Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
1. ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
อายุ หรือพัฒนาการในวัยต่างๆ (Developmental growth)
วัยเด็ก กระเพาะปัสสาวะจะมีความจุน้อย การขับถ่ายปัสสาวะจึงบ่อยครั้งกว่าผู้ใหญ่
ผู้สูงอายุ จากการเปลี่ยนแปลงตามวัย กระเพาะปัสสาวะก็จะบีบตัวทำให้รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะและทำบ่อยครั้งขึ้น
น้ำและสารอาหาร (Food and fluid)
จำนวนน้ำที่ร่างกายได้รับ (fluid intake)
จำนวนน้ำที่ร่างกายสูญเสีย (Loss of body fluid)
อาหารที่ร่างกายได้รับ (food intake)
ยา (Medication) เช่น ยาที่ขับออกทางระบบปัสสาวะส่งผลให้สีของน้ำปัสสาวะเปลี่ยนแปลง
ด้านจิตสังคม (Psychosocial factors) เช่น ความเครียดและความวิตกกังวลกระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น
สังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factor) เช่น วัฒนธรรมที่ถือความเป็นส่วนตัวสูง
ลักษณะท่าทาง (Body position)
กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Activity and Muscle tone)
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะไว้เป็นเวลานาน ทำให้กระเพาะปัสสาวะไม่มีโอกาสยืดขยาย
สตรีในภาวะหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง
ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนานๆ ทำให้ความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะลดลง
พยาธิสภาพ (Pathologic conditions) เช่น นิ่ว ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะหัวใจล้มเหลว
การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่าง (Surical and diagnostic procedure)
2. แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
1. แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ
อยากถ่ายปัสสาวะเมื่อมีปริมาณปัสสาวะอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ 100-400 มล
กรณีอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ทัน ต้องสามารถกลั้นได้
เวลาที่ใช้ในการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน 30 วินาที
ตลอดการถ่ายปัสสาวะจะไม่มีอาการเจ็บปวด
ลำปัสสาวะช่วงแรกจะพุ่งแรงและใหญ่กว่าตอนสุด
ปัสสาวะประมาณ 4-6 ครั้ง/วัน และปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน
มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอน หลังตื่นนอน ก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
การถ่ายปัสสาวะจะเว้นช่วงห่างประมาณ 2-4 ชั่วโมงในกลางวัน และ 6-8 ชั่วโมงในกลางคืน
จำนวนปัสสาวะประมาณ 250-400 มล/ครั้ง
Residual urine ไม่ควรเกิน 50 มล.ในผู้ใหญ่ และไม่ควรเกิน 100 มล.ในผู้สูงอาย
ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ
ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800-1,600 มล.
ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน
สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้ม สีเหลืองฟางข้าว
มีความเป็นกรดอ่อนๆ pH ประมาณ 4.6-8.0
มีความถ่วงจำเพาะ
เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ไม่พบ Casts, Bacteria, Albumin หรือน้ำตาล
ปัสสาวะใหม่มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ
2. การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
ไม่มีปัสสาวะ (Anuria/Urinary suppression) มีปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 50 มล./วัน
ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ (Oliguria)
ปัสสาวะมากกว่าปกติ (Polyurine)
ปัสสาวะตอนกลางคืน (Nocturia)
ปัสสาวะขัด ปัสสาวะลำบาก (Dysuria)
ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริกะปรอย (Pollakiuria)
ปัสสาวะรดที่นอน (Enuresis)
ปัสสาวะคั่ง (Urinary retention)
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้ (Urinary incontinence)
3. ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)
น้ำตาลในปัสสาวะ (Glycosuria)
โปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria)
คีโตนในปัสสาวะ (Ketonuria)
ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ำตาลของบิลิรูบิน (Bilirubinuria)
ปัสสาวะมีสีดำของฮีโมโกลบิน (Hemoglobinuria)
ปัสสาวะเป็นหนอง (Pyuria)
นิ่วในปัสสาวะ (Calculi)
ไขมันในปัสสาวะ (Chyluria)
4. หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
ส่งเสริมให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
ดื่มน้ำ อย่างน้อยวัละ 8 แก้ว
ฝึกถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ ทุก 2-4 ชั่วโมง
ดื่มน้ำ 2 แก้วก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ และปัสสาวะทิ้งทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์
อาบน้ำด้วยฝักบัวแทนอาบในอ่างอาบน้ำ
ใส่ชุดชั้นในที่ทำด้วยผ้าฝ้ายดีกว่าทำด้วยไนล่อน
หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงที่แน่นหรือคับเกินไป
เพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ
ใช้ Estrogen cream ตามแผนการรักษาของแพทย์
ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างเต็มที่
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีปัสสาวะไม่ออก
จัดให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวในที่มิดชิดขณะถ่ายปัสสาวะ
ช่วยให้ผู้ป่วยได้ถ่ายปัสสาวะในท่าที่สะดวกเป็นธรรมชาติ
การเปิดก๊อกน้ำให้ได้เห็น หรือได้ยินเสียงน้ำไหล
การใช้ความร้อนช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ
ให้เวลาในการขับถ่ายปัสสาวะ ไม่เร่งรัดผู้ป่วยเกินไป
ช่วยกดหน้าท้องเบาๆ เหนือบริเวณกระเพาะปัสสาวะจะช่วยให้ปัสสาวะสะดวก
สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีไม่สามารถไปห้องน้ำได้
5. การสวนปัสสาวะ
วัตถุประสงค์ของการสวนปัสสาวะ
เพื่อระบายเอาน้ำปัสสาวะออกในผู้ป่วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะเองได้
เพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะว่างในผู้ป่วยที่ต้องทำหัตถการต่างๆ
เพื่อตรวจสอบจำนวนน้ำปัสสาวะที่เหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ
เพื่อเก็บน้ำปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อ
เพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ หรือใส่ยาในกระเพาะปัสสาวะ
เพื่อศึกษาความผิดปกติของท่อปัสสาวะ
เพื่อตรวจสอบจำนวนน้ำปัสสาวะที่ขับออกมาในผู้ป่วยอาการหนักอย่างถูกต้อง
ชนิดของการสวนปัสสาวะ
การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว (Intermittent catheterization)
การสวนคาสายสวนปัสสาวะ (Indwelling catheterization or retained)
อุปกรณ์
ชุดทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์
ชุดสวนปัสสาวะที่ปราศจากเชื้อ
สารหล่อลื่นสายสวนชนิดละลายน้ำได้
น้ำกลั่นปลอดเชื้อ และน้ำยาทำลายเชื้อ
กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อ
Transfer forceps
7.ถุงรองรับปัสสาวะปลอดเชื้อและเป็นระบบปิด
โคมไฟ หรือไฟฉาย
พลาสเตอร์ เข็มกลัด ผ้าปิดตา
10.สายสวนปัสสาวะ
วิธีการสวนปัสสาวะ
การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงความจำเป็นของการสวนปัสสาวะ
ล้างมือให้สะอาด เตรียมของใช้
กั้นม่าน และจัดให้มีแสงสว่างเพียงพอ
แขวนถึงรองรับปัสสาวะกับขอบเตียงให้อยู่ต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะ
จัดท่า ปิดตา คลุมผ้าผ้ป่วย
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ภายนอก
วางชุดสวนปัสสาวะลงบนเตียงระหว่างขาของผู้ป่วย และเปิดห่อออกด้วยเทคนิคปลอดเชื้อ
ใช้ Transfer forceps จัดวางเครื่องใช้เรียงไว้ตามลำดับการใช้อยู่ในบริเวณผ้าห่อ Set
เทน้ำยาลงในถ้วย บีบ KY-jelly ลงในผ้าก๊อซ
ฉีกซองใส่สายสวนปัสสาวะ แล้วใช้ forceps คีบออกจากซอง
ฉีกซองกระบอกฉีดยาลงในชุดสวนปัสสาวะ
เปิดซองถุงมือและใส่ถุงมือด้วยวิธีปลอดเชื้อ
ตรวจสอบประสิทธิภาพของบอลลูนที่ปลาย Foley catheter
คลี่และวางผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ใช้มือซ้ายแหวก Labia ให้กว้างจนเห็นรูเปิดของท่อปัสสาวะ
ใช้มือข้างที่ถนัดหยิบสายสวนปัสสาวะหล่อลื่น
ยกภาชนะรองรับปัสสาวะวางบนผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางระหว่าขาผู้ป่วย
ใช้ Forceps ที่เหลือหรือมือข้างที่ถนัดจับสายสวนปัสสาวะให้มั่นคง
ค่อยๆสอดสายสวนปัสสาวะเข้าไปในรูเปิดของท่อปัสสาวะ
เมื่อใส่สายสวนเข้าไป จะเห็นปัสสาวะไหลออกมาให้ดันสายสวนเข้าไปลึกอีก
ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดที่แหวกอยู่เลื่อนมาจับสายสวน ส่วนอีกมือหยิบกระบอกฉีดยาที่บรรจุน้ำกลั่นอยู่
สอดปลายสายของถุงรองรับปัสสาวะลอดบริเวณเจาะกลางออกมา
เช็ดบริเวณ Vulva ให้แห้งด้วยสำลีที่เหลือ
ถอดถุงมือ ติดพลาสเตอร์ยึดสายสวนกับต้นขาผู้ป่วย
เก็บ Set สวนปัสสาวะออกจากเตียง จัดท่าให้สุขสบาย
เก็บของใช้ไปทำความสะอาดและบันทึกรายงานการคาสายสวนปัสสาวะ
การถอดสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
เตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้
บอกผู้ป่วย และใส่ถุงมือทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์
