Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ระบบทางเดินหายใจและกลไกการทำงาน
หน้าที่
จมูก
ใช้เพื่อเป็นทางเข้าของอากาศ
มีหน้าที่ในการดักจับฝุ่นละออง
เพิ่มความชุ่มชื้นของอากาศ
โพรงจมูกและช่องคอ
เพิ่มอุณหภูมิ
ดักจับเชื้อโรค
เพิ่มความชุ่มชื้นของอากาศ
ฝาปิดกล่องเสียง
กันไม่ให้อาหารที่เรากลืนตกลงสู่ระบบทางเดินหายใจ
กล่องเสียง
ใช้ในการสร้างเสียง
เป็นทางเดินหายใจ
หลอดคอ,หลอดลม,หลอดลมฝอย
ลำเลียงอากาศ
ดักจับเชื้อโรค
กำจัดเชื้อโรค
ถุงลม
แลกเปลี่ยนแก๊ส
กลไกการหายใจของมนุษย์
การหายใจเข้า
กล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครงหดตัวทำให้กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้นในขณะเดียวกันกระบังลมก็จะหดตัวและเลื่อนต่ำลงจึงทำให้ปริมาตรของช่องอกมีมากขึ้นความดันภายในช่องอกจะลดต่ำลง
การหายใจออก
หลังจากการหายใจเข้าแล้วกระบังลมที่เลื่อนต่ำลงก็จะกลับเลื่อนตัวสูงขึ้น ทำให้ปริมาตรของช่องอกลดลงความดันอากาศภายในช่องอกก็จะกลับสูงขึ้นดังนั้นจึงสามารถดันให้อากาศจากภายในปอดออกสู่ภายนอก
3.การหายใจในระดับเซลล์
เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นระหว่างก๊าซออกซิเจนกับสารอาหารภายในเซลล์ทำให้เกิดATP
กลไกควบคุมการหายใจ
1.การควบคุมแบบอัตโนมัติ
2.การควบคุมภายใต้อำนาจจิตใจ
7.1ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
การทำงานเป็น3ส่วนหลัก
1.การทำงานของเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียนมีอายุขัยประมาณ120วันร่างกายเรามีการทำลายและการสร้างเม็ดเลือดใหม่ตลอดเวลา
2.ความดันออกซิเจนทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
3.การหมุนเวียนเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
การแลกเปลี่ยนก๊าซโดยรวมเกิดจากความดันออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ที่แตกต่างกันทำให้เกิดการถ่ายเทก๊าซจากที่ความเข้มข้นสูงสู่ที่ต่ำกว่าโดยมีระบบหมุนเวียนเลือดที่มีเม็ดเลือดแดงเป็นตัวนำพา
7.2ปัจจัยที่มีผลตอการได้รับออกซิเจนของบุคคล
ภาวะที่ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
1.การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง
2.อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง
3.การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนักๆ
4.ความเครียด
5.อาหารที่มีไขมันมาก
6.ผู้สูงอายุ
7.การสูบบุหรี่
8.การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์
7.3การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
7.3.1การประเมินสภาพร่างกาย
จากการสังเกต
ระบบทางเดินหายใจ
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ระบบประสาทส่วนกลาง
ระบบผิวหนัง
ระบบทางเดินอาหาร
7.3.2การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน
7.4สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
7.4.1อาการไอ
สาเหตุของการไอ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ
ฝุ่น,ควัน,สารเคมี,อาหารหรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน-เย็นของอากาศ
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้งๆไม่มีเสมหะ
ไอมีเสมหะซึ่งเสมหะที่เป็นหนองมักเกิจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
1.ประเมินประสิทธิภาพการไอลักษณะไอแห้งๆหรือไอแบบมีเสมหะโดยการฟังเสียงไอ
2.สังเกตและบันทึกลักษณะเสียงความถี่และระยะเวลาของการไอ
3.ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกตบันทึกจำนวนลักษณะสีและกลิ่นของเสมหะด้วย
4.ดูแลความสะอาดของปากฟันและสิ่งแวดล้อม
5.กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆและปริมาณมาก
6.กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
7.สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ
8.ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
7.4.2Hemoptysis
ชนิดของการไอเป็นเลือด
1.ไอจนมีเลือดสดออกมาพบในวัณโรคปอด
2.ไอจนมีเลือดปนออกมาคือมีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน
3.ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย
4.ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อุบัติเหตุ
การอักเสบ
เนื้องอกและมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่างๆ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
1.ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
2.ประเมินชีพจรหายใจและความดันโลหิต
3.ถ้าเสียเลือดมากอาจต้องให้เลือดและพยาบาลจะต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
4.ผู้ป่วยอาจตกใจมากพยาบาลต้องคอยปลอบโยนให้กำลังใจและให้การดูแลจนผู้ป่วยควบคุมตนเองได้
7.4.3Hiccup
สาเหตุของอาการสะอึก
กินอิ่มมากเกินไป
ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส
สูบบุหรี่จัดห
ดื่มเครื่องดื่มเย็นจัด
กินอาหารร้อนจัด
กินอาหารรสจัด
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
1.ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน
2.ให้ชิมของเปรี้ยวจัด
3.แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด
4.แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพักๆ
5.ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ
6.ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม
7.4.4Dyspnea
สาเหตุของการหายใจลำบาก
ทางเดินหายใจอุดกั้นหรือปอดถูกทำลาย
การทำงานของหัวใจไม่ดี
การควบคุมการหายใจไม่ดี
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
1.ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูงและให้ออกซิเจนร่วมด้วย
2.ดูแลประคับประคองด้านจิตใจและประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสมทุก1-2ชั่วโมง
3.เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆสำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน
4.ดูแลให้ยาขยายหลอดลมหรือยาขับเสมหะตามแผนการรักษา
5.ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย
6.ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ
7.4.5Chestpain
สาเหตุ
กล้ามเนื้ออักเสบ
เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
หัวใจ
หลอดลมอักเสบ
เส้นประสาท
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
1.สังเกตอาการ
2.ประเมินสาเหตุของอาการ
3.จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
7.5บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
7.5.1อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
1.วิตกกังวลกระสับกระส่าย
2.ระดับการมีสมาธิลดลง
3.ระดับความรู้สึกตัวลดลง
4.ความอ่อนเพลียเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น
5.มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน
6.แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป
7.อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้นขั้นรุนแรงและพบbradycardia
8.ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึกระยะต่อมาจะเปลี่ยนเป็นหายใจสั้นและตื้น
9.ความดันโลหิตลดลง
10.หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
11.มีภาวะซีด
12.มีอาการเขียวคล้ำ
13.กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรังพบนิ้วปุ้ม
14.อาการหายใจลำบาก
7.5.2วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
1.เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำโดยวิธีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในถุงลมปอดและกระแสเลือด
2.เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรังโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งฟอง
3.เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจหัวใจและระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
7.5.3ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
1.มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด
2.เสี่ยงต่อการเกิดภาวะhypoxemiaตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว
3.เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง
4.ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน
5.การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้นๆในการทำผ่าตัด
7.5.4ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
1.อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ป่วยที่หายใจเอง
2.อาจเกิดภาวะปอดแฟบ
3.ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากparaquat
4.ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ำที่สุด
5.ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบnebulizer
6.การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจนบริเวณที่เกิดไฟไหม้
7.5.5การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
1.หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วย
2.หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
3.ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ
4.ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆหรือทุก2-3ชั่วโมง
5.ดูแลด้านจิตใจเพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
7.6เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่างๆ
ระบบการให้ออกซิเจน
1.ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ
การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว
การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก
Simple mask
Reservoir bag
Non rebreathing mask
2.ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง
การให้ออกซิเจนชนิดT-piece
การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม
การให้ออกซิเจนชนิดcroupettetent
การให้ออกซิเจนชนิดhood
การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ
3.ระบบให้ความชื้น
ชนิดละอองโต
ชนิดละอองฝอย
แหล่งให้ออกซิเจน
1.ถังบรรจุออกซิเจน
2.ระบบท่อ
7.6บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
7.6.1การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนในเซลล์ต่ำควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง
ผู้ป่วยที่หายใจลำบากทำให้นอนราบไม่ได้ควรจัดท่าorthopneapositionเป็นท่าศีรษะสูงต้องอยู่ในท่านั่งหรือฟุบหลับบนเก้าอี้โดยใช้หมอน3–4ใบวางซ้อนกันและตัวผู้ป่วยฟุบพาดโต๊ะ
7.6.2การบริหารการหายใจ
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม
การหายใจโดยการห่อปาก
1.ช่วยเหลือผู้ป่วยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย
2.แนะนำผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆทางจมูกและค่อยๆหยุดหายใจช้าๆ
3.แนะนำผู้ป่วยให้หายใจออกทางปากช้าๆโดยการห่อปาก
4.อธิบายให้ผู้ป่วยตั้งใจเป่าลมออกทางปากช้าๆ
5.ใช้วิธีการหายใจเมื่อผู้ป่วยมีการหายใจสั้นและฝึกการหายใจ5-10นาทีวันละ4ครั้ง
6.เนื่องจากหายใจลำบากถ้าผู้ป่วยฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย
การหายใจเข้าลึกๆ
1.จัดท่าให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆและไอได้สะดวก
2.รวบตรึงบริเวณผ่าตัดด้วยหมอนโดยใช้มือกอดหมอนหรือรวบหมอนกดให้แน่น
3.แนะนำให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆอย่างช้าๆในกรณีผู้ป่วยหลังการผ่าตัด ควรให้ยาระงับปวดก่อน20–30นาที
4.แนะนำผู้ป่วยให้กลั้นหายใจและไอออกแรงๆ
5.เตรียมกระดาษเยื่อและชามรูปไตหรือกระโถนให้ผู้ป่วย
7.6.3การดูดเสมหะ
การช่วยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
ทำการดูดเสมหะออก
จัดท่านอนให้เหมาะสมกระตุ้นให้เปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ
กระตุ้นให้ไอบ่อยๆและให้ดื่มน้ำมากๆให้เสมหะอ่อนตัวไอออกได้ง่าย
การทำposturaldrainageเป็นการจัดท่าเพื่อช่วยระบายเสมหะที่ค้างอยู่
การเพิ่มความสามารถในการขยายตัวของทรวงอกและปอด
จัดท่านอนศีรษะสูง
กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจลึกๆบ่อยๆ
จัดให้มีการออกกำลังกายตามความสามารถของผู้ป่วย
ป้องกันอาการท้องอืดที่อาจเกิดขึ้นโดยให้อาหารที่ย่อยง่ายครั้งละน้อยๆแต่บ่อยครั้งและงดอาหารที่ทำให้เกิดก๊าซง่าย
ใส่เสื้อผ้าที่สวมสบายให้แก่ผู้ป่วย
การเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่เข้าปอด
การลดความต้องการปริมาณออกซิเจนในร่างกาย
การผ่อนคลายความวิตกกังวล
วิธีการดูดเสมหะ
1.การดูดเสมหะทางจมูกหรือปาก
การประเมิน
1.สังเกตแบบแผนและลักษณะการหายใจค่อนข้างแรงมากอัตราการหายใจเร็ว
2.ฟังเสียงปอดได้ยินเสียงเสมหะ
3.สังเกตอาการเหนื่อยหายใจลำบากได้ยินเสียงดังขณะหายใจเข้าและออก
4.สังเกตลักษณะสีผิวเล็บและริมฝีปาก
5.สังเกตอาการซึมลงของผู้ป่วย
6.ประเมินอาการไอมีประสิทธิภาพที่จะขับเสมหะออกได้ลดลง
7.สังเกตลักษณะเสมหะเหนียวและมีจำนวนมาก
8.สังเกตอาการอาเจียนหรือขย้อนอาหารอยู่ในปาก
อาการแทรกซ้อน
แรงกดหรือการระคายเคืองบริเวณรูจมูกและริมฝีปาก
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
เกิดการระคาดเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ
ริมฝีปากแห้งเกิดแผลได้ง่าย
อาจเกิดความผิดปกติในผู้ป่วยโรคหัวใจความดันโลหิตสูงและเกิดภาวะความดันในสมองสูง
2.การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจหรือทางท่อหลอดคอ
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ขณะ/และหลังการดูดเสมหะ
1.แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน
2.อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าในถึงวัตถุประสงค์และความจำเป็นของการดูดเสมหะ
3.บอกให้ผู้ป่วยทราบก่อนว่า“จะทำการดูดเสมหะอย่างเบามือที่สุดถ้าเจ็บหรือทนไม่ไหวให้ยกมือขึ้น”เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลายและให้ความร่วมมือ
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าจะมีการหายใจลำบากในขณะดูด
5.ทำการดูดเสมหะด้วยความเบามือและนุ่มนวล
6.หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดทำความสะอาดเก็บของใช้และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
7.พูดให้กำลังใจก่อนเดินออกจากเตียงผู้ป่วย
7.7ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
1.อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนการให้ออกซิเจนอุปกรณ์ที่ใช้มีโอกาสก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ดังนั้นควรเฝ้าระวังการติดเชื้อ
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้
3.อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอดออกซิเจนจะก่อพิษในปอดได้หากได้รับในระยะเวลานานคือ24–48ชั่วโมงและความเข้มข้นของก๊าซมากกว่าร้อยละ60
4.อาจเกิดอันตรายกับดวงตา
5.อาจเกิดการหยุดหายใจในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
6.อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด