Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ระบบทางเดินหายใจและกลไกการทํางาน
กลไกการหายใจของมนุษย์
การหายใจเข้า (Inspiration)
ขนาดของช่องอกเพิ่มขึ้นทำให้ความดันภายในลดลงอากาศจึงเข้าสู่ปอด
การหายใจออก (Expiration)
ขนาดของช่องอกลดลงทำให้ความดันภายในเพิ่มขึ้นอากาศจึงวิ่งออกจากปอด
การหายใจในระดับเซลล์
เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นระหว่างก๊าซออกซิเจนกับสารอาหาร ภายในเซลล์ทําให้เกิด (adenosine triphosphate: ATP) ขึ้นเพื่อไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น
กลไกควบคุมการหายใจ
การควบคุมแบบอัตโนมัติ
ซึ่งเป็นการหายใจที่ไม่สามารถบังคับได้ โดยสมองส่วน pons และ medula เป็นตัวสร้างและส่งสัญญาณประสาทไปกระตุ้นกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ
การควบคุมภายใต้อํานาจจิตใจ
ซึ่งเป็นการหายใจที่สามารถบังคับได้ โดยสมองส่วนหน้า และสมองส่วนหลัง ทําให้เราสามารถควบคุม บังคับ หรือปรับการหายใจให้เหมาะสมกับพฤติกรรมต่าง ๆ ของร่างกาย
ความสําคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย และการเกิดการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การทํางานของเม็ดเลือดแดง
มีหน้าที่ขนส่งก๊าซ เม็ดเลือดแดง
เซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน มีอายุขัยประมาณ 120 วัน
แต่ละเซลล์เม็ดเลือดแดง จะมีส่วนประกอบที่เป็น Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) อยู่ถึง 97 %ทําหน้าที่ในการ “จับกับก๊าซเพื่อการขนส่ง”
Hemoglobin สามารถจับกับแก๊สได้ 4 โมเลกุล ในเม็ดเลือดแดงใน แต่ละเซลล์นั้นมี Hemoglobin มากมายถึง 50 ล้านหน่วย
ความดันออกซิเจน
ทําให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
เลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนใน เลือดสูงอยู่ เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจํานวนน้อยสู่กระแสเลือด
ส่งไปหาเซลล์ต่างๆ แต่เมื่อการ เดินทางไปในอวัยวะที่ไกลขึ้น ความเข้มข้นออกซิเจนในเลือดลดลง เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจํานวน มากขึ้นตามลําดับ
เลือดเป็นตัวกลางการ ส่งผ่านออกซิเจนสู่เซลล์
เม็ดเลือดแดงเป็นถังเก็บออกซิเจน
การหมุนเวียน
เพื่อกําจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ํา เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก (H2CO3) และแตกตัว เป็นไฮโดรเจนไออน (H+) กับไบคาร์บอเนต (HCO3)
ปัจจัยที่มีผลตอการไดรับออกซิเจนของบุคคล
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง
ทําให้ร่างกายได้ออกซิเจนน้อยกว่าปกติ ถ้าร่างกายปรับตัวไม่ได้กับภาวะพร่องออกซิเจน ทํา ให้เกิดการภาวะพร่องออกซิเจน
ภาวะดังกล่าวจะมีความหนาแน่นของอากาศลดลง มีผลให้ออกซิเจนมี ระดับต่ำกว่าปกติ
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง
ภาวะดังกล่าวทําให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง
ร่างกายได้รับ สารพิษจากอากาศ ทําให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในขบวนการขจัดสารพิษ
การเล่นกีฬาหรือออกกําลังกายหนัก ๆ
ขณะออกกําลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติ
อาจทําให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เป็นสาเหตุทําให้เหนื่อยเร็ว และอ่อนล้า
ความเครียด
ทําให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาหารที่มีไขมันมาก
มีปริมาณออกซิเจนน้อย เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทําให้ ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
ผู้สูงอายุ
ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ความเสื่อมเกิดขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย
การสูบบุหรี่
มีผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ระบบ เช่น กล่องเสียง หลอดเลือดในสมอง
ปอดทําให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง ทําให้หลอดเลือดมีคาร์บอนไดออกไซด์มากและมี ออกซิเจนน้อย
การสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานาน ๆ ส่งผลให้เกิดอาการพร่องออกซิเจนมากขึ้น
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์
การดื่มในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกายเกิดผล เสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อตับ สมอง หรือหัวใจและหลอดเลือด
หากดื่มมากๆส่งผลต่อระบบสมองทําให้ได้รับออกซิเจนน้อยลง ระบบหัวใจและหลอดเลือดมีการสูบฉีดเลือดลดลง จน เกิดอาการหมดสติ และอาจถึงตายได้
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกาย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ระบบประสาทส่วนกลาง
ระบบผิวหนัง
ระบบทางเดินอาหาร
ระบบทางเดินหายใจ
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG)
เป็นการตรวจเพื่อหา ประสิทธิภาพการทํางานของปอด เพื่อประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการหายใจ
ค่าpH, PaCO3, Pa02, HCO3, และ SaO2 บอกถึงความสามารถของ Hemoglobin ในการจับออกซิเจนเข้าสู่เซลล์และนําคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเซลล์
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation)
ใช้ pulse Oximeter เป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน (Oxyhemoglobin) ต่อปริมาณ ฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือด
การแปลผลต้องพิจารณาปริมาณเม็ดเลือดแดงและหรือค่าฮีโมโกลบินร่วมด้วย จึง เป็นการวัด arterial Oxygen saturation (SPO2)
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดปกติอยู่ระหว่าง
98- 99% หากวัด SPO,ได้น้อยกว่า 90% จําเป็นต้องได้รับการรักษา ยกเว้นผู้ป่วยโรคปอดอุดตันเรื้อรัง
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อย เช่น ภาวะโลหิตจาง
ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติต่าง ๆ
ระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจชนิดต่าง ๆ หรือภาวะช็อกจากสาเหตุต่าง ๆ
ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ การบาดเจ็บของสมอง และได้รับยาที่กดการหายใจ
ระบบทางเดินหายใจ การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดส่วนอกและช่องท้อง
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
อาการไอ (Cough)
สาเหตุของการไอ
ฝุ่น ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ําที่สําลักเข้าไป
ความร้อน - เย็นของอากาศ จะทําให้การไอมากขึ้น
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ มีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจาก ไข้หวัด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ เช่น ไอเนื่องจากมีฝุ่นละอองมาก เป็นต้น
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนอง มักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ เช่น โรคปอด บวม และวัณโรคปอด เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ และปริมาณมาก เพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจํานวน ลักษณะ สี และกลิ่นของเสมหะด้วย
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่าย จากการ เปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่ และระยะเวลาของการไอ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ (effective Cough)
ประเมินประสิทธิภาพการไอ ลักษณะไอแห้ง ๆ หรือไอแบบมีเสมหะ โดยการฟังเสียงไอ
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
Hemoptysis อาการไอเป็นเลือด
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดปนออกมา คือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคมะเร็งของ หลอดลม หรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรค หลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือมะเร็งหลอดลม
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่า ๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อุบัติเหตุ
การอักเสบ ทําให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ กล่องเสียง หลอดลมใหญ่ และ ในเนื้อปอด
เนื้องอก และมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่าง ๆ ทําให้เกิดการไอเป็นเลือดได้ เช่น หลอด เลือดที่เลี้ยงปอดอุดตัน วัณโรค และปอดบวม เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรง ของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด และพยาบาลจะต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทําให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation) พยาบาลต้องคอย ปลอบโยน ให้กําลังใจ และให้การดูแลจนผู้ป่วยควบคุมตนเองได้ เพื่อช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและลดความ ตกใจ
Hiccup การสะอึก
สาเหตุของอาการสะอึก
อาการสะอึกเป็นอาการปกติทั่วไป ไม่ได้เกิดจากโรค
กินอิ่มมากเกินไป
ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทําให้เกิดแก๊ส (Carbonate)
ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ จัด หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
การสะอึกต่อเนื่อง หรือ อาการสะอึกที่ควบคุมรักษายาก มักเป็นอาการสะอึกที่เกิดจากพยาธิ สภาพของโรค
ารพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
แนะนําให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แนะนําให้กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่น น้ำมะนาว เป็นต้น หรือดื่มน้ำเปล่า
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น เป็นต้น
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย เป็นต้น
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ถือแก้วน้ําแล้วหลุดออกจากมือขณะสะอึก หรือ ขณะรับประทานอาหารอาจสําลักได้ เป็นต้น
Dyspnea อาการหายใจลําบาก
สาเหตุของการหายใจลําบาก
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทํางานของหัวใจไม่ดี เนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจตายหรือลิ้นหัวใจรั่ว
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทําให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทําลาย เป็นต้น
ผู้ป่วยที่หายใจลําบากอาจมีเสียง wheeze ร่วมด้วย
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลําบาก
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม ทุก 1 - 2 ชั่วโมง
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer) เพื่อให้หายใจสะดวก
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดอาการหายใจลําบากโดยหายใจ ด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สําหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน เช่น การใส่ท่อช่วย หายใจ (endotracheal tube: ET) เป็นต้น
Chest pain อาการเจ็บหน้าอก
ลักษณะแตกต่างกันตามสาเหตุ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจาก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บ ตลอดเวลา อาจมีลักษณะในข้อ 2 ร่วมด้วย ถ้าการอักเสบลุกลามถึงเยื่อหุ้มปอด
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบ และ มักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึก ๆ หรือเวลาไอ ทําให้ผู้ป่วยต้องหายใจตื้น ๆ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากหัวใจ เช่น ภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจโคโรนารี (Coronaryartery) ตีบแคบ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่ และเจ็บเมื่อใช้มือ กดที่บริเวณนั้น
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากหลอดลมอักเสบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูก อาจเจ็บตลอดเวลา และเจ็บมากเมื่อเวลาไอ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากเส้นประสาท เช่น โรครากประสาทสันหลัง (posterior nerve root) จะปวดร้าวไปตามแขนงของประสาท intercostal nerve ซึ่งอยู่ตามแนวกระดูกซี่โครง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด ถ้าเป็นอาการเจ็บ หน้าอกจากหัวใจ
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
สังเกตอาการ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะนําให้นอนตะแคงทับด้านที่ เป็น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น อาจต้องให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
วิตกกังวล (anxiety) กระสับกระส่าย (restlessness)
ระดับการมีสมาธิลดลง (decreased ability to concentrate)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง (decreased level of consciousness)
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น (increased fatigue)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (Vertigo)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น (increase pulse rate) ขั้นรุนแรง และพบ bradycardia
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก (increase rate and depth respiration) ระยะ ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นหายใจสั้นและตื้น (Shallow and slow respiration)
ความดันโลหิตลดลง (blood pressure will decrease)
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ (cardiac dysthymias)
มีภาวะซีด (pallor)
มีอาการเขียวคล้ำ (Cyanosis)
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วม (clubbing)
อาการหายใจลําบาก (dyspnea)
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งฟอง
เป็นการช่วยการทํางานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และระบบการไหลเวียนโลหิตและ หลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทําให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ โดยวิธีการเพิ่มปริมาณ ออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง (severe trauma)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน (acute myocardial infarction: MI)
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ป่วยหลัง โดนไฟไหม้ เป็นต้น
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการทําผ่าตัด เช่น หลังการดมยาสลบ หรือการทํา ผ่าตัดใหญ่ เป็นต้น
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO) ( 60 mmHg หรือ SaO) < 90 % เมื่อ หายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis) ออกซิเจนเป็นพิษ (Oxygen toxicity) หรือกด การทํางานของ cilia ที่กําลังพัดโบกกําจัดสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่ได้รับพิษจาก paraquat เช่น ยาฆ่าหญ้า หรือ ผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบําบัด อาจทําให้เสริมฤทธิ์ของสารพิษที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายเร็วขึ้น
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ป่วยที่หายใจเอง เมื่อค่า PaO, 2 60 มม.ปรอท โดยที่ค่า PaCO สูงกว่าภาวะปกติ (PaO, ย่อมาจาก Partial pressure of arterial oxygen
ขณะทําผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจํากัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในตํา ที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟ ด้วยคุณสมบัติเคมีของออกซิเจนเอง
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทําให้ขบวนการติดไฟ เพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบ nebulizer สามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้ เนื่องจากการสูดดมโดยตรง
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
ระดับความรู้สึกตัว
วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง (Tridal Volume) ในกรณีที่ผู้ป่วยอาการหนักและมี เครื่องมือวัดโดยเฉพาะ
ความผิดปกติของสีผิว ดูลักษณะบริเวณริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้า ผิวหนังว่ามีอาการ เขียวหรือไม่ ในรายที่ให้ออกซิเจนทางกระโจมสังเกตอาการหนาวสั่นด้วย
ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซิเจน (Blood gas)
ตรวจวัดสัญญาณชีพ ดูลักษณะ และอัตราเร็วของการหายใจ ความดันโลหิตและชีพจร
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
แนะนํา อธิบายให้ผู้ป่วยรู้จักเครื่องมือต่างๆได้ง่าย
ดูแลควบคุมอัตราการไหของออกซิเจนให้เพียงพอ ไม่ให้ผู้ป่วยอึดอัด
พยาบาลควรมีความชํานาญในการใช้เครื่องมือ
สนใจ รับฟังความต้องการของผู้ป่วยอย่างจิงจัง
บอกประโยชน์ของการได้รับออกซิเจน
ให้เวลาผู้ป่วยในการพูดคุย สัมผัสผู้ป่วยบ้างและรีบไปดูแลทันทีเมื่อผู้ป่วยขอความช่วยเหลือ
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ(Clear air way)
ดูดเสมหะที่ค้างตามท่าทางเดินหายใจเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการอุดตัน
สอนการไออย่างถูกวิธี เพื่อให้ระบายเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดท่านอน ท่านั่ง ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย และปอดขยายได้เต็มที่โดยให้อยู่ในท่าศีรษะสูง
กระตุ้นให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อให้น้ำช่วยละลายเสมหะให้ขับออกได้ง่าย
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก 2 - 3 ชั่วโมง
ทาริมฝีปากด้วย กลีเซอรีน บอแรกซ์
ทําความสะอาดช่องจมูก
ถ้าเจ็บคอ ให้ล้างปากด้วยน้ำยา หรือบ้วนด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆ
ดูแลความสะอาดบริเวณหน้า โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับ Oxygen mask จะมีเหงื่อออก มาก ควรเช็ด mask และทาแป้งให้บ่อยๆ
ให้จิบน้ำบ่อยๆ
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ขวดทําความชื้นมีน้ําอยู่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
ออกซิเจนไม่รั่วจากขวดทําน้ํากลั่นที่ทําความชื้น
ตรวจดูสายยาง ให้อยู่ในตําแหน่งที่ถูกต้อง ไม่เลื่อนหลุดจากที่รอยต่อต่างๆ ต้องคงที่ไม่ บิดงอ ไม่อุดตัน
ถ้าเป็นออกซิเจนถัง จะต้องให้มีออกซิเจนอยู่เสมอ โดยดูจากที่หน้าปัดบอกระดับของ ออกซิเจน
เปลี่ยนและนําอุปกรณ์การใช้ออกซิเจน ไปทําความสะอาดและทําให้ปลอดเชื้อ
ถ้าให้ออกซิเจนจากระบบ pipeline ที่มีรูเปิด (outlet) สํา หรับเสียบ flow meter จะต้องดูให้ flow meter เสียบเข้าที่
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่าง ๆ
ระบบการให้ออกซิเจน
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ (Low flow system)
การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula) หรือ nasal prongs
ข้อดี ผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องปลดสายออก ไม่ค่อยรู้สึก อึดอัดหรือรําคาญมากนัก และติดต่อสารกับผู้อื่นได้สะดวก
ข้อเสีย อาจมีการระคายเคืองช่องจมูกทั้งสองข้าง ทําให้เยื่อบุจมูกบวมและมีน้ำมูกออกมาอุดทํา ให้ท่อตันได้
การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก (mask)
Simple mask เป็นชนิดที่ให้ออกซิเจนความเข้มข้นร้อยละ 40-50 การปรับอัตรา ไหลของออกซิเจน 5 – 8 ลิตร/ นาที
Reservoir bag (partial rebreathing mask)
Non rebreathing mask ลักษณะคล้าย partialrebreathing ยกเว้นรูระบาย
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system)
การให้ออกซิเจนชนิดT- piece
การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม (tracheostomycollar)
การให้ออกซิเจนชนิด Croupette tent เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนที่ครอบตัวผู้ป่วยลักษณะ คล้ายเต็นท์
การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box เป็นอุปกรณ์ใช้ครอบศีรษะและไหล่ผู้ป่วย เด็ก
การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ(endotrachealtube:ET)เป็นท่อช่วยหายใจซึ่งแพทย์ จะใส่ท่อนี้เข้าไปในหลอดลมของผู้ป่วย
ระบบให้ความชื้น (Humidification)
ชนิดละอองโต (Bubble)
ชนิดละอองฝอย (Jet)
แหล่งให้ออกซิเจน (Oxygen source)
ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank)
ระบบท่อ (Oxygen pipeline)
ภาวะบ่งชี้ในการรักษาด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง
โรคฟองแก๊สอุดตันในหลอดเลือดแดง (air or gas Embolism)
โรคคาร์บอนมอนน็อคไซด์เป็นพิษ/ การสําลักควันไฟ (CO poisoning and smoke inhalation)
การติดเชื้อของเนื้อเยื่อจากแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน (Clostridial gas gangrene)
การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อเนื่องจากการถูกบดขยี้ (Crush Injury: Compartment syndrome, acute traumatic ischemia)
โรคที่เกิดจากความดัน เช่น อากาศ หรือน้ำ(decompression sickness)
โรคแผลเรื้อรัง (Chronic Wounds)
แผลเบาหวาน (diabetic ulcers)
แผลจากการกดทับ (pressure ulcers)
แผลจากการไหลเวียนหลอดเลือดดําหรือหลอดเลือดแดงไม่ดี (ischemic ulcers)
โลหิตจางเนื่องจากเสียเลือดจํานวนมาก (exceptional blood loss)
การติดเชื้อและมีการตายของเนื้อเยื่อ (necrotizing soft tissue infection)
การติดเชื้อเรื้อรังของเยื่อหุ้มกระดูก (refractory osteomyelitis)
การปลูกถ่ายผิวหนังและกล้ามเนื้อ (compromised skin graft or flap)
การได้รับบาดเจ็บจากรังสี (radiation Injury)
กระดูกและเนื้อเยื่อตายเนื่องจากได้รับรังสี (Osteoradionecrosis)
เนื้อเยื่อตายเนื่องจากได้รับรังสี (soft tissue radionecrosis)
ฟันผุเนื่องจากได้รับรังสี (radiation caries)
แผลไหม้จากความร้อน (thermal burn)
โรคฝีในสมอง (intracranial abscess)
ชนิดและลักษณะของห้องปรับบรรยากาศ
สามารถจุผู้ป่วยนอนได้ครั้งละ 1 คน เท่านั้น
ผู้ป่วยสามารถผ่อนคลาย นอนพัก หรีดูโทรทัศน์ ขณะเข้ารับการรักษา
สามารถทนความกดบรรยากาศได้สูงสุด 3 บรรยากาศ
เพิ่มความกดบรรยากาศด้วยออกซิเจนผู้ป่วยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยในการหายใจ
ลักษณะคล้ายหลอดแก้วใหญ่ทําด้วยพลาสติกอะครีลิค ใส ขนาด 0.7 X 2.2 เมตร
มีระบบสื่อสาร ผู้ป่วยสามารถพูดคุยติดต่อกับบุคคลภายนอกได้ขณะเข้ารับการรักษา
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนในเซลล์ต่ำ (hypoxia) ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง (high fowler's position)
การบริหารการหายใจ
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม (diaphragmatic breathing)
วิธีการปฏิบัติ
แนะนําให้ผู้ป่วยหยุดหายใจช้าๆ หลังหายใจเข้าลึกเต็มที่แล้วเป่าลมออกทางปากช้า ๆ โดยการห่อปาก (purse tips)
กระตุ้นให้ผู้ป่วยหดเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องไล่อากาศออกจากปอดให้มากที่สุด
สอนผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก
อธิบายให้ผู้ป่วยเป่าลมออกทางปากช้า ๆ ประมาณ 2 - 3 เท่า ของระบบการหายใจเข้า
ช่วยเหลือผู้ป่วยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย
หลังจากฝึกปฏิบัติจนชํานาญแล้ว อาจใช้ของหนักประมาณ 5 ปอนด์ (อาจเป็น หนังสือเล่มโต ๆ หรือหมอนทราย) วางบนหน้าท้องเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง
ตรวจดูให้แน่ใจว่าจมูก หลอดลม ไม่มีน้ำมูก หรือเสมหะ และไม่มีอาการบวมคั่ง
ให้ผู้ป่วยฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม
การหายใจโดยการห่อปาก (pursed tip breathing)
วิธีการปฏิบัติ
แนะนําผู้ป่วยให้หายใจออกทางปากช้า ๆ โดยการห่อปาก
อธิบายให้ผู้ป่วยตั้งใจเป่าลมออกทางปากช้า ๆ
แนะนําผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก (ปิดปากให้สนิท) และค่อย ๆ หยุดหายใจช้า ๆ เมื่อหายใจเข้าเต็มที่ ทําติดต่อกัน 3 ครั้ง
ใช้วิธีการหายใจ เมื่อผู้ป่วยมีการหายใจสั้น และฝึกการหายใจ 5-10 นาที วันละ 4 ครั้ง
ช่วยเหลือผู้ป่วยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย
เนื่องจากหายใจลําบาก ถ้าผู้ป่วยฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความวิตกกังวลของ ผู้ป่วย
การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing)
วิธีการปฏิบัติ
แนะนําให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึก ๆ อย่างช้า ๆ ในกรณีผู้ป่วยหลังการผ่าตัด ควรให้ยา ระงับปวดก่อน 20 – 30 นาที
แนะนําผู้ป่วยให้กลั้นหายใจและไอออกแรงๆ
รวบตรึงบริเวณผ่าตัดด้วยหมอน โดยใช้มือกอดหมอน หรือรวบหมอนกดให้แน่นขณะที่ ผู้ป่วยไอ ถ้าผู้ป่วยทําไม่ได้พยาบาลต้องช่วยเหลือ
เตรียมกระดาษเยื่อและชามรูปไต หรือกระโถนให้ผู้ป่วย
จัดท่าให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึก ๆ และไอได้สะดวก
อุปกรณ์ที่ช่วยในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
สไปโรมิเตอร์ (Spirometer)
วิธีการปฏิบัติ
ให้ผู้ป่วย อม mouthpiece และสูดหายใจเข้า สังเกตลูกบอลลอยขึ้นได้กี่ลูก
ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึก ๆ อย่างช้า ๆ แล้วกลั้นหายใจไว้ประมาณ 3 - 6 วินาที แล้วสังเกตลูกบอลที่ลอย ขึ้นมาได้กี่ลูกระดับปริมาตรเท่าไร
จัดท่าให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนในท่าศีรษะสูง (fowler's position)
เอา mouthpiece ออกจากปาก และหายใจออกอย่างปกติก่อนที่จะเป่าครั้งต่อไปด้วย Spirometers
การให้ยาขยายหลอดลม
การให้ยาขยายหลอดลมชนิด Metered – Dose Inhaler (MDI)
วิธีการใช้ยา MDI
การให้ยาขยายหลอดลมโดยผ่านออกซิเจนละอองฝอย (Oxygen nebulizer) อาจเรียกว่า handhold nebulizer
ชุดให้ยาขยายหลอดลมชนิด hand hold nebulizer
การดูดเสมหะ (suction)
การเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่เข้าปอด
การให้ออกซิเจนชนิด nasal Cannula ทําให้ระดับ ออกซิเจนในเลือดคงที่ เพราะสามารถพูดหรือรับประทานอาหารโดยไม่ต้องเอาสายออก
มีการให้ออกซิเจน อาจให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula) หรือทางหน้ากาก (Oxygen mask) หรือทางเต้นท์ (Oxygen tents)
ต้องควบคุมให้อัตรา ความเข้มข้นต่ำ มักเริ่มให้ในขนาด 1-2 ลิตร/ นาที
การลดความต้องการปริมาณออกซิเจนในร่างกาย
การเพิ่มความสามารถในการขยายตัวของทรวงอกและปอด
จัดให้มีการออกกําลังกายตามความสามารถของผู้ป่วย
ป้องกันอาการท้องอืดที่อาจเกิดขึ้น โดยให้อาหารที่ย่อยง่ายครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง และงดอาหารที่ทําให้เกิดก๊าซง่าย
กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจลึก ๆ บ่อยๆ
ใส่เสื้อผ้าที่สวมสบายให้แก่ผู้ป่วย
จัดท่านอนศีรษะสูง
ารผ่อนคลายความวิตกกังวล โดยแนะนําการทําสมาธิ หรือการนอนใส่หูฟัง ให้ฟังเพลง เป็นต้น
การช่วยทําให้ทางเดินหายใจโล่ง
จัดท่านอนให้เหมาะสม กระตุ้นให้เปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ
กระตุ้นให้ไอบ่อย ๆ และให้ดื่มน้ํามาก ๆ ให้เสมหะอ่อนตัวไอออกได้ง่าย
ทําการดูดเสมหะออก
การทํา postural drainage เป็นการจัดท่าเพื่อช่วยระบายเสมหะที่ค้างอยู่
วิธีการดูดเสมหะ
เครื่องดูดเสมหะชนิดเคลื่อนที่ (mobile Suction)
ชนิดติดฝาผนัง (wat Suction)
วิธีการดูดเสมหะ
การดูดเสมหะทางจมูก (Nasopharygeal) หรือปาก (oropharyngeal suction)
การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ (Endotracheal) หรือทางท่อหลอด คอ (tracheostomy suction)
การใช้กระบวนการพยาบาลในขั้นตอนการประเมินสภาพผู้ป่วย
สังเกตลักษณะสีผิว เล็บ และริมฝีปาก มีอาการ Cyanosis
สังเกตอาการซึมลงของผู้ป่วย
สังเกตอาการเหนื่อย หายใจลําบาก ได้ยินเสียงดังขณะหายใจเข้าและออก
ประเมินอาการไอมีประสิทธิภาพที่จะขับเสมหะออกได้ลดลง
ฟังเสียงปอดได้ยินเสียงเสมหะ (adventitions Sound)
สังเกตลักษณะเสมหะ เหนียว และมีจํานวนมาก
สังเกตแบบแผนและลักษณะการหายใจค่อนข้างแรงมาก อัตราการหายใจเร็ว
สังเกตอาการอาเจียนหรือขย้อนอาหารอยู่ในปาก
การเตรียมเครื่องใช้สําหรับการดูดเสมหะทางปาก
สายดูดเสมหะที่สะอาดปราศจากเชื้อ ตามขนาดผู้ป่วย
ท่อต่อ (Connector) ใช้ต่อสายดูดเสมหะกับเครื่องดูดเสมหะ หรือท่อต่อนี้อาจเป็นส่วนหลาย ของสายดูดเสมหะ
สายหล่อลื่นหรือน้ำกลั่น
ไม้กดลิ้นที่สะอาด
เครื่องดูดเสมหะ
ถุงมือสะอาด
oral airway หรือ nasal airway
ขวดน้ำเกลือใช้ภายนอก (normal saline external use) ขนาด1000 ซีซี
ท่อต่อ (Connector)
สายดูดเสมหะชนิดมีท่อต่อในตัว
วิธีการปฏิบัติการดูดเสมหะทางปาก
ขณะทําการดูดเสมหะ พบว่า ดูดไม่ขึ้นหรือดูดไม่ออกให้หยุดทําการดูดเสมหะไว้ก่อน
การดูดเสมหะแต่ละครั้งไม่ควรนานเกิน 10 วินาที หรือประมาณเวลาเท่ากับการกลั้นหายใจ ของผู้ดูดเสมหะ
ให้ผู้ป่วยช่วยอ้าปาก กรณีไม่รู้ตัวใช้ไม้กดลิ้นช่วยในการอ้าปากผู้ป่วย จากนั้นใส่สายดูดเสมหะ
ล้างสายดูดโดยการดูดผ่านน้ำเกลือใช้ภายนอก เป็นการทําความสะอาด สายดูดเสมหะ 1-2 ครั้ง
หยิบสายดูดเสมหะต่อกับเครื่องดูดเสมหะแล้ว ปรับแรงดันเครื่องดูดเสมหะให้เหมาะสมตาม ประเภทของผู้ป่วย ตรวจสอบแรงดันโดยใช้นิ้วปิดปลายของสายดูดเสมหะ
จัดท่าผู้ป่วยให้นอนตะแคงศีรษะต่ำเล็กน้อย เพื่อช่วยให้เสมหะออกได้สะดวก ไม่เกิดการ สําลักเข้าปอด
เช็ดทําความสะอาดบริเวณที่มีน้ําเปียก เช็ดน้ำาผู้ป่วยที่อาจไหลขณะดูดเสมหะ จัดท่าให้ ผู้ป่วยสุขสบาย เพื่อให้หายใจได้สะดวก
สวมถุงมือ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปื้อนเสมหะ
ล้างมือให้สะอาด ใส่mask เพื่อลดการแพร่ของเชื้อโรค
อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจ เพื่อลดความวิตกกังวลและให้ความร่วมมือ
ถอดสายดูดเสมหะ เก็บของให้เข้าที่เรียบร้อย ถอดถุงมือออกทิ้ง
อาการแทรกซ้อน
เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ ในขณะดูดเสมหะ ต้องทําการดูดเสมหะ อย่างเบามือและนุ่มนวล
อาจเกิดการสําลักจากการกระตุ้น gas reflex หรือจัดท่าผู้ป่วยไม่ถูกต้อง
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น โพรงจมูกอักเสบ (sinusitis)
ริมฝีปากแห้งเกิดเป็นแผลได้ง่าย ให้ทาครีมทุกครั้งหลังทําความสะอาดปาก
แรงกด หรือการระคายเคืองบริเวณรูจมูกและริมฝีปากอาจทําให้เกิดแผล
อาจเกิดความผิดปกติในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และเกิดภาวะความดัน ในสมองสูง
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ ขณะ/ และหลังการดูดเสมหะ
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าจะมีการหายใจลําบากในขณะดูด แต่จะดีขึ้นภายหลังเอา สายออก และดูดเสมหะออกแล้ว
ทําการดูดเสมหะด้วยความเบามือ และนุ่มนวล
บอกให้ผู้ป่วยทราบก่อนว่า “จะทําการดูดเสมหะอย่างเบามือที่สุด ถ้าเจ็บหรือทนไม่ไหวให้ยก มือขึ้น”
หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดทําความสะอาด เก็บของใช้ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าในถึงวัตถุประสงค์และความจําเป็นของการดูดเสมหะ
พูดให้กําลังใจก่อนเดินออกจากเตียงผู้ป่วย
แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน บ่งบอกถึงความเป็นมิตร และช่วยลดภาวะตื่นกลัว
การเก็บเสมหะ
การเก็บเสมหะส่งตรวจ (Sputum examination)
มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งวิเคราะห์โรค วิธีเก็บเสมหะส่งตรวจ ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึก ๆ แล้วไอออกมา
การตรวจเสมหะแบบเพาะเชื้อ (Sputum culture)
กรณีผู้ป่วยไอขับเสมหะได้เอง ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆ แล้วไอออกมา เพื่อให้ได้เสมหะแล้วบ้วนลง ภาชนะสะอาดปราศจากเชื้อ
ภาชนะเก็บเสมหะส่งตรวจ
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
ข้อควรปฏิบัติและต้องคํานึงถึง
อาจเกิดการทําลายเนื้อเยื่อในปอด ออกซิเจนจะก่อพิษในปอดได้หากได้รับในระยะเวลานาน คือ 24 - 48 ชั่วโมง และความเข้มข้นของก๊าซ มากกว่าร้อยละ 60
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา (retrolental fibroplasias) คือ การได้รับออกซิเจนความเข้มข้น สูงเป็นระยะเวลานาน ๆ
อาจทําให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากออกซิเจนเป็นก๊าซ แห้ง เมื่อผ่านเข้าในระบบทางเดินหายใจจะทําให้เยื่อบุแห้ง
อาจเกิดการหยุดหายใจ ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน การให้ออกซิเจนอุปกรณ์ที่ใช้มีโอกาสก่อให้เกิดการติดเชื้อ ได้
าจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด เพราะการสันดาป (combustion) เป็น ขบวนการที่เชื้อเพลิงทําปฏิกิริยากับออกซิเจนจนเกิดเป็น Oxide มีความร้อนและพลังงาน เกิดขึ้น
หลักปฏิบัติในการพยาบาลให้ออกซิเจนจากอุปกรณ์ชนิดต่าง ๆ
หมุนปุ่มเปิด flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนทิ้งไว้ 1 - 2 นาที เพื่อทดสอบว่า มีออกซิเจนไหลผ่าน และได้ปริมาณตามแผนการรักษาทุกครั้งก่อนสวมอุปกรณ์ให้ผู้ป่วย
กรณีให้ nasal cannula ให้ปฏิบัติ
ทําความสะอาดช่องจมูกทั้งสองข้าง และทุก 8 ชั่วโมงเพื่อให้ช่องจมูกโล่ง ทําให้ได้รับ ออกซิเจนปริมาณถูกต้อง
สวมเขี้ยวเข้าในช่องจมูกทั้ง 2 ข้างโดยให้ส่วนโค้งแนบไปกับโพรงจมูก คล้องสายกับใบหู 2 ข้าง ปรับสายให้พอดีไว้ใต้คาง หรืออ้อมรอบศีรษะ เพื่อให้อยู่ในตําแหน่งป้องกันเลื่อนหลุด
ปรับระดับลูกลอยใน flow meter จะได้ปริมาณของออกซิเจนมีหน่วยเป็นลิตรต่อนาทีตามที่ ต้องการ สวมท่อสายยางของอุปกรณ์ให้ออกซิเจน กับท่อ flow meter
กรณีให้ mask ให้ปฏิบัติ
simple mask ครอบหน้ากากบริเวณสันจมูกและปากให้แนบสนิท ปรับสายคล้องทัด เหนือใบหูรอบศีรษะ จัดให้พอดีป้องกันการรั่วของออกซิเจน
ชนิดมีถุง เปิดออกซิเจนไหลผ่านถุง 10 -20 ลิตร/ นาที จนถุงโป่งเต็มที่เพื่อไล่ก๊าซอื่นที่ ค้างในถุงออกรวมทั้งทดสอบถุงไม่รั่วแล้วจึงใส่เหมือน simple mask
ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อ ให้ระดับน้ำอยู่ตรงตําแหน่งขีดที่กําหนดข้าง
กระบอกป้องกันไม่ให้ flow meter เสียหรือน้อยกว่าขีด ออกซิเจนต้องผ่านความชื้นจะไม่ทําให้ระคายเคือง
ลงบันทึกทางการพยาบาล ได้แก่ อาการ สัญญาณชีพ ปริมาณออกซิเจนที่ให้อุปกรณ์ที่ใช้ และปฏิกิริยาผู้ป่วยเมื่อได้รับออกซิเจน
ใส่ flow meter กับแหล่งที่มาของออกซิเจนที่มาจากชนิดผนัง (wall type) จากถังใช้ highpressure gas regulator ให้ถูกต้องและแน่นพอดี
กรณีให้ oxygen hood (Oxygen box) ให้ปฏิบัติ
ต่อท่อออกซิเจนเข้ากับกล่อง
วางครอบเฉพาะศีรษะและไหล่ ระวังไม่ให้สายอยู่ใกล้หน้าเด็ก ให้ออกซิเจนในปริมาณ พอเพียงและไม่ให้ออกซิเจนระคายเคืองตาเด็ก
ประเมินสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัว เพื่อประเมินอาการผู้ป่วย
กรณีให้ T- piece ให้ปฏิบัติ
ควรดูดเสมหะออกก่อนเพื่อให้ออกซิเจนไหลผ่านหลอดลมคอได้สะดวก
ต่อสาย T - piece ครอบท่อหลอดลมคอ จัดสายไม่ให้เกิดภาวะดึงรั้งกรณีผู้ป่วยที่ได้รับ ยาในรูปการสูดละอองยาเข้าทางเดินหายใจโดยตรง (aerosol therapy)
ล้างมือให้สะอาด สวมmask เพื่อป้องกันการนําเชื้อเข้าสู่ผู้ป่วย
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การวางแผนการพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
ประเมินผลคุณภาพการบริการ