ต่อ Syrine เข้ากับหางของสายสวนปัสสาวะที่ใช้สำหรับใส่น้ำกลั่นแล้วดูดออก
บอกผู้ป่วยให้หายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อให้ผ่อนคลาย
ใช้กระดาษชำระเช็ดบริเวณ Perineum ให้แห้ง
สังเกตลักษณะ จำนวนปัสสาวะในถุงก่อนเอาไปทิ้ง และลงบันทึกวันเวลาที่ จำนวน สี ลักษณะของปัสสาวะ
กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ สังเกตความผิดปกติของผู้ป่วย
6. หลักการพยาบาบผู้ป่วยได้รับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะ (Condom catheter)
วัตถุประสงค์
เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันการระคายเคืองของผิวหนัง เนื่องจากเปียกปัสสาวะบ่อยๆ
ป้องกันการเกิดแผลกดทับในรายที่ต้องรักษาตัวนานๆ
ป้องกันการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้
ป้องกันการอักเสบในรายที่มีแผล
การใส่ถุงยางอนามัย เป็นการระบายปัสสาวะภายนอก ในผู้ชายให้ปัสสาวะไหลไปตามท่อลงสู่ภาชนะหรือถุงรองรับปัสสาวะ การใส่ถุงยางอนามัยจะพิจารณาผู้ที่มีปัญหา ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ ได้
ผู้ป่วยที่ใส่ถุงยางอนามัยเป็นเวลานาน มีโอกาสที่ผิวหนังบริเวณองคชาติจะบวม แดง และถลอก ดังนั้นต้องเปลี่ยนทุกวัน
ในกรณีที่อยู่บ้าน ไม่สามารถหาซื้อถุงยางอนามัยได้ อาจใช้ถุงพลาสติกแทนให้พอเหมาะ โดยผนึกปากถุงพลาสติก แล้วเจาะรู้กลมขนาดให้องคชาติสอดเข้าไปได้
7. การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
1.วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองก็บปัสสาวะช่วงกลาง
โดยให้ผู้ป่วยทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ำสะอาด ล้างมือให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง ให้ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ และปัสสาวะทิ้งช่วงสุดท้ายไป
2. วิธีการเก็บปัสสาวจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
ใช้ Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะใต้รอยต่ระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นานประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้มีปัสสาวะใหม่เก็บ
เตรียม Syrine sterile เข็มปลอดเชื้อ น้ำยาฆ่าเชื้อ
ล้างมือ สวมถุงมือสะอาด เช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะ ดูดปัสสาวะออกมา 10 มล. และส่งตรวจทันที
3. วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
เป็นการเก็บปัสสาวะที่มีการรวบรวมไว้ครบ 24 ชั่วโมงแล้วส่งตรวจ โดยเริ่ม 8.00 น. จนครบกำหนด 24 ชั่วโมง ก่อนการเก็บปัสสาวะประมาณ 6 ชั่วโมง ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาๆ
8. กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
1. การประเมิน
การซักประวัติ แบบแผนและลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะปกติ
ตรวจร่างกายในระบบทางเดินปัสสาวะ
วิเคราะห์ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2. การวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
3. การวางแผลการพยาบาล และการปฏิบัติการพยาบาล
ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะทั้งก่อนและหลังให้การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ
ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก Aseptic technique
Force oral fluid มากกว่า 2,000-3,000 มล./วัน ถ้าไม่มีข้อห้าม
ทำความสะอาดบริเวณฝีเย็บให้สะอาด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
ใช้สบู่อ่อนและน้ำหรือน้ำยาทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก หลีกเลี่ยงการใช้แป้งหรือโลชั่น
รักษาระบบการระบายปัสสาวะให้เป็นระบบปิดอยู่เสมอ
อย่าปล่อยให้ปัสสาวะเต็มถุงรองรับ ควรเททิ้งอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง ด้วยวิธีที่ถูกต้อง
ส่งเสริมให้ปัสสาวะเป็นกรด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะควรทำเมื่อจำเป็น
ดูแลให้ถุงรองรับอยู่ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะเสมอ
ตรวจดูสายสวนและท่อระบายของถุงรองรับปัสสาวะเป็นระยะไม่ให้หักพับงอ
กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกขึ้นเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย
ถ้าเป็นไปได้ให้แยกห้องผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการคาสายสวนปัสสาวะออกจากผู้ป่วยที่ไม่ติดเชื้อ
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
รายงานแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ
4. ประเมินผลการพยาบาล