Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ, %e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%81…
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
อาการไอ (Cough)
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ
ไอมีเสมหะ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ประเมินประสิทธิภาพการไอ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่ และระยะเวลาของการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจ านวน ลักษณะ สี และกลิ่นของเสมหะด้วย
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม
กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ และมากๆ
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ (effective cough)
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
สาเหตุของการไอ
ฝุุน ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน - เย็นของอากาศ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ
Hemoptysis
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดปนออกมา
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่าๆ ปนออกมาด้วย
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อุบัติเหตุ
การอักเสบ
เนื้องอก และมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่างๆ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด และต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือด
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation)
Hiccup
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม
สาเหตุของอาการสะอึก
ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส (Carbonate)
ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่จัด
กินอิ่มมากเกินไป
มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
Dyspnea
สาเหตุของการหายใจลำบาก
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทำงานของหัวใจไม่ดี
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทำลาย
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ ประเมินสัญญาณชีพ
เตรียมอุปกรณ์สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วย
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer)
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ
Chest pain
ลักษณะและสาเหตุ
สาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
เจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบ
เจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึก ๆ หรือเวลาไอ
สาเหตุจาก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ
เจ็บตลอดเวลา
มักเจ็บตรงที่มีอาการอักเสบ และเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึกๆ หรือเวลาไอ
สาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่ และเจ็บเมื่อใช้มือกดที่บริเวณนั้น
สาเหตุจากหัวใจ
มีอาการแน่นหน้าอกบริเวณกระดูก sternum
เจ็บหรือปวดมากเมื่อเวลาออกกำลังกาย
สาเหตุจากหลอดลมอักเสบ
อาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูกอาจเจ็บตลอดเวลา
เจ็บมากเมื่อเวลาไอ
สาเหตุจากเส้นประสาท
ปวดร้าวไปตามแขนงของประสาท intercostal nerve
ปวดตลอดเวลา พบในโรคงูสวัด (herpes zoster)
เช่น โรครากประสาทสันหลัง (posterior nerveroot)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
สังเกตอาการ
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า
อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจน
และพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ปุวย
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกาย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ระบบประสาทส่วนกลาง
ระบบทางเดินหายใจ
ระบบผิวหนัง
ใช้เทคนิคการสังเกต และการประเมินสัญญาณชีพ
ระบบทางเดินอาหาร
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation)
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG)
ปัจจัยที่มีผลตอการได้รับออกซิเจนของบุคคล
ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
ความเครียด
อาหารที่มีไขมันมาก
การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนักๆ
ผู้สูงอายุ
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง
การสูบบุหรี่
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น (increased fatigue)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง (decreased level of consciousness)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
ระดับการมีสมาธิลดลง (decreased ability to concentrate)
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น (increase pulse rate)
วิตกกังวล (anxiety) กระสับกระส่าย (restlessness)
ช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึกต่อมาจะเปลี่ยนเป็นหายใจสั้นและตื้น
ความดันโลหิตลดลง (blood pressure will decrease)
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ (cardiac dysthymias)
มีอาการเขียวคล้ำ (cyanosis)
มีภาวะซีด (pallor)
ขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุูม (clubbing)
อาการหายใจลำบาก (dyspnea)
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ
และระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจน
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด
มีภาวะPaO2 < 60 mmHg
SaO2 < 90 % เมื่อหายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง (severe trauma)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน
(acute myocardial infarction: MI)
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้นๆ ในการทำผ่าตัด
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ปุวยที่ได้รับพิษจาก paraquat
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจน
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis)ออกซิเจนเป็นพิษ (oxygen toxicity)
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบ nebulizer
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
แนะนำ อธิบายให้ผู้ป่วยรู้จักเครื่องมือต่างๆได้ง่าย
ดูแลควบคุมอัตราการไหของออกซิเจนให้เพียงพอ
พยาบาลควรมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือ
สนใจ รับฟังความต้องการของผู้ป่วยอย่างจิงจัง
บอกประโยชน์ของการได้รับออกซิเจน
ให้เวลาผู้ป่วยในการพูดคุย สัมผัสผู้ป่วยบ้างและรีบไปดูแลทันที
เมื่อผู้ป่วยขอความช่วยเหลือ
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ
(Clear air way)
ดูดเสมหะที่ค้างตามท่าทางเดินหายใจเป็นระยะๆ
สอนการไออย่างถูกวิธี
การจัดท่านอน ท่านั่ง ให้ผู้ปุวยรู้สึกสบาย
กระตุ้นให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ
หรือ ทุก 2 - 3 ชั่วโมง
ทาริมฝีปากด้วย กลีเซอรีน บอแรกซ์
ทำความสะอาดช่องจมูก
ถ้าเจ็บคอ ให้ล้างปากด้วยน้ำยา หรือบ้วนด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆ
ดูแลความสะอาดบริเวณหน้า โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับ Oxygen mask
ให้จิบน้ำบ่อยๆ
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ตรวจดูสายยาง
ขวดทำความชื้นมีน้ำอยู่พอเหมาะ
ออกซิเจนไม่รั่วจากขวดทำน้ำกลั่นที่ทำความชื้น
ต้องให้มีออกซิเจนอยู่เสมอ
เปลี่ยนและนำอุปกรณ์การใช้ออกซิเจน ไปทำความสะอาดและทำให้ปลอดเชื้อ
ถ้าให้ออกซิเจนจากระบบ pipeline ที่มีรูเปิด (outlet)
สำหรับเสียบ flow meterจะต้องดูให้ flow meter เสียบเข้าที
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
ระดับความรู้สึกตัว
วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง (Tridal Volume)
ความผิดปกติของสีผิว
ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซิเจน (Blood gas)
วัดสัญญาณชีพ
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
ความดันออกซิเจน
ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
การหมุนเวียน
เพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
กลไกการขนส่ง
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ำ
การทำงานของเม็ดเลือดแดง
มีหน้าที่ขนส่งก๊าซ
เซลล์เม็ดเลือดแดง จะมีส่วนประกอบที่เป็น
Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) อยู่ถึง 97 %
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
ข้อควรปฏิบัติและต้องคำนึงถึง
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา (retrolental fibroplasias)
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้
อาจเกิดการหยุดหายใจ ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน
อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด
หลักปฏิบัติในการให้ออกซิเจนชนิดต่างๆ
ใส่ flow meter
ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อ
ประเมินสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัว
ปรับระดับลูกลอยใน flow meterหมุนปุุมเปิด flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจน
ล้างมือให้สะอาด สวมmask
ให้ nasal cannula
ให้ mask
ให้ oxygen hood (oxygen box)
ให้ T- piece
ลงบันทึกทางการพยาบาล
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนในเซลล์ต่ำ (hypoxia)
ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง
(highfowler’s position)
ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น
ทำให้ปอดขยายตัวเต็มที่
ผู้ป่วยที่หายใจลำบากทำให้นอนราบไม่ได้
ควรจัดท่า orthopnea position เป็นท่าศีรษะสูง
อยู่ในท่านั่งหรือฟุบหลับบนเก้าอี้โดยใช้หมอน 3 – 4 ใบ วางซ้อนกัน
ช่วยทำให้ช่องอกขยาย และทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขณะพักและนอนหลับได้
การบริหารการหายใจ
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม (diaphragmatic breathing)
วิธีการปฏิบัติ
แนะนำให้ผู้ป่วยหยุดหายใจช้าๆ
หลังหายใจเข้าลึกเต็มที่แล้ว
เป่าลมออกทางปากช้าๆ โดยการห่อปาก (purse – lips)
กระตุ้นให้ผู้ป่วยหดเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง
สอนผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก (ปิดปากให้สนิท)
อธิบายให้ผู้ป่วยเป่าลมออกทางปากช้าๆ
ช่วยเหลือผู้ป่วยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย
หลังจากฝึกปฏิบัติจนชำนาญแล้ว อาจใช้ของหนักประมาณ 5 ปอนด์วางบนหน้าท้อง
ตรวจดูให้แน่ใจว่าจมูก หลอดลม ไม่มีน้ำมูก หรือเสมหะ และไม่มีอาการบวมคั่ง
ถ้ามีให้พ่นละอองไอน้ำ ดูดเสมหะออก กระตุ้นให้ผู้ป่วยไอ
ให้ผู้ป่วยฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม
การหายใจโดยการห่อปาก (pursed - lip breathing)
วิธีการปฏิบัติ
แนะนำผู้ป่วยให้หายใจออกทางปากช้าๆ โดยการห่อปาก
อธิบายให้ผู้ป่วยตั้งใจเป่าลมออกทางปากช้า ๆ
แนะนำผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก
ฝึกการหายใจ 5-10 นาที วันละ 4 ครั้ง
ช่วยเหลือผู้ป่วยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย
ถ้าผู้ป่วยฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย
ช่วยลดการคั่งของอากาศในถุงลม
การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing)
วิธีการปฏิบัติ
รวบตรึงบริเวณผ่าตัดด้วยหมอน
แนะนำให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ
ดท่าให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึก ๆ และไอได้สะดวก
แนะนำผู้ป่วยให้กลั้นหายใจและไอออกแรงๆ
เตรียมกระดาษเยื่อและชามรูปไต หรือกระโถนให้ผู้ป่วย
วิธีการปฏิบัติ
จัดท่าให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนในท่าศีรษะสูง (fowler’s position)
ให้ผู้ป่วย อม mouthpiece และสูดหายใจเข้า
ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ แล้วกลั้นหายใจไว้ประมาณ 3 – 6 วินาที
การให้ยาขยายหลอดลม
การให้ยาขยายหลอดลมชนิด
Metered – Dose Inhaler (MDI)
การให้ยาขยายหลอดลมโดยผ่านออกซิเจนละอองฝอย (oxygen nebulizer)
การดูดเสมหะ (suction)
การช่วยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
จัดท่านอนให้เหมาะสม
กระตุ้นให้ไอบ่อยๆ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ
ทำการดูดเสมหะออก
การทำ postural drainage
การเพิ่มความสามารถในการขยายตัวของทรวงอกและปอด
การเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่เข้าปอด
การลดความต้องการปริมาณออกซิเจนในร่างกาย
การผ่อนคลายความวิตกกังวล
วิธีการดูดเสมหะ
การดูดเสมหะทางจมูก (Nasopharygeal) หรือปาก (oropharyngeal suction)
การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ (Endotracheal)
หรือทางท่อหลอดคอ (tracheostomy suction)
การประเมินสภาพผู้ป่วย
สังเกตแบบแผนและลักษณะการหายใจ
ฟังเสียงปอดได้ยินเสียงเสมหะ
สังเกตอาการเหนื่อย หายใจลำบาก
สังเกตลักษณะสีผิว เล็บ และริมฝีปาก มีอาการ cyanosis
สังเกตอาการซึมลงของผู้ป่วย
ประเมินอาการไอ
สังเกตลักษณะเสมหะ เหนียว และมีจำนวนมาก
สังเกตอาการอาเจียนหรือขย้อนอาหารอยู่ในปาก
การเตรียมเครื่องใช้สำหรับการดูดเสมหะทางปาก
oral airway หรือ nasal airway
เครื่องดูดเสมหะ
สายหล่อลื่นหรือน้ำกลั่น
สายดูดเสมหะที่สะอาดปราศจากเชื้อ ตามขนาดผู้ป่วย
ท่อต่อ (connector) ใช้ต่อสายดูดเสมหะกับเครื่องดูดเสมหะ
ขวดน้ำเกลือใช้ภายนอก (normal saline external use) ขนาด1000 ซีซี
ถุงมือสะอาด
ไม้กดลิ้นที่สะอาด
วิธีการปฏิบัติการดูดเสมหะทางปาก
จัดท่าผู้ป่วยให้นอนตะแคงศีรษะต่ำเล็กน้อย
หยิบสายดูดเสมหะต่อกับเครื่องดูดเสมหะแล้ว
ล้างมือให้สะอาด ใส่maskสวมถุงมือ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปื้อนเสมหะ
ให้ผู้ป่วยช่วยอ้าปาก กรณีไม่รู้ตัวใช้ไม้กดลิ้นช่วยในการอ้าปากผู้ป่วย
อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจ
ขณะทำการดูดเสมหะ พบว่า ดูดไม่ขึ้นหรือดูดไม่ออกให้หยุดทำการดูดเสมหะไว้ก่อน
การดูดเสมหะแต่ละครั้งไม่ควรนานเกิน 10 วินาที
ล้างสายดูดโดยการดูดผ่านน้ำเกลือใช้ภายนอก
เช็ดทำความสะอาดบริเวณที่มีน้ำเปียก
ถอดสายดูดเสมหะ เก็บของให้เข้าที่เรียบร้อย ถอดถุงมือออกทิ้ง
อาการแทรกซ้อน
เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ
อาจเกิดการส าลักจากการกระตุ้น gag reflex
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
ริมฝีปากแห้งเกิดเป็นแผลได้ง่าย
เกิดแผล
อาจเกิดความผิดปกติในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และเกิดภาวะความดันในสมองสูง
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ ขณะ/ และหลังการดูดเสมหะ
ทำการดูดเสมหะด้วยความเบามือ และนุ่มนวล
หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดทำความสะอาด เก็บของใช้ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
อกให้ผู้ป่วยทราบก่อน
แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าจะมีการหายใจลำบากในขณะดูด แต่จะดีขึ้นภายหลัง
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าในถึงวัตถุประสงค์และความจำเป็นของการดูดเสมหะ
พูดให้กำลังใจก่อนเดินออกจากเตียงผู้ป่วย
การเก็บเสมหะ
การเก็บเสมหะส่งตรวจ (Sputum examination)
การตรวจเสมหะแบบเพาะเชื้อ (Sputum culture)