู้ใหญ่ไม่เกิน 200 ml.
[6] ข้อคำนึงในการสวนอุจจาระ
1) อุณหภูมิของสารน้ำ อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 40.5 ˚C
2) ปริมาณสารละลายใช้สวนอุจจาระ
เด็กอายุ 10 เดือน ถึง 10 ปี ใช้ในปริมาณ 250-500 ml.
เด็กอายุ 10–14 ปี ใช้ในปริมาณ 500–750 ml.
เด็กเล็ก ใช้ในปริมาณ 150–250 ml.
ผู้ใหญ่ ใช้ในปริมาณ 750–1,000 ml.
3) ท่านอนของผู้ป่วย ท่านอนตะแคงซ้ายกึ่งคว่ำ (Sim’s position) ให้เข่าขวา งอขึ้นมาก ๆ
4) แรงดันของสารน้ำที่สวนให้แก่ผู้ป่วย
5) การปล่อยน้ำ เปิด Clamp ให้น้ำไหลช้า ๆ ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที
6) ความลึกของสายสวนที่สอดเข้าไปในลำไส้ และลักษณะของสายสวนอุจจาระ การสอดสายสวนเข้าทวารหนัก สอดลึก 2-4 นิ้ว
7) การหล่อลื่นหัวสวนด้วยสารหล่อลื่น เช่น KY jelly เป็นต้น
8) ทิศทางการสอดหัวสวน ให้ปลายหัวสวนมุ่งไปทิศทางสะดือลึกประมาณ 2 นิ้ว
9) ควรให้ผู้ป่วยหายใจทางปากยาว ๆ เพื่อผ่อนคลายและกลั้นอุจจาระต่อไปอีก 5–10 นาที
หรือเท่าที่จะทนได้เพื่อให้อุจจาระอ่อนตัวลง
ข้อห้ามในการสวนอุจจาระ
2) มีการอักเสบของลำไส้ เช่น ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
3) มีการติดเชื้อในช่องท้อง (Infection of abdomen)
1) ลำไส้อุดตัน (Bowel obstruction)
4) ผู้ป่วยภายหลังผ่าตัดลeไส้ส่วนปลาย (Post rectal surgery)
[7] การเก็บอุจจาระส่งตรวจ
(7.1) ชนิดการเก็บอุจจาระส่งตรวจ
1) การตรวจอุจจาระหาความผิดปกติ (Fecal examination หรือ Stool examination)
2) การตรวจอุจจาระหาเลือดแฝง (Occult blood) ตรวจในรายที่สงสัยว่า มีเลือดแฝงในอุจจาระ
3) การตรวจอุจจาระโดยการเพาะเชื้อ (Stool culture) เพื่อนำไปเพาะเชื้อ เลี้ยงเชื้อแบคทีเรียและ
ดูความไวต่อยาของเชื้อที่เพาะได้
(7.3) วิธีปฏิบัติ
2) การเก็บอุจจาระส่งตรวจเพาะเชื้อ มีวิธีการปฏิบัติ
(2)ส่งห้องปฏิบัติการทันทีภายใน 30 นาที พร้อมใบส่งตรวจ
(3)ลงบันทึกทางการพยาบาล ลักษณะ สี กลิ่น สิ่งเจือปน
(1)ให้ผู้ป่วยเบ่งถ่ายเล็กน้อย ใช้ไม้พันสาลีใส่เข้าไปในรูทวาร 1-2 นิ้ว แล้วจุ่ม
ไม้พันสาลีลงในอาหารเลี้ยงเชื้อ ปิดฝาทันที
1) การเก็บอุจจาระส่งตรวจหาความผิดปกติ และส่งตรวจหาเลือดแฝง
(1) อธิบายให้ผู้ป่วยทราบ และเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ในการเก็บอุจจาระส่งตรวจ
(2) ให้ผู้ป่วยถ่ายอุจจาระลงในหม้อนอนที่สะอาดและแห้ง ใช้ไม้แบนเขี่ย
อุจจาระจานวนเล็กน้อยใส่ภาชนะ รีบปิดภาชนะทันที และใส่ถุงพลาสติกหุ้มอีกชั้น
(3) ส่งห้องปฏิบัติการทันทีภายใน 30 นาที พร้อมใบส่งตรวจ
(4) ลงบันทึกทางการพยาบาล ลักษณะ สี กลิ่น สิ่งเจือปน