Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ระบบทางเดินหายใจและกลไกการทำงาน
กลไกการหายใจของมนุษย์
การหายใจออก (Expiration)
จะเกิดขึ้นหลังจากการหายใจเข้า แล้วทำให้กล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครง มีการคลายตัว
การหายใจในระดับเซลล์
เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นระหว่างก๊าซออกซิเจนกับสารอาหาร ภายในเซลล์ทำให้เกิด (adenosine triphosphate: ATP) ขึ้นเพื่อไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น
การหายใจเข้า (Inspiration)
จะเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครงหดตัว
กลไกควบคุมการหายใจ
การควบคุมแบบอัตโนมัติ
ซึ่งเป็นการหายใจที่ไม่สามารถบังคับได้ โดยสมองส่วน pons และ medulla
การควบคุมภายใต้อำนาจจิตใจ
ซึ่งเป็นการหายใจที่สามารถบังคับได้ โดยสมองส่วนหน้า เรียกว่า cerebral cortex hypothalamus สมองส่วนหลัง เรียกว่า cerebellum
ระบบทางเดินหายใจจะผ่านอวัยวะหลายอย่าง ที่มีหน้าที่แตกต่างกันดังนี้
ฝาปิดกล่องเสียง ทำหน้าที่กันไม่ให้อาหารที่เรากลืนตกลงสู่ ระบบทางเดินหายใจ
กล่องเสียง ใช้ในการสร้างเสียง และเป็นทางเดินหายใจ
โพรงจมูกและช่องคอ ทำหน้าที่ เพิ่มอุณหภูมิ ดักจับเชื้อโรค และเพิ่มความชุ่มชื้นของอากาศ
หลอดคอ หลอดลม และ หลอดลมฝอย ทำหน้าที่ลำเลียงอากาศ ดักจับเชื้อโรค และกำจัดเชื้อโรค
จมูก ใช้เพื่อเป็นทางเข้าของอากาศ มีหน้าที่ในการดักจับฝุุนละออง และเพิ่มความชุ่มชื้นของอากาศ
ถุงลม ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส ระหว่างอากาศที่ลำเลียงมากับเส้นเลือดฝอยที่ล้อมรอบ
ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับออกซิเจนของบุคคล
ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาหารที่มีไขมันมาก จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้ ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
การเล่นกีฬาหรือออกก าลังกายหนัก ๆ ขณะออกกำลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติ อาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เป็นสาเหตุท าให้เหนื่อยเร็ว และอ่อนล้า
ผู้สูงอายุ ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ความเสื่อมเกิดขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง ภาวะดังกล่าวทำให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง การที่ร่างกายได้รับ สารพิษจากอากาศ
การสูบบุหรี่ มีผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ระบบ เช่น กล่องเสียง หลอดเลือดในสมอง ถุงลม และ ปอดทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง ภาวะดังกล่าวจะมีความหนาแน่นของอากาศลดลง มีผลให้ออกซิเจนมี ระดับต่ำกว่าปกติ
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ การดื่มในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกายเกิดผล เสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
Hiccup
สาเหตุของอาการสะอึก
ยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง มีก้อนในบริเวณลำคอ เช่น คอพอก อาจสัมพันธ์กับปัญหาทาง จิตใจ หรือ อารมณ์ เช่น ตื่นเต้น เครียด กังวล กลัว และซึมเศร้า
การสะอึกต่อเนื่อง หรือ อาการสะอึกที่ควบคุมรักษายาก มักเป็นอาการสะอึกที่เกิดจากพยาธิ สภาพของโรค โดยโรคที่พบบ่อย เช่น โรคทางสมอง
โดยทั่วไป อาการสะอึกเป็นอาการปกติทั่วไป ไม่ได้เกิดจากโรค โดยมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบ บ่อย เช่น กินอิ่มมากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ท าให้เกิดแก๊ส (Carbonate)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่น น้ ามะนาว เป็นต้น หรือดื่มน้ำเปล่า
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย เป็นต้น
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น เป็นต้น
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ถือแก้วน้ าแล้วหลุดออกจากมือขณะสะอึก หรือ ขณะรับประทานอาหารอาจสำลักได้ เป็นต้น
Dyspnea
สาเหตุของการหายใจลำบาก
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทำงานของหัวใจไม่ดี เนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจ ตายหรือลิ้นหัวใจรั่ว
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ท าให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ ผู้ป่วยที่หายใจลำบากอาจมีเสียง wheeze ร่วมด้วย
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทำลาย เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน เช่น การใส่ท่อช่วย หายใจ (endotracheal tube: ET) เป็นต้น
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม ทุก 1 - 2 ชั่วโมง
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer) เพื่อให้หายใจสะดวก
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดอาการหายใจลำบากโดยหายใจ ด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม (หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องแฟบ) หายใจออกทางปาก
Hemoptysis
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
การอักเสบ ท าให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ กล่องเสียง หลอดลมใหญ่ และ
ในเนื้อปอด
เนื้องอก และมะเร็ง
อุบัติเหตุ
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่าง ๆ ท าให้เกิดการไอเป็นเลือดได้ เช่น หลอด เลือดที่เลี้ยงปอดอุดตัน วัณโรค และปอดบวม เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรง ของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด และพยาบาลจะต้องเฝูาระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ให้ผู้ปุวยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ผู้ปุวยอาจตกใจมาก ท าให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation) พยาบาลต้องคอย ปลอบโยน ให้ก าลังใจ และให้การดูแลจนผู้ปุวยควบคุมตนเองได้ เพื่อช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและลดความ ตกใจ
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดปนออกมา คือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคมะเร็งของ หลอดลม หรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรค หลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือมะเร็งหลอดลม
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่า ๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
Chest pain
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากหัวใจ เช่น ภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจโคโรนารี (coronaryartery) ตีบแคบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณกระดูก
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากหลอดลมอักเสบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูก อาจเจ็บตลอดเวลา และเจ็บมากเมื่อเวลาไอ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจาก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บ ตลอดเวลา อาจมีลักษณะในข้อ 2 ร่วมด้วย ถ้าการอักเสบลุกลามถึงเยื่อหุ้มปอด
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากเส้นประสาท เช่น โรครากประสาทสันหลัง (posterior nerve root) จะปวดร้าวไปตามแขนงของประสาท intercostal nerve ซึ่งอยู่ตามแนวกระดูกซี่โครง และปวด ตลอดเวลา พบในโรคงูสวัด (herpes zoster) เป็นต้น
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบ และ มักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึก ๆ หรือเวลาไอ ท าให้ผู้ปุวยต้องหายใจตื้น ๆ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด ถ้าเป็นอาการเจ็บ หน้าอกจากหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial infarction) จะมีอันตรายกว่าการเจ็บหน้าอกจาก ระบบหายใจมาก
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ปุวย
สังเกตอาการ ถ้าผู้ปุวยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะน าให้นอนตะแคงทับด้านที่ เป็น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น อาจต้องให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่ และเจ็บเมื่อใช้มือ กดที่บริเวณนั้น
