Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลมารดาและทารกที่มีภาวะติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ การติดเชื้อที่มาจากโรค…
การพยาบาลมารดาและทารกที่มีภาวะติดเชื้อขณะตั้งครรภ์
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การตกขาวผิดปกติ
ภาวะที่มีการตกขาวเพิ่มมากกว่าปกติ ร่วมกับมีอาการคัน
หรือปวดแสบร้อนตกขาวมีกลิ่นเหม็น และอาการจะไม่หายไปเอง
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อและทำให้ช่องคลอดอักเสบ (vaginitis)
การตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (bacterial vaginosis)
แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้ช่องคลอดอักเสบ
เป็นแบคทีเรียที่ไม่ต้องใช้ออกซิเจน (anaerobes)
ชื่อ gardnerella vaginalis
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
มีการติดเชื้อในมดลูก (chorioamnionitis)
ปีกมดลูกอักเสบ (salpingitis)
การอักเสบในอุ้งเชิงกราน (pelvic inflammatory disease: PID)
ผลกระทบต่อทารก
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย และทารกคลอดก่อนกำหนด
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ให้คำแนะนำและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ
รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์
แนะนำให้พาสามีไปตรวจและรักษาโรคพร้อมกัน
ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
ระยะคลอด
ผู้คลอดสามารถคลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
ให้การดูแลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้
เน้นการทำความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์
หากมีอาการผิดปกติให้รีบมาพบแพทย์ทันที
อาการและอาการแสดง
มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อนปากช่องคลอด ในช่องคลอด
ถ่ายปัสสาวะลำบาก แสบขัด
เจ็บขณะร่วมเพศ
ตกขาวสีขาว สีเทาหรือสีเหลือง ข้นเหนียว
มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา (fishy smell)
การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ (vaginal trichomoniasis)
การติดเชื้อพยาธิ หรือเชื้อโปรโตซัวชื่อ trichomonas vaginalis
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ให้คำแนะนำและการดูแล
แนะนำการเหน็บยา หรือการรับประทานยาตามแผนการรักษา
แนะนำให้สามีมารับการรักษาพร้อมกัน
แนะนำการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยางอนามัย
แนะนำการรักษาความสะอาด
ระยะคลอด
ให้การพยาบาลผู้คลอดในระยะคลอด โดยให้คลอดทางช่อคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
แนะนำให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้
หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ต้องได้รับการรักษาทั้งสามีและภรรยาให้หาย
อาการและอาการแสดง
ผู้ติดเชื้อร้อยละ 10 ไม่แสดงอาการ ร้อยละ 50 มักจะพบโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วย
ลักษณะของตกขาวมีสีขาวปนเทา หรือสีเหลืองเขียว ตกขาวเป็นฟอง (foamy discharge) มีกลิ่นเหม็น
มีอาการระคายเคืองที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด
มีอาการปัสสาวะแสบขัดหรือบ่อย
เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
การตกขาวจากการติดเชื้อรา (Vulvovaginal candidiasis)
เกิดจากเชื้อรากลุ่ม candida albicans ซึ่งมีระยะฟักตัว 1-4 วัน
อาการและอาการแสดง
ร้อยละ 20 ของผู้ติดเชื้อราจะไม่มีอาการ
มีอาการคันและระคายเคืองมากในช่องคลอดและปากช่องคลอด
มีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ (dyspareunia)
มีอาการปัสสาวะลำบาก และแสบขัดตอนสุด (external dysuria)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์ ทำให้อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอด
เป็นมากขึ้นเป็น 2 เท่า มีความระคายเคือง คันช่องคลอดมากขึ้น
ผลกระทบต่อทารก
จะเป็นเชื้อราในช่องปาก (oral thrush) ได้มากกว่าปกติ 2-35 เท่า
ปัจจัยและปัจจัยเสี่ยง
การรับประทานยาปฏิชีวนะ
การได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์ และได้รับยากดภูมิต้านทาน
การรับประทานยาคุมกำเนิด
ภูมิต้านทานของร่างกายถูกกด
การควบคุมภาวะเบาหวานไม่ดี
รับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมาก
การสวมใส่ชุดชั้นในที่แน่นเกินไป
ใช้น้ำยาล้างทำความสะอาดช่องคลอด
ใส่แผ่นอนามัยโดยไม่เปลี่ยนระหว่างวัน
ความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
การตั้งครรภ์
ขบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตขณะตั้งครรภ์
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์ เข้าใจสาเหตุของการติดเชื้อ และการดูแลตนเอง
แนะนำการใช้ยาทา และยาเหน็บช่องคลอดตามแพทย์สั่ง
การทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
ระยะคลอด
สามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดจะดีขึ้น
ดูแลมารดาหลังคลอดเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
เน้นการดูแลความสะอาด
สามารถเลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดาได้
ทารกแรกเกิดอาจมีการติดเชื้อในช่องปาก
หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate)
เกิดจากการติดเชื้อ human papilloma virus (HPV)
มีระยะฟักตัวนาน 2-3 เดือน
อาการและอาการแสดง
มีรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ขนาดแตกต่างกัน
มักเกิดบริเวณอับชื้น เช่น ปากช่องคลอด หรือในช่องคลอด เป็นต้น
การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์รอยโรคจะขยายใหญ่
มีผิวขรุยระคล้ายดอกกะหล่ำและยุ่ยมาก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
หากเกิดรอยโรคใหญ่อาจขัดขวางช่องทางคลอด
ทำให้เกิดการตกเลือดหลังคลอด
มารดาหลังคลอดมีโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
ผลต่อทารก
ทารกอาจติดเชื้อหูดหงอนไก่ระหว่างตั้งครรภ์และขณะคลอด
บางรายอาจเกิด laryngeal papillomatosis
ทำให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจส่วนบน
เสียงเปลี่ยน (voice change) เสียงร้องไห้แหบผิดปกติ (abnormal cry)
การติดเชื้อเริม (Herpes simplex)
เกิดจากเชื้อไวรัสคือ Herpes simplex virus (HSV)
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ผิวหนังเป็นตุ่มน้ำใส เล็ก ๆ จำนวนมาก
เมื่อตุ่มน้ำแตก หนังกำพร้าจะหลุดพร้อมกับทำให้เกิดแผลตื้น
ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่แผล ขณะเดียวกันเชื้อก็จะเดินทางไปแฝงตัวที่ปมประสาท
และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ
อาการและอาการแสดง
มีอาการปวดแสบปวดร้อน และคันบริเวณที่สัมผัสโรค
จากนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสๆ แล้วแตกกลายเป็นแผลอยู่ 2 สัปดาห์
ก่อนจะตำสะเก็ด
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อครั้งแรกขณะตั้งครรภ์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง
การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารก
ทารกมีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกำหนด
หากทารกมีการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ จะทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดสูง
ส่งผลให้ทารกเสียชีวิตได้ และหากให้คลอดทางช่องคลอดทารกอาจติดเชื้อขณะคลอดได้
หนองใน (Gonorrhea)
เกิดจากการติดเชื้อ Neiseria gonorrheae หรือ gonococcus (GC)
อาการและอาการแสดง
มีการอักเสบของปากมดลูกและช่องคลอดทำให้ตกขาวเป็นหนองข้นปริมาณมาก
พบอาการกดเจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลิน (bartholin’s gland)
หากมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างจะพบอาการปัสสาวะแสบขัด
ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกระปิดกระปรอย เป็นหนองข้น และปัสสาวะเป็นเลือด
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ไม่มีอาการ มีบุตรยาก กรณีที่มีอาการขณะตั้งครรภ์จะทำให้ถุงน้ำคร่ำอักเสบ
และติดเชื้อ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด แท้งบุตร และการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารก
ทารกแรกเกิดที่คลอดปกติผ่านทางช่องคลอดมีการติดเชื้อหนองในที่ปากมดลูก
ช่องคลอด หรืออวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก หากทารกแรกเกิดกลืนหรือสำลักน้ำคร่ำ
ที่มีเชื้อหนองในเข้าไปจะทำให้ช่องปากอักเสบ หูอักเสบ กระเพาะอาหารอักเสบได้
พยาธิสรีรภาพ
เชื้อ Neiseria gonorrheae เข้าสู่ร่างกาย เข้าไปเกาะติดกับเซลล์เยื่อบุและเซลล์ขับเมือก ทำปฏิกิริยากับภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้เกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อเซลล์และเนื้อเยื่อ
ส่งผลให้เนื้อเยื่ออักเสบเป็นหนอง ซึ่งตำแหน่งที่มักพบการอักเสบคือ
เยื่อเมือกบริเวณปากมดลูก ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ
ซิฟิลิส (Syphilis)
เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum (T. Pallidum)
มีระยะฟักตัวประมาณ 10-90 วัน
อาการและอาการแสดง
ซิฟิลิสระยะแรก หรือระยะที่หนึ่ง (primary stage)
หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วัน หรือประมาณ 3 สัปดาห์
จะเกิดแผล กลม นิ่ม ขอบนูนแข็ง ไม่เจ็บ เรียกว่าแผล chancre
บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกหรือในช่องคลอดและปากมดลูก ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโต
ซิฟิลิสระยะที่สอง (secondary stage)
หลังจากแผลหายจะพบผื่นกระจายทั่วร่างกาย ฝ่ามือฝ่าเท้า เยื่อบุรวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์
ร่วมกับมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ผมร่วงเป็นหย่อมๆ ปวดศีรษะ น้ำหนักลด
ระยะแฝง (latent syphilis)
ระยะนี้จะไม่มีอาการใด ๆ แต่กระบวนการติดเชื้อยังดำเนินอยู่
และสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ รวมถึงอาจมีการกำเริบของโรคได้
ซิฟิลิสระยะที่ 3 หรือระยะท้ายของโรคซิฟิลิส (tertiary syphilis)
ระยะนี้เชื้อจะเข้าไปทำลายระบบหัวใจและหลอดเลือด
ทำให้เกิด aortic aneurysm และ aortic insufficiency
เกิดรอยโรคที่อวัยวะภายในและกระดูกที่มีลักษณะเฉพาะเรียกว่า gumma lesion
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่ออักเสบ คลอดก่อนกำหนด และแท้งบุตร
ผลต่อทารก
ทารกคลอดก่อนกำหนด ตายคลอด ทารกแรกเกิดติดเชื้อซิฟิลิส (neonatal syphilis)
ทารกพิการแต่กำเนิดโดยอาจพบความพิการของตับม้ามโต ทารกตัวบวมน้ำ ตัวเหลือง
เยื่อบุส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเกิดการอักเสบ ผิวหนังที่ฝ่ามือฝ่าเท้าอักเสบและลอกเป็นขุย ปัญญาอ่อน เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังได้รับเชื้อสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เป็นแผลถลอก หรือทางเยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกาย ประมาณ 10-14 วัน
ร่างกายจะสร้าง antibody ทำให้บริเวณผิวหนังหรือบริเวณเนื้อเยื่อที่เชื้อผ่านเข้าไปจะเกิดการระคายเคือง
เชื้อจะแทรกเข้าไปอยู่ระหว่างผนังหลอดเลือดและทำให้หลอดเลือดอุดตัน ส่งผลให้เนื้อเยื่อที่มีการอักเสบมีเลือดมาเลี้ยงลดลง
เกิดการขาดเลือดกลายเป็นเนื้อตาย และกลายเป็นแผลที่มีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง กดไม่เจ็บ
ส่วนเชื้อที่เข้าสู่กระแสเลือดจะทำให้หลอดเลือดส่วนปลายเกิดการอักเสบส่งผลให้เกิดผื่นทั่วร่างกาย
ถ้าเชื้อผ่านไปยังทารกในครรภ์จะทำให้เนื้อเยื่อของทารกอักเสบและเป็นเนื้อตาย เปื่อยยุ่ย และหลุดเป็นแผล เกิดพังผืด และทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด
การติดเชื้อเอชไอวีในสตรีตั้งครรภ์
(Human Immunodeficiency Virus [HIV] during pregnancy)
ติดต่อผ่านทางเลือด ทางเพศสัมพันธ์ และจากมารดาสู่ทารก
พยาธิสรีรภาพ
เชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย จะใช้ส่วน GP120 ที่ผิวของเชื้อ HIV จับกับ CD4 receptor ของเซลล์เม็ดเลือดขาว
แล้วใช้ enzyme reverse transcriptase สร้าง viral DNA แทรกเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาว
แล้วเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวที่มี ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ HIV จะแตกสลายง่าย ส่งผลให้เม็ดเลือดขาว
ในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง
อาการและอาการแสดง
ระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อ HIV กินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์หลังติดเชื้อ
จากนั้นจะเริ่มมีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต
บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก
อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ 1-2 สัปดาห์
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ หากตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และ antibody ต่อเชื้อ HIV
และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการจะนาน 5-10 ปี บางรายอาจนานมากกว่า 15 ปี
ระยะติดเชื้อที่มีอาการ มีอุณหภูมิร่างกายสูงมากกว่า 37.80C
ท้องเดินเรื้อรัง หรืออุจจาระร่วงเรื้อรัง น้ำหนักลดเกิน 10% ของน้ำหนักตัว
ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 แห่ง เป็นงูสวัด และพบเชื้อราในปากหรือฝ้าขาว (hairy leukoplakia) ในช่องปาก
ระยะป่วยเป็นเอดส์ ไข้ ผอม ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง ซีด อาจพบลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อรา
แผลเริมเรื้อรัง ผิวหนังเป็นแผลพุพอง ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันจะเสื่อมเต็มที่ ทำให้เชื้อโรคฉวยโอกาสเข้ามาในร่างกาย
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
มีปริมาณ CD4 ต่ำ มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบต่อทารก
มีโอกาสที่ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย
ทารกมีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ และทารกตายคลอด
การป้องกันและการรักษา
การให้ยาต้านไวรัสแก่สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV เพื่อลดปริมาณของเชื้อ HIV ในเลือดให้ต่ำที่สุด
การให้ยาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสระหว่างตั้งครรภ์ หาก CD4 < 200 cells/mm3
พิจารณาระยะเวลาที่จะให้คลอดและวิธีการคลอด
ทางช่องคลอด
การผ่าตัดคลอดก่อนการเจ็บครรภ์ (scheduled cesarean delivery)
การผ่าตัดคลอดกรณีฉุกเฉิน
หลังคลอดหลีกเลี่ยงการให้ยากลุ่ม ergotamine
หลีกเลี่ยงการใส่สายยางสวนอาหารในกระเพาะทารกโดยไม่จำเป็น
หลีกเลี่ยงการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV ทุกรายควรได้รับการดูแลรักษา
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองสตรีตั้งครรภ์และสามีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยให้คำปรึกษาก่อนและหลังการตรวจเลือด
ให้ข้อมูลแก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับการดำเนินของโรค ความแตกต่างระหว่างการติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์
โอกาสในการแพร่กระจายเชื้อจากมารดาสู่ทารก การให้ยาต้านไวรัสเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อจากมารดาสู่ทารก
และการป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส
แนะนำให้มาฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง
ให้ความรู้แก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับหลักมาตรฐานในการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ผลการตรวจ CD4 หากน้อยกว่า 200 copies/mL แสดงถึงความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสสูง
ประเมินภาวะแทรกซ้อนจากการได้รัยยาต้านไวรัส
แนะนำการปฏิบัติตัวของสตรีตั้งครรภ์
ประเมินระดับความวิตกกังวล ความกลัวของสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV
ให้การพยาบาลด้วยท่าทีที่ปราศจากความรังเกียจ ให้กำลังใจ
ระยะคลอด
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ให้การดูแลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป
หากปริมาณ viral load ≤ 50 copies/mL แพทย์อาจพิจารณาเจาะถุงน้ำคร่ำเพื่อชักนำการคลอด
ทำคลอดด้วยวิธีที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้คลอดกและทารกน้อยที่สุด และหลีกเลี่ยงการใช้สูติศาสตร์หัตถการที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาต้านไวรัสตามแผนการรักษา
เตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการช่วยเหลือทารกแรกเกิด
ประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
ระยะหลังคลอด
ดูแลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution
ให้คำแนะนำแก่มารดาหลังคลอด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
แนะนำการวางแผนครอบครัว
ไม่แนะนำให้ใช้ยาฆ่าอสุจิ (spermicides)
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ซิฟิลิส หนองใน เริม และหูดหงอนไก่
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองและประเมินภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์ โดยการซักประวัติโดยละเอียด
แนะนำให้นำสามีมารับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค และหากมีการติดเชื้อแนะนำให้รักษาพร้อมกัน
อธิบายให้เข้าใจถึงการดำเนินของโรค อันตรายของโรคต่อการตั้งครรภ์
แนะนำการปฏิบัติตัวของสตรีตั้งครรภ์และสามี
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และผลการรักษาของสตรีตั้งครรภ์และสามีอย่างสม่ำเสมอ
ระยะคลอด
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution
หลีกเลี่ยงการทำหัตถการทางช่องคลอด
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
หากไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ เตรียมผู้คลอดให้พร้อม
สำหรับการผ่าตัดนำทารกออกทางหน้าท้องทั้งทางร่างกาย จิตใจ และกฎหมาย
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution
แนะนำมารดาหลังคลอดเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาด
ประเมินอาการติดเชื้อของทารกแรกเกิด ได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย ดูดนมไม่ดี ตัวเหลือง ชัก หรือมีแผล herpes ตามร่างกาย
แนะนำการเลี้ยงบุตร โดยล้างมือให้สะอาดก่อนจับทารกทุกครั้ง และหากไม่มีแผลบริเวณหัวนมหรือเต้านมสามารถให้นมมารดาได้
ดูแลให้มารดาหลังคลอดและทารกได้รับยาป้องกันการติดเชื้อตามแผนการรักษา
แนะนำและดูแลมารดาหลังคลอดปกติ หรือหลังการผ่าตัดคลอด เช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดทั่วไป