Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 8 ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบทางเดินหายใจ ( Respiratory drugs ), image -…
บทที่ 8
ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบทางเดินหายใจ
( Respiratory drugs )
โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
• โรคหวัด ( Acute Rhinopharyngitis;common cold)
• โรคไข้หวัดใหญ่ ( Influenza)
• คออักเสบ ( Acute pharyngitis)
• โรคปอดอักเสบ (Pneumonia)
• โรคหลอดลมอักเสบ ( Acute Bronchitis)
โรคหืด (Asthma )
โรคที่เกิดจากการหดตัวหรือตีบแคบของระบบทางเดินหายใจเป็น
ครั้งคราว ท าให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเหนื่อย เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง
สาเหตุอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น กรรมพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกันของ
ร่างกาย การติดเชื้อ สิ่งแวดล้อม
ยาที่ใช้ในการรักษาหอบหืด
ยาขยายหลอดลม (Bronchodilators)
ยากลุ่มกระตุ้นตัวรับชนิดเบต้า-2 (beta-2 agonists)
ยากลุ่มนี้เป็นยากลุ่มแรกและเป็นกลุ่ม หลักที่น ามาใช้ในการรักษาหอบหืด จากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเกี่ยวกับตัวรับชนิด beta-2 receptor ซึ่งเป็นตัวรับของระบบประสาท adrenergic nervous system พบมากที่หลอดลม
ยากลุ่มเมทิลแซนธีน (Methylxanthines)
ตัวอย่างสารที่เป็นอนุพันธ์ของ xanthines เช่น caffeine,
theophylline, theobromine
ยากลุ่มที่มีฤทธิ์ต้านโคลิเนอร์จิก
(Anticholinergic drugs or Muscarinic antagonists)
เป็นตัวรับในระบบประสาทอัตโนมัติ
cholinergic nervous system ซึ่งเมื่อกระตุ้นตัวรับชนิดนี้จะทำให้
กล้ามเนื้อเรียบของหลอดลมหดตัว แต่ในทางตรงกันข้าม หากยับยั้งตัวรับ
ชนิดนี้ก็จะท าให้กล้ามเนื้อเรียบของหลอดลมคลายตัวได้ ยาในกลุ่มนี้ที่นำมาใช้ในการรักษาหอบหืดคือ ipratropium bromide แต่ประสิทธิภาพของยากลุ่มนี้จะน้อยกว่ากลุ่ม beta-2 agonist
ยาต้านการอักเสบ
(Anti-inflammatory drugs)
ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์(Corticosteroids)
ยากลุ่มยับยั้งการหลั่งสารสื่อจากเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับ
กระบวนการอักเสบ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
Chronic obstructive pulmonary disease ( COPD)
โรคที่เกิดจากความผิดปกติของปอด ซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งของโรคปอด
อักเสบเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการที่ปอดได้รับความเสียหายจนก่อให้เกิดปัญหาทางด้านการหายใจ รวมถึงมีอาการโรคถุงลมโป่งพองและ
หลอดลมอักเสบเรื้อรังร่วมด้วย เช่น ไอมีเสมหะ เหนื่อยหอบ แน่นหน้าอก เป็นต้น
อาการไอ
การไอ (cough) เป็นกลไกอย่างหนึ่งของร่างกายที่ช่วยในการขับสิ่ง
แปลกปลอมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น ควัน สารคัดหลั่ง หรือเชื้อโรคที่อยู่ในระบบทางเดินหายใจให้ออกไปจากร่างกาย ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง แต่บางครั้งหากการไอนี้มีความรุนแรงจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันหรือเป็นอันตรายแก่ผู้ป่วย ในกรณีนี้อาจจ าเป็นต้องได้รับยาในการรักษา เนื่องจากการไอมีหลายรูปแบบ การเลือกใช้ยาก็จะมีความแตกต่างกัน
ยาแก้ไอ
ยาระงับไอ หรือยากดการไอ (Anti-tussives or Cough Suppressants) ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการกดศูนย์การไอ (cough center) ที่สมองส่วน medulla oblongata ยากลุ่มนี้สามารถ
ยาละลายเสมหะ (Mucolytics)
กลไกในการออกฤทธิ์ไปท าลายโครงสร้างของเสมหะ ท าให้
เสมหะแยกกันออกเป็นส่วนๆ เสมหะมีความหนืดลดลง ท าให้ถูกขับออกด้วยการไอได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น bromhexine, ambroxal,
acetylcysteine, carbocysteine เป็นต้น
ยาขับเสมหะ (Expectorants)
กลไกในการออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นให้มีการขับเสมหะ
เพิ่มการหลั่งสารคัดหลั่งในทางเดินหายใจ ท าให้เสมหะอ่อนตัวลง เพิ่มการพัดโบกของขนเซลล์ในทางเดินหายใจ (cilia) ช่วยขับสิ่งแปลกปลอมหรือสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองในทางเดินหายใจออกมาด้วย
ยาแก้แพ้หรือยาต้านฮิสตามิน
เป็นกลุ่มยาที่มีโครงสร้างคล้ายสารฮิสตามีน (Histamine) ที่เมื่อรับประทาน
ยาเข้าไปแล้ว ยาจะเข้าไปจับกับตัวจับกับตัวรับของสารฮิสตามีน (Histaminereceptor) ที่อยู่บนผิวของเนื้อเยื่อตามระบบหายใจ เช่น ในโพรงจมูก
หลอดลม ถุงลม และตามผิวหนังต่างๆ แทนตัวสารฮิสตามีน
โรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับว่ากระบวนการแพ้ไปเกิดที่อวัยวะ
ส่วนไหน เช่น ถ้าเกิดที่จมูก จะท าให้มีอาการน้ ามูกไหล จาม คัดแน่นจมูก เป็นหวัด ภูมิแพ้
ประเภทของยาแก้แพ้หรือ ยาแอนติฮิสตามีน
เราแบ่งยาแก้แพ้ออกได้เป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 ยา แอนติฮิสตามีน กลุ่มง่วง คุณสมบัติของยากลุ่มนี้ คือ ผ่านเข้าออกสมองได้ดี จึงสามารถจับกับตัวรับฮิสตามีนในสมองได้ มีผลกดระบบประสาท ท าให้เกิดอาการ ง่วงซึม ไม่สดชื่น การตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆช้าลง
มีฤทธิ์เป็นแอนติโคลิเนอร์จิก (Anticholinergic drug, ยาต้านสารสื่อประสาทบางชนิด)
ยามีฤทธิ์อยู่ได้ประมาณ 4-6 ชั่วโมง หลังรับประทานยา
ยาออกฤทธิ์ภายในเวลา 15-30 นาที หลังจากรับประทานยา
กลุ่มที่ 2 ยาแอนติฮิสตามีน กลุ่มไม่ง่วง
ยากลุ่มนี้มีคุณสมบัติ คือ ยาไม่ผ่านเข้าสมองจึงไม่กดระบบประสาท ท าให้ไม่ค่อยมีผลง่วงซึม
ยาออกฤทธิ์ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมงจนถึงหลายวัน
มีความเจาะจงต่อตัวรับฮิสตามีน สูง
ไม่มีฤทธิ์เป็นแอนติโคลิเนอร์จิก
อาการข้างเคียงของแอนติฮิสตามีน
ยากลุ่มแอนติฮิสตามีน เป็นยาที่จัดว่าค่อนข้างปลอดภัย ไม่ค่อยพบอาการข้างเคียง/ผลข้างเคียงและอาการที่พบก็ไม่ค่อยรุนแรง
ทำให้ง่วงซึม
ให้ระมัดระวังในขณะที่ใช้ยา ถ้าต้องขับรถ ทำงานกับเครื่องจักรหรือทำงานกับสิ่งที่ต้องใช้สมาธิสูง
ยาที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรค
( Immunomodulation drugs
Generations
Thalidomide
Lenalidomide
Apremilast
ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants)
เพร็ดนิโซโลน (Prednisolone)
เมโธเทรกเซท(Methotrexate)
เอซาไธโอพรีน (Azathioprine)
ไซโคลฟอสฟาไมด์(Cyclophosphamide)
ไซโคลสปอริน (Cyclosporin)
โรค Auto immune
หมายถึงการที่ภูมิคุ้มกันร่างกายเข้าทำ
ร้ายเนื้อเยื่อร่างกายของตัวเอง
พบว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวของคนที่เป็นโรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเองจะสูญเสียความทรงจ า ไม่สามารถแยกแยะเนื้อเยื่อตัวเองออกจากสิ่งแปลกปลอม หลงผิดเข้าจู่โจมและท าร้ายเนื้อเยื่อตนเองจนทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะขึ้นอย่างต่อเนื่องจนโครงสร้างของเนื้อเยื่ออวัยวะถูกทำลายเสียหาย และทำงานไม่ได้ในที่สุด
เพร็ดนิโซโลน (Prednisolone)
เพรดนิโซโลน (Prednisolone)จัดเป็นสารสังเคราะห์กลุ่ม Glucocorticoid นำมาใช้ทางการแพทย์โดยมีวัตถุประสงค์ต้านการอักเสบ
เมโธเทรกเซท (Methotrexate)
methotrexate เป็นยาเคมีบ าบัดชนิดหนึ่ง ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของ เซลล์ร่างกายเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีและนิยมใช้ในการรักษาโรคสะเก็ดโรคและข้ออักเสบรูมาตอยด์(rheumatoid arthritis)
เอซาไธโอพรีน (Azathioprine)
Azathioprine เป็นยา immunosuppressants มีฤทธิ์กดการทำงานของภูมิคุ้มกันมีข้อบ่งใช้ร่วมกับยาอื่นเมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเพื่อป้องกันการปฏิเสธการเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อ ใช้บรรเทาอาการในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และรักษาโรคแผลอักเสบในลำไส้ azathioprine