อาการไอ (Cough)
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ เช่น ไอเนื่องจากมีฝุุนละอองมาก เป็นต้น
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนอง มักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ เช่น โรคปอด บวม และวัณโรคปอด เป็นต้น และเสมหะที่ไม่เป็นหนอง เช่น โรคหอบหืด เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจ านวน ลักษณะ สี และกลิ่นของเสมหะด้วย
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่ และระยะเวลาของการไอ
กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ และปริมาณมาก เพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
ประเมินประสิทธิภาพการไอ ลักษณะไอแห้ง ๆ หรือไอแบบมีเสมหะ โดยการฟังเสียงไอ
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่าย จากการ เปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ (effective cough) โดยการให้ผู้ปุวยนั่งหรือนอนยกศีรษะ สูง (Fowler’s position) และหายใจเข้าลึก ๆ เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง กลั้นหายใจสักครู่
สาเหตุของการไอ
ฝุุน ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน - เย็นของอากาศ จะทำให้การไอมากขึ้น
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ มีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจาก ไข้หวัด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง และถ้าไอมากกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากหลอดลม อักเสบ จมูกและไซนัสอักเสบเรื้อรัง หอบหืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดอักเสบเรื้อรัง จากการติดเชื้อ หรือ มะเร็งหลอดลม
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่าง ๆ
ระบบให้ความชื้น (Humidification)
ชนิดละอองโต (Bubble)
ให้ความชื้นในส่วนต้นของทางเดินหายใจ 30 – 40 % สายให้ก๊าซมีขนาดเล็ก น้ าจะปุดเป็นฟองเมื่อ เปิดให้กับผู้ปุวย มักใช้กับ oxygen cannula, simple face mask, และ partial rebreathing mask
ชนิดละอองฝอย (Jet)
ให้ความชื้นในทางเดินหายใจที่อยู่ลึกเหมาะกับผู้ปุวยที่มีเสมหะเหนียว มักเห็นเป็นหมอก สายให้ ออกซิเจนมักมีขนาดใหญ่และเป็นลูกฟูก (corrugated) ได้แก่ croupette tent, oxygen box (hood) , T- piece, และtracheostomy collar
แหล่งให้ออกซิเจน (Oxygen source)
ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank)
ระบบท่อ (Oxygen pipeline)
ระบบการให้ออกซิเจน
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ (Low flow system)
การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula) หรือ nasal prongs
ข้อดี ผู้ปุวยสามารถดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องปลดสายออก ไม่ค่อยรู้สึก อึดอัดหรือร าคาญมากนัก และติดต่อสารกับผู้อื่นได้สะดวก
ข้อเสีย อาจมีการระคายเคืองช่องจมูกทั้งสองข้าง ทำให้เยื่อบุจมูกบวมและมีน้ำมูกออกมาอุดทำ ให้ท่อตันได้ จึงควรทำความสะอาดท่อและรูจมูกทุก 8 ชั่วโมง และปรับสายรัดรอบศีรษะของผู้ปุวยให้ พอเหมาะปรับอัตราไหลของออกซิเจน และเฝูาระวังการเกิดแผลกดทับบริเวณใบหูที่กดกับสายยาง
เป็นการให้ออกซิเจนทางจมูก วิธีนี้ผู้ปุวยจะได้รับออกซิเจนที่มีความเข้มข้นต่ำ ซึ่งจะได้ ออกซิเจนร้อยละ 30 – 40 ในขณะที่ปรับอัตราการไหลของออกซิเจน 4 – 6 ลิตร/ นาที
การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก (mask)
Reservoir bag (partial rebreathing mask)
ให้ความเข้มข้นสูงกว่าร้อยละ 60– 90 ซึ่งสูงกว่าชนิดไม่มีถุงชนิดนี้ ออกซิเจนจากเครื่องจะไหลเข้าถุง
Non rebreathing mask
ลักษณะคล้าย partial rebreathing ยกเว้นรูระบาย อากาศส่วนหน้ากากลักษณะเป็นลิ้นไหลทางเดียว (unidirectional valve) ทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้อากาศไหลออกสู่ ภายนอกอย่างเดียวไหลเข้าไม่ได้
Simple mask
เป็นชนิดที่ให้ออกซิเจนความเข้มข้นร้อยละ 40-50 การปรับอัตรา ไหลของออกซิเจน 5 – 8 ลิตร/ นาที
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system)
การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent
การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box
การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม (tracheostomy collar)
การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube: ET)
การให้ออกซิเจนชนิดT- piece
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
เป็นบทบาทของพยาบาลในการให้การพยาบาลเพื่อให้ผู้ปุวยได้รับความปลอดภัยขณะได้รับออกซิเจน โดยมีข้อควรปฏิบัติและต้องค านึงถึง
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด ออกซิเจนจะก่อพิษในปอดได้หากได้รับในระยะเวลานาน คือ 24 – 48 ชั่วโมง และความเข้มข้นของก๊าซ
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา (retrolental fibroplasias) คือ การได้รับออกซิเจนความเข้มข้น สูงเป็นระยะเวลานาน ๆ จะเกิดกับหลอดเลือดหลังเลนส์เปลี่ยนแปลง
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากออกซิเจนเป็นก๊าซ แห้ง เมื่อผ่านเข้าในระบบทางเดินหายใจจะทำให้เยื่อบุแห้ง
อาจเกิดการหยุดหายใจ ในผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ศูนย์การหายใจจะไม่เป็นตัวควบคุม การหายใจ แต่ใช้ chemoreceptor reflex เป็นตัวควบคุมแทน
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน การให้ออกซิเจนอุปกรณ์ที่ใช้มีโอกาสก่อให้เกิดการติดเชื้อ ได้
อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด เพราะการสันดาป (combustion) เป็น ขบวนการที่เชื้อเพลิงทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนเกิดเป็น oxide มีความร้อนและพลังงาน เกิดขึ้น
หลักปฏิบัติในการให้ออกซิเจนชนิดต่าง ๆ
ใส่ flow meter กับแหล่งที่มาของออกซิเจนที่มาจากชนิดผนัง (wall type) จากถังใช้ highpressure gas regulator ให้ถูกต้องและแน่นพอดี
ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อ ให้ระดบัน้ าอยู่ตรงตำแหน่งขีดที่กำหนดข้าง กระบอกปูองกันไม่ให้ flow meter เสียหรือน้อยกว่าขีด ออกซิเจนต้องผ่านความชื้นจะไม่ทำให้ระคายเคือง เยื่อเมือกใน ช่องจมูกและคอ
ประเมินสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัว เพื่อประเมินอาการผู้ป่วย
ปรับระดับลูกลอยใน flow meter จะได้ปริมาณของออกซิเจนมีหน่วยเป็นลิตรต่อนาทีตามที่ ต้องการ สวมท่อสายยางของอุปกรณ์ให้ออกซิเจน กับท่อ flow meter
ล้างมือให้สะอาด สวมmask เพื่อป้องกันการนำเชื้อเข้าสู่ผู้ป่วย
หมุนปุุมเปิด flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนทิ้งไว้ 1 – 2 นาที เพื่อทดสอบว่า มีออกซิเจนไหลผ่าน และได้ปริมาณตามแผนการรักษาทุกครั้งก่อนสวมอุปกรณ์ให้ผู้ป่วย
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย การแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดขึ้นได้อย่างไร?
การทำงานของเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ขนส่งก๊าซ เม็ดเลือดแดง เป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน
ความดันออกซิเจน ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
การหมุนเวียน เพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ า เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก (H2CO3) และแตกตัว เป็นไฮโดรเจนไออน (H+) กับไบคาร์บอเนต (HCO3)
สรุป การแลกเปลี่ยนก๊าซโดยรวมเกิดจาก ความดันออกซิเจน และ คาร์บอนไดออกไซด์ ที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดการถ่ายเทก๊าซจากที่ความเข้มข้นสูงสู่ที่ต่ ากว่า โดยมีระบบหมุนเวียนเลือดที่มีเม็ดเลือดแดงเป็นตัว นำพา
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
ตัวอย่าง
หญิงไทยสูงอายุ 90 ปี ปุวยเป็นโรคชราและความจำเสื่อม ช่วยเหลือตนเองได้น้อยมาก นอนติด เตียง (bed redden) ให้ออกซิเจน cannula 2 lit/min มีเสมหะใสไอออกได้เอง จงประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยรายนี้
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีพบอาการของภาวะพร่องออกซิเจน เช่น หายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้า เขียว และค่า O2 sat ≥ 95%
อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16-24 ครั้ง/ นาที ลักษณะการหายใจปกติ
ผู้ปุวยได้รับ O2 cannula 2 lit/ min และปลอดภัย
ผลเลือด Hb = 12 - 16 g/ dl และHct = 37 - 47 %
ฟังปอด พบ ทางเดินหายใจโล่งไม่มีเสมหะ
การวางแผน
วางแผนให้การผู้ปุวยได้รับออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 2 lit/ min ตามแผนการรักษาและมีความปลอดภัยขณะได้รับการออกซิเจน และจัดเตรียมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนชนิด cannula
วัตถุประสงค์
เพื่อส่งเสริมให้ผู้ปุวยได้รับออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 2 lit/ min ตาม แผนการรักษา และไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ การไออย่างมีประสิทธิภาพจะท าให้ลดการคั่งค้างของ เสมหะที่ปอดท าให้ปอดขยายตัวได้เพิ่มขึ้น
วัด vital signs ทุก 4 ชม เพื่อการประเมินสัญญาณชีพจะช่วยให้ทราบความรุนแรงของ ภาวะพร่องออกซิเจน
จัดท่านอนศีรษะสูง เพื่อท าให้กระบังคมเคลื่อนต่ำลง ปอดขยายตัวได้เต็มที่เพิ่มพื้นที่ใน การแลกเปลี่ยนก๊าซมากขึ้น
ประเมิน O2 saturation ทุก 2 ชม. เพื่อเป็นการวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนใน
เลือด
จัดสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย ติดปูายห้ามสูบบุหรี่ หรือห้ามน าวัตถุไวไฟเข้าใกล้ บริเวณเตียงผู้ปุวย และดูแลให้น้ ากลั่นใน humidifier ในระดับปกติ
ตดิตามผลเลือด Hb, Hct และ Chest X-Ray เพื่อทราบค่าแสดงถึงความเข้มข้นของเลือ ในร่างกายและ Chest X-ray เป็นการประเมินความก้าวหน้าของการรักษา เพื่อติดตามผลการรักษา อาการ infiltration ในปอดลดลง คงที่ หรือเพิ่มขึ้น
ปรับออกซิเจนให้ได้ 2 lit/ min แล้วจัดให้สาย cannula อยู่ในต าแหน่งที่เหมาะสมคล้อง สายกับหูทั้งสองข้างให้พอดี
ดูแลส่งเสริมการพักผ่อนและการนอนหลับผู้ปุวยให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพราะการพักผ่อนบนเตียงจะช่วยลดการใช้ออกซิเจนในการท ากิจกรรม ท าให้อาการเหนื่อยอ่อนเพลียลดลง
ประเมินสภาพผู้ปุวยก่อนได้รับออกซิเจน ประเมินภาวะพร่องออกซิเจน ประเมินอัตรา การหายใจ ชีพจร สีของเล็บ ปลายมือปลายเท้า เยื่อบุผิวหนัง ลักษณะการซีด และเขียว
ให้การพยาบาลด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เพื่อลดความวิตกกังวลและความกลัว
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง ข้อมูลสนับสนุน ผู้ปุวยมีเสมหะสีเหลืองข้น
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
ประเมินการปฏิบัติถูกต้องครบและเป็นไปตามขั้นตอนของการปฏิบัติ (โดย นักศึกษาทบทวนบทเรียนตามขั้นตอนการปฏิบัติการให้ออกซิเจน)
ประเมินการจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ครบถ้วนเพียงพอหรือไม่ (โดยการ ตรวจสอบความครบถ้วนของใช้ การจัดเก็บของเข้าที่เดิมและเตรียมพร้อมใช้งานครั้งต่อไป)
ประเมินผลคุณภาพการบริการ
ประเมินคุณภาพของการให้บริการ ข้อ 5.2 และข้อ 5.3 ทุกข้อ อยู่ในระดับใด (โดยการ ให้คะแนนระดับดีมาก – ดี – ปานกลาง - ปรับปรุง)
ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16 - 24 ครั้ง/ นาที ลักษณะการหายใจปกติ
ผลเลือด Hb = 12 - 16 g/ dl และHct = 37 - 47 %
ไม่มีพบอาการของภาวะพร่องออกซิเจน และค่า O2 sat ไม่น้อยกว่า 95 %
ฟังปอด พบ fine Crepitation at Right lower lobe ลดลง
ผู้ป่วยได้รับ O2 cannula 2 lit/min และปลอดภัย
ประเมินความสุขสบายของผู้ปุวย (โดยการสอบถามผู้ปุวย)
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)
S : “ผู้ปุวยบอกว่าหายใจไม่สะดวก” O : หญิงไทยสูงอายุ ปุวยเป็นโรคชราและความจ าเสื่อมนอนติดเตียง อ่อนเพลีย ซีดเล็กน้อย รูปร่างผอมบาง ช่วยเหลือตนเองได้น้อย on O2 cannula 2 lit/min การตรวจร่างกาย: พบ fine Crepitation at Right lower lobe ผล Chest X-ray ปอดพบ: infiltration Right upper lobe ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ: Hct = 27 % Hb = 9 mg % Vital signs: T = 37 ˚C, P = 80 ครั้ง/ นาที, R = 26 ครั้ง/ นาที, BP = 140/ 90 mmHg
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ปุวยโรคถุงลมโปุงฟอง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และระบบการไหลเวียนโลหิตและ หลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนท าให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ โดยวิธีการเพิ่มปริมาณ ออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง (severe trauma)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน (acute myocardial infarction: MI)
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ปุวยหลัง โดนไฟไหม้ เป็นต้น
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการท าผ่าตัด เช่น หลังการดมยาสลบ หรือการท า ผ่าตัดใหญ่ เป็นต้น
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO2 < 60 mmHg หรือ SaO2 < 90 % เมื่อ หายใจเข้าในบรรยากาศปกต
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น (increase pulse rate) ขั้นรุนแรง และพบ bradycardia
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก (increase rate and depth respiration) ระยะ ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นหายใจสั้นและตื้น (shallow and slow respiration)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
ความดันโลหิตลดลง (blood pressure will decrease)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ (cardiac dysthymias)
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น (increased fatigue)
มีภาวะซีด (pallor)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง (decreased level of consciousness)
มีอาการเขียวคล้ำ (cyanosis)
ระดับการมีสมาธิลดลง (decreased ability to concentrate)
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุ้ม (clubbing)
วิตกกังวล (anxiety) กระสับกระส่าย (restlessness)
อาการหายใจล าบาก (dyspnea)
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ปุวยที่ได้รับพิษจาก paraquat เช่น ยาฆ่าหญ้า เป็นต้น หรือ ผู้ปุวยที่ได้รับยาเคมีบ าบัด อาจท าให้เสริมฤทธิ์ของสารพิษที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายเร็วขึ้น
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจ ากัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ำที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟ ด้วยคุณสมบัติเคมีของออกซิเจนเอง
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis) ออกซิเจนเป็นพิษ (oxygen toxicity) หรือกด การท างานของ cilia ที่ก าลังพัดโบกก าจัดสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ และระบบภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาว เพื่อให้ความเข้มข้นของออกซิเจนขณะหายใจเข้า (FiO2) ≥ 0.5 (FiO2 ย่อมาจาก Fraction of inspired oxygen หมายถึง ความเข้มข้นของก๊าซออกซิเจนขณะหายใจเข้า)
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบ nebulizer สามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้ เนื่องจากการสูดดมโดยตรง
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง เมื่อค่า PaO2 ≥ 60 มม.ปรอท โดยที่ค่า PaCO2 สูงกว่าภาวะปกติ (PaO2 ย่อมาจาก Partial pressure of arterial oxygen
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทำให้ขบวนการติดไฟ เพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
การให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา (Oxygen therapy)
ในภาวะที่ระบบการหายใจท างานเป็นปกติ ร่างกายจะได้รับออกซิเจนเพียงพอกับความต้องการของ ร่างกาย แต่เมื่อร่างกายเกิดภาวะพร่องออกซิเจนจนกลายเป็นเกิดภาวะขาดออกซิเจน จะพบอาการและอาการ แสดงