Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ระบบทางเดินหายใจและกลไกการทำงาน
ระบบทางเดินหายใจ
เป็นระบบที่รักษาสมดุลก๊าซในกระแสเลือด โ
ดยมีการทำงานสอดคล้องกับระบบหัวใจและหลอดเลือด
จมูก
เป็นทางเข้าของอากาศ
ดักจับฝุุนละออง และเพิ่มความชุ่มชื้นของอากาศ
โพรงจมูกและช่องคอ
เพิ่มอุณหภูมิ
ดักจับเชื้อโรค
เพิ่มความชุ่มชื้นของอากาศ
ฝาปิดกล่องเสียง
่กันไม่ให้อาหารที่เรากลืนตกลงสู่ ระบบทางเดินหายใจ
กล่องเสียง
สร้างเสียง
ทางเดินหายใจ
หลอดคอ หลอดลม และ หลอดลมฝอย
ลำเลียงอากาศ
ดักจับเชื้อโรค
กำจัดเชื้อโรค
ถุงลม
่แลกเปลี่ยนแก๊ส
กลไกการหายใจ
การหายใจเข้า (Inspiration
เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครงหดตัว ซึ่งจะทำให้กระดูกซี่โครง เลื่อนสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน กระบังลมก็จะหดตัวและเลื่อนต่ำลง จึงทำให้ปริมาตรของช่องอกมีมากขึ้นความดันภายในช่องอกจะลดต่ำลง
การหายใจออก (Expiration)
เกิดขึ้นหลังจากการหายใจเข้า แล้วทำให้กล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครงมีการคลายตัว จึงทำห้กระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลง โดยกระบังลมที่เลื่อนต่ำลงก็จะกลับเลื่อนตัวสูงขึ้น ทำให้ ปริมาตรของช่องอกลดลง ความดันอากาศภายในช่องอก
ก็จะกลับสูงขึ้น
การหายใจในระดับเซลล์
กระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นระหว่างก๊าซออกซิเจนกับสารอาหาร ภายในเซลล์ทำให้เกิด (adenosine triphosphate: ATP) ขึ้นเพื่อไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น
กลไกควบคุมการหายใจ
แบบอัตโนมัติ
เป็นการหายใจที่ไม่สามารถบังคับได้
การหายใจ เข้า-ออกเกิดขึ้นได้อย่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอทั้งในยามหลับและยามตื่น โดยไม่จำเป็นต้องพะวงกับการสั่งการ ให้มีการหายใจ
ภายใต้อำนาจจิตใจ
เป็นการหายใจที่สามารถบังคับได้
สามารถควบคุม บังคับ หรือปรับการหายใจให้เหมาะสมกับพฤติกรรมต่าง ๆ ของร่างกาย
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
การแลกเปลี่ยนก๊าซเกิดจาก ความเข้มข้นที่ต่างกันของก๊าซระหว่างบรรยากาศและในเส้นเลือด ทำให้เกิดการซึมผ่านเยื่อเลือกผ่านที่ผนังของถุงลมและหลอดเลือด
และเข้าไปในเลือด
การทำงานของเม็ดเลือดแดง
ขนส่งก๊าซ
มีส่วนประกอบที่เป็น Hemoglobin ซึ่งทำหน้าที่จับกับก๊าชเพื่อขนส่ง
ความดันออกซิเจน
ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
การหมุนเวียน
กำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ปัจจัยที่มีผลต่อการไดรับออกซิเจนของบุคคล
ภาวะที่ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง
จะมีความหนาแน่นของอากาศลดลง ออกซิเจนมีระดับต่ำกว่าปกติ ร่างกายได้ออกซิเจนน้อยกว่าปกติ
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง
ทำให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง ่ร่างกายได้รับ สารพิษจากอากาศ ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในขบวนการขจัดสารพิษ
การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก ๆ
ขณะออกกำลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติ อาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ
เป็นสาเหตุทำให้เหนื่อยเร็ว และอ่อนล้า
ความเครียด
ทำห้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น
ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาหารที่มีไขมันมาก
เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้
ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
ผู้สูงอายุ
ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น
ความเสื่อมเกิดขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย
เช่น ระบบการหมุนเวียนเลือดและหัวใจ
การสูบบุหรี่
มีผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ระบบ เช่น กล่องเสียง หลอดเลือดในสมอง ถุงลม และปอด
ทำให้หลอดเลือดมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก
และมีออกซิเจนน้อย
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์
ส่งผลให้ร่างกายเกิดผลเสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง
ซึ่งส่งผลต่อตับ สมอง หรือหัวใจและหลอดเลือด
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
ประเมินสภาพร่างกาย
ใช้เทคนิคการสังเกต และการประเมินสัญญาณชีพ
1.1 ระบบทางเดินหายใจ
1.2 ระบบหัวใจและหลอดเลือด
1.3 ระบบประสาทส่วนกลาง
.1.4 ระบบผิวหนัง
1.5 ระบบทางเดินอาหาร
ประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เป็นการเจาะเลือดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อ
ประเมินการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ
และหลอดเลือด และการแปลผล
2.1 ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง
เพื่อหาประสิทธิภาพการทำงานของปอด
เพื่อประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
และการหายใจ
2.2 ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ใช้ pulse oximeter เป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละ
ของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจนต่อปริมาณฮีโมโกลบิน
ทั้งหมดในเลือด
2.3 ตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติ
ของระบบทางเดินหายใจ
อาการไอ (Cough)
กลไกการตอบสนองของรางกายอยางหนึ่งต่อสิ่งผิดปกติในทางเดินหายใจ ป้องกันที่สำคัญของร่างกายในการกำจัดเชื้อโรค เสมหะ หรือสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ
สาเหตุ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ
ฝุุน ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน-เย็นของอากาศ จะทำให้การไอมากขึ้น
ลักษณะการไอ
ไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนอง มักเกิดจากการ
ติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ประเมินประสิทธิภาพการไอ ลักษณะไอแห้ง ๆ
หรือไอแบบมีเสมหะ โดยการฟังเสียงไอ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่
และระยะเวลาของการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจำนวน ลักษณะ สี
และกลิ่นของเสมหะด้วย
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม
เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆและปริมาณมาก
เพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผน
การรักษาของแพทย์
Hemoptysis อาการไอเป็นเลือด
มีเลือดออกจากทางเดินหายใจตั้งแต่กล่องเสียงลงไป
ไม่รวมเลือดกำเดา
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน
มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่าๆ ปนออกมาด้วย
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อุบัติเหตุ
การอักเสบ
เนื้องอก และมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่าง ๆ
ทำให้เกิดการไอเป็นเลือดได้
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด และพยาบาล
จะต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ต้องคอย ปลอบโยน ให้กำลังใจ และให้การดูแล
จนผู้ป่วยควบคุมตนเองได
Hiccup การสะอึก
เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อ ระหว่างช่องปอดและช่องท้อง ที่เกิดขึ้นเองโดยไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดการหายใจเอาอากาศเข้าไปก่อน และจะหยุดหายใจเข้าทันทีทันใด
สาเหตุของอาการสะอึก
กินอิ่มมากเกินไป
ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส
ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่จัด
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด
เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม
Dyspnea อาการหายใจลำบาก
อาการซึ่งผู้ป่วยต้องใช้ความพยายามหรือใช้แรงในการหายใจ การหายใจลำบากไม่มีความสัมพันธ์กับความเร็วของการหายใจ
สาเหตุของการหายใจลำบาก
เกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น
เกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทำงานของหัวใจไม่ดี
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทำให้การควบคุม
การหายใจไม่ดี
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
ดูแลให้ผู้ปุวยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สำหรับ
ช่วยเหลือผู้ปุวยฉุกเฉิน
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อลดอาการหายใจลำบากโดยหายใจ ด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม
Chest pain อาการเจ็บหน้าอก
สาเหตุ
กล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่ และเจ็บเมื่อ
ใช้มือกดที่บริเวณนั้น
เยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบ และมักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึกๆ หรือเวลาไอ
ทำให้ผู้ป่วยต้องหายใจตื้นๆ
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ
และเจ็บตลอดเวลา
หัวใจ เช่น ภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจโคโรนารี
หลอดลมอักเสบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณ
หลังกระดูก อาจเจ็บตลอดเวลาและเจ็บมากเมื่อเวลาไอ
เส้นประสาท เช่น โรครากประสาทสันหลัง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะนำ
ให้นอนตะแคงทับด้านที่เป็น
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่าอาการเจ็บหน้าอก
เกิดจากหัวใจหรือปอด
จัดเตรียมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณา
ให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
วิตกกังวล
ระดับการมีสมาธิลดลง
ระดับความรู้สึกตัวลดลง
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก ระยะต่อมา
จะเปลี่ยนเป็นหายใจสั้นและตื้น
ความดันโลหิตลดลง
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
มีภาวะซีด
มีอาการเขียวคล้ำ
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุูม
อาการหายใจลำบาก
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจน
ในเลือดต่ำ
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจ
หัวใจและระบบการไหลเวียนโลหิต
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
จากการให้ออกซิเจน
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง
เมื่อค่า PaO2 ≥ 60 มม.ปรอท
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ปjวยที่ได้รับพิษ
จาก paraquat
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะ
การให้ความชื้นแบบ nebulizer
มีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทำให้ขบวนการติดไฟ เพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมา
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้นๆ ในการทำผ่าตัด
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
5.1 หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
ตรวจวัดสัญญาณชีพ
ความผิดปกติของสีผิว
ระดับความรู้สึกตัว
วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง
ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซิเจน
5.2 หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ตรวจดูสายยางต้องไม่อุดตัน
ขวดทำความชื้นมีน้ำอยู่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
ออกซิเจนไม่รั่วจากขวดทำน้ำกลั่นที่ทำความชื้น
ถ้าเป็นออกซิเจนถัง จะต้องให้มีออกซิเจนอยู่เสมอ
เปลี่ยนและนำอุปกรณ์การใช้ออกซิเจน
ถ้าให้ออกซิเจนจากระบบ pipeline ที่มีรูเปิด
5.3 ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ
การจัดท่านอน ท่านั่ง ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย
ดูดเสมหะที่ค้างตามท่าทางเดินหายใจเป็นระยะๆ
เพื่อป้องกันการอุดตัน
สอนการไออย่างถูกวิธี เพื่อให้ระบายเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กระตุ้นให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อให้น้ำช่วย
ละลายเสมหะให้ขับออกได้ง่าย
5.4 ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ
หรือทุก 2 - 3 ชั่วโมง
ให้จิบน้ำบ่อยๆ
ถ้าเจ็บคอให้ล้างปากด้วยน้ำยาหรือบ้วนด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆ
ทาริมฝีปากด้วย กลีเซอรีน บอแรกซ์
ทำความสะอาดช่องจมูก
ดูแลความสะอาดบริเวณหน้า
5.5 ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
บอกประโยชน์ของการได้รับออกซิเจน
พยาบาลควรมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือ
แนะนำอธิบายให้ผู้ป่วยรู้จักเครื่องมือต่างๆได้ง่าย
ดูแลควบคุมอัตราการไหของออกซิเจนให้เพียงพอ
ไม่ให้ผู้ป่วยอึดอัด
สนใจ รับฟังความต้องการของผู้ป่วยอย่างจิงจัง
ให้เวลาผู้ป่วยในการพูดคุย สัมผัสผู้ป่วยบ้างและรีบไปดูแลทันทีเมื่อผู้ป่วยขอความช่วยเหลือ
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่างๆ
ระบบการให้ออกซิเจน
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ
การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว
เป็นการให้ออกซิเจนทางจมูก วิธีนี้ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนที่มีความเข้มข้นต่ำ ซึ่งจะได้ออกซิเจนร้อยละ 30 – 40
ในขณะที่ปรับอัตราการไหลของออกซิเจน 4 – 6 ลิตร/ นาที
การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก
เป็นการให้ออกซิเจนทางหน้ากากครอบปาก
และจมูกผู้ป่วย โดยเปิดออกซิเจนเข้าในหน้ากาก
วิธีนี้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง
ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนทั้งหมดจากอุปกรณ์โดยไม่ต้องดึงอากาศไปผสม ความเข้มข้นของออกซิเจน
กำหนดได้จากอุปกรณ์
ระบบให้ความชื้น
ชนิดละอองโต
ให้ความชื้นในส่วนต้นของทางเดินหายใจ 30 – 40 %
ชนิดละอองฝอย
ให้ความชื้นในทางเดินหายใจที่อยู่ลึกเหมาะกับผู้ป่วย
ที่มีเสมหะเหนียว
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การจัดท่าผู้ป่วย
ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง ในท่านี้จะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น โดยกระบังลมจะหย่อนลง ทำให้ปอดขยายตัวเต็มที่
และมีปริมาณอากาศเพิ่มมากขึ้น
การบริหารการหายใจ
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม
= สามารถทำได้ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการหายใจเรื้อรังและเฉียบพลัน
การหายใจโดยการห่อปาก
= ช่วยลดการคั่งของอากาศในถุงลม โดยการรักษาความดันบวกในการหายใจ ทำให้หลอดลมขยายตัวนานกว่าปกติ
การหายใจเข้าลึกๆ
= ช่วยขยายหลอดลม กระตุ้นการสร้างสารเคลือบภายในปอด และช่วยขยายพื้นที่การแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ปอด
การดูดเสมหะ
เสมหะเป็นการพยาบาลอิสระของพยาบาล ซึ่งช่วยทำให้ทางเดินหายใจโล่งออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้เต็มที่
และไม่เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน การให้ออกซิเจนอุปกรณ์ที่ใช้มีโอกาสก่อให้เกิดการติดเชื้อได้
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด ออกซิเจนจะก่อพิษในปอดได้หากได้รับในระยะเวลานาน
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา
อาจเกิดการหยุดหายใจ
อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
ตัวอย่าง
หญิงไทยสูงอายุ 90 ปี ปุวยเป็นโรคชราและความจำเสื่อม ช่วยเหลือตนเองได้น้อยมาก นอนติด เตียง ให้ออกซิเจน cannula 2 lit/min มีเสมหะใสไอออกได้เอง
จงประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการ
ได้รับออกซิเจนส าหรับผู้ป่วยรายนี้
การประเมินภาวะสุขภาพ
S : “ผู้ปุวยบอกว่าหายใจไม่สะดวก”
O : หญิงไทยสูงอายุ ปุวยเป็นโรคชราและความจำเสื่อมนอนติดเตียง อ่อนเพลีย ซีดเล็กน้อย รูปร่างผอมบาง ช่วยเหลือตนเองได้น้อย on O2 cannula 2 lit/min
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
ข้อมูลสนับสนุน
ผู้ป่วยมีเสมหะสีเหลืองข้น
การวางแผนการพยาบาล
เพื่อส่งเสริมให้ผู้ปุวยได้รับออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 2 lit/ min ตาม แผนการรักษา
และไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
การปฏิบัติการพยาบาล
ประเมินสภาพผู้ปุวยก่อนได้รับออกซิเจน
ประเมินภาวะพร่องออกซิเจน ประเมินอัตรา การหายใจ ชีพจร สีของเล็บ ปลายมือปลายเท้า เยื่อบุผิวหนัง ลักษณะการซีดและเขียว
ปรับออกซิเจนให้ได้ 2 lit/ min แล้วจัดให้สาย cannula
อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมคล้อง สายกับหูทั้งสองข้างให้พอดี
จัดสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย ติดป้ายห้ามสูบบุหรี่
จัดท่านอนศีรษะสูง เพื่อทำให้กระบังคมเคลื่อนต่ำลง
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ
วัด vital signs ทุก 4 ชม
ประเมิน O2 saturation ทุก 2 ชม. เพื่อเป็นการวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ติดตามผลเลือด Hb, Hct และ Chest X-Ray
เพื่อทราบค่าแสดงถึงความเข้มข้นของเลือในร่างกาย
ดูแลส่งเสริมการพักผ่อนและการนอนหลับผู้ป่วยให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
ให้การพยาบาลด้านจิตใจและจิตวิญญาณ
เพื่อลดความวิตกกังวลและความกลัว
การประเมินผลการพยาบาล
5.1 ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
5.2 ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
5.3 ประเมินผลคุณภาพการบริการ