Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
7.1 ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
การแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดขึ้นได้อย่างไร
ความดันออกซิเจน ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
การหมุนเวียน เพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
การทำงานของเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ขนส่งก๊าซ
7.2 ปัจจัยที่มีผลตอการไดรับออกซิเจนของบุคคล
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง ทำให้ร่างกายได้ออกซิเจนน้อยกว่าปกติ
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในขบวนการขจัดสารพิษ
การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก ๆ อาจให้ทำให้ได้รับ ออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ
ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
5.เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้ ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
ผู้สูงอายุ ทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
การสูบบุหรี่ ส่งผลให้เกิดอาการพร่องออกซิเจนเป็นมากขึ้น
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ ส่งผลต่อระบบสมองทำให้ได้รับออกซิเจนน้อยลง ระบบหัวใจและหลอดเลือดมีการสูบฉีดเลือดลดลง
7.3 การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
7.3.1 การประเมินสภาพร่างกาย
3) ระบบประสาทส่วนกลาง
4) ระบบผิวหนัง
2) ระบบหัวใจและหลอดเลือด
5) ระบบทางเดินอาหาร
1) ระบบทางเดินหายใจ
7.3.2 การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1) ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG)
2) ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation)
3) การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
7.4 สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
7.4.1 อาการไอ (Cough)
สาเหตุของการไอ
ฝุุน ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน - เย็นของอากาศ จะทำให้การไอมากขึ้น
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ
ไอมีเสมหะ
7.4.2 Hemoptysis อาการไอเป็นเลือด
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดปนออกมา คือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคมะเร็งของหลอดลม หรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือมะเร็งหลอดลม
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่า ๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
การอักเสบ
เนื้องอก และมะเร็ง
อุบัติเหตุ
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่าง ๆ
อาการไอ
อาการไอเป็นเลือด
ไม่มีฟองปน
มีประวัติเป็นโรคกระเพาะอาหาร
มีฤทธิ์เป็นกรด (ปนกับน้ำย่อย)
ไม่มีอาการเจ็บหน้าอก
สีคล้ำ
อาการอาเจียนเป็นเลือด
มีฟองปน
มีประวัติเป็นโรคปอด
มีฤทธิ์เป็นด่าง
มีอาการเจ็บหน้าอกร่วมด้วย
สีแดงสด
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ประเมินสัญญาณชีพ
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด
4.พยาบาลต้องคอยปลอบโยน ให้กำลังใจ และให้การดูแลจนผู้ปุวยควบคุมตนเองได
7.4.3 Hiccup การสะอึก
สาเหตุของอาการสะอึก
มีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบ บ่อย เช่น กินอิ่มมากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูบบุหรี่จัด หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
การสะอึกต่อเนื่อง หรือ อาการสะอึกที่ควบคุมรักษายาก มักเป็นอาการสะอึกที่เกิดจากพยาธิสภาพของโรค โดยโรคที่พบบ่อย เช่น โรคทางสมอง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม
7.4.4 Dyspnea อาการหายใจลำบาก
สาเหตุของการหายใจลำบาก
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทำงานของหัวใจไม่ดี
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทำลาย เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ปุวยฉุกเฉิน
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย
ดูแลให้ผู้ปุวยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ฝึกให้ผู้ปุวยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ
7.4.5 Chest pain อาการเจ็บหน้าอก
ลัักษณะแตกต่างกัน
กล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่ และเจ็บเมื่อใช้มือ
กดที่บริเวณนั้น
สาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบ และ
มักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึก ๆ หรือเวลาไอ ทำให้ผู้ปุวยต้องหายใจตื้น ๆ
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บตลอดเวลา อาจมีลักษณะในข้อ 2 ร่วมด้วย ถ้าการอักเสบลุกลามถึงเยื่อหุ้มปอด
สาเหตุจากหัวใจ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณกระดูก sternum โดยเฉพาะจะเจ็บหรือปวดมากเมื่อเวลา
ออกก าลังกาย
สาเหตุจากหลอดลมอักเสบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูก
อาจเจ็บตลอดเวลา และเจ็บมากเมื่อเวลาไอ
สาเหตุจากเส้นประสาท จะปวดร้าวไปตามแขนงของประสาท intercostal nerve ซึ่งอยู่ตามแนวกระดูกซี่โครง และปวด
ตลอดเวลา พบในโรคงูสวัด (herpes zoster) เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ปุวย
สังเกตอาการ
7.5 บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา (Oxygen therapy)
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
1.วิตกกังวล (anxiety) กระสับกระส่าย (restlessness)
ระดับการมีสมาธิลดลง
ระดับความรู้สึกตัวลดลง
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก
ความดันโลหิตลดลง
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
มีภาวะซีด
มีอาการเขียวคล้า
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุู่ม
อาการหายใจลำบาก
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ปุวยโรคถุงลมโป่งฟอง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการทำผ่าตัด
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ปุวยที่ได้รับพิษจาก paraquat
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ำที่สุด
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ ออกซิเจนเป็นพิษ หรือกดการทำงานของ cilia ที่กำลังพัดโบกกำจัดสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจน
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทำให้ขบวนการติดไฟเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ(Clear air way)
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก 2 - 3 ชั่วโมง
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาต
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
7.6 เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่าง ๆ
ระบบการให้ออกซิเจน
1) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ
(1) การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว หรือ nasal prongs
ข้อดี ผู้ปุวยสามารถดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องปลดสายออก ไม่ค่อยรู้สึกอึดอัดหรือรำคาญมากนัก และติดต่อสารกับผู้อื่นได้สะดวก
ข้อเสีย อาจมีการระคายเคืองช่องจมูกทั้งสองข้าง ทำให้เยื่อบุจมูกบวมและมีน้ ามูกออกมาอุดทำให้ท่อตันได
(2) การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก (mask)
2) Reservoir bag (partial rebreathing mask)
3) Non rebreathing mask
1) Simple mask
2) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง
(3) การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent
(4) การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box
(2) การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม (tracheostomy collar)
(5) การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube: ET)
(1) การให้ออกซิเจนชนิดT- piece
ระบบให้ความชื้น
แบ่งออกเป็น
1) ชนิดละอองโต (Bubble)
2) ชนิดละอองฝอย (Jet)
แหล่งให้ออกซิเจน
1) ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank)
2) ระบบท่อ (Oxygen pipeline)
ภาวะบ่งชี้ในการรักษาด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง
โลหิตจางเนื่องจากเสียเลือดจ านวนมาก
การติดเชื้อและมีการตายของเนื้อเยื่อ
โรคแผลเรื้อรัง
การติดเชื้อเรื้อรังของเยื่อหุ้มกระดูก
โรคที่เกิดจากความดัน เช่น อากาศ หรือน้ำ
การปลูกถ่ายผิวหนังและกล้ามเนื้อ
การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อเนื่องจากการถูกบดขยี
การได้รับบาดเจ็บจากรังส
การติดเชื้อของเนื้อเยื่อจากแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน
แผลไหม้จากความร้อน
โรคคาร์บอนมอนน็อคไซด์เป็นพิษ/ การส าลักควันไฟ
โรคฝีในสมอง
โรคฟองแก๊สอุดตันในหลอดเลือดแดง
ชนิดและลักษณะของห้องปรับบรรยากาศ
สามารถจุผู้ปุวยนอนได้ครั้งละ 1 คน เท่านั้น
ผู้ป่วยสามารถผ่อนคลาย นอนพัก หรืดูโทรทัศน์ ขณะเข้ารับการรักษา
สามารถทนความกดบรรยากาศได้สูงสุด 3 บรรยากาศ
เพิ่มความกดบรรยากาศด้วยออกซิเจนผู้ป่วยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยในการหายใจ
ลักษณะคล้ายหลอดแก้วใหญ่ทำด้วยพลาสติกอะครีลิค ใส ขนาด 0.7 X 2.2 เมตร
มีระบบสื่อสาร ผู้ป่วยสามารถพูดคุยติดต่อกับบุคคลภายนอกได้ขณะเข้ารับการรักษา
7.6 บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
7.6.1 การจัดท่าผู้ป่วย
ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง ในท่านี้จะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น โดยกระบังลมจะหย่อนลง ท าให้ปอดขยายตัวเต็มที่และมีปริมาณอากาศเพิ่มมากขึ้น
7.6.2 การบริหารการหายใจ
1) การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม (diaphragmatic breathing)
สามารถทำได้ในผู้ปุวยที่มีความผิดปกติของการหายใจเรื้อรังและ เฉียบพลัน
2) การหายใจโดยการห่อปาก (pursed - lip breathing)
การหายใจวิธีนี้จะช่วยลดการคั่งของอากาศในถุงลม โดยการรักษาความดันบวกในการหายใจ ท าให้หลอดลมขยายตัวนานกว่าปกติ ช่วยให้ อากาศออกจากถุงลมปอดได้มากขึ้น
7.6.3 การดูดเสมหะ (suction)
วัตถุประสงค์
การเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่เข้าปอด
การลดความต้องการปริมาณออกซิเจนในร่างกาย เมื่อการเผาผลาญสารอาหารภายในเซลล์มากขึ้นร่างกายจะต้องการออกซิเจนมากขึ้น
การเพิ่มความสามารถในการขยายตัวของทรวงอกและปอด
การผ่อนคลายความวิตกกังวล
การช่วยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
วิธีการดูดเสมหะ
การดูดเสมหะทางจมูก หรือปาก
การดูดเสมหะทางช่องช่วยหายใจ หรือท่อทางหลอด
อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการดูดเสมหะ
เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ ในขณะดูดเสมหะ
อาจเกิดการสำลักจากการกระตุ้น gag reflex หรือจัดท่าผู้ปุวยไม่ถูกต้อง
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
ริมฝีปากแห้งเกิดเป็นแผลได้ง่าย
แรงกด หรือการระคายเคืองบริเวณรูจมูกและริมฝีปากอาจทำให้เกิดแผล
อาจเกิดความผิดปกติในผู้ปุวยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และเกิดภาวะความดันชในสมองสูง
การเก็บเสมหะ
การเก็บเสมหะส่งตรวจ (Sputum examination)
การตรวจเสมหะแบบเพาะเชื้อ (Sputum culture)
7.7 ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
ข้อควรปฏิบัติและต้องค านึงถึง
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา มีผลทำให้ปิดกั้นลำแสงที่พุ่งตรงไปจอตา
จึงเกิดความผิดปกติในการเห็น อาการพิษชนิดนี้มักพบได้ในทารกคลอดก่อนกำหนด
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากออกซิเจนเป็นก๊าซแห้ง การปูองกันทำได้โดยต้องให้ออกซิเจนผ่านน้ำเสมอก่อนเข้าสู่ผู้ป่วย
อาจเกิดการหยุดหายใจ ในผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน การให้ออกซิเจนอุปกรณ์ที่ใช้มีโอกาสก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ เช่น น้ ากลั่นในขวด humidifier สายที่น้ำออกซิเจนมาสู่ผู้ปุวย เป็นต้น
อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด
7.8 กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
เกณฑ์การประเมินผล
การวางแผน
วัตถุประสงค์
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
5.2 ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
1) ประเมินการปฏิบัติถูกต้องครบและเป็นไปตามขั้นตอนของการปฏิบัติ
2) ประเมินการจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ครบถ้วนเพียงพอหรือไม่
5.3 ประเมินผลคุณภาพการบริการ
ประเมินคุณภาพของการให้บริการ ข้อ 5.2 และข้อ 5.3 ทุกข้อ อยู่ในระดับใด (โดยการให้คะแนนระดับดีมาก – ดี– ปานกลาง - ปรับปรุง)
5.1 ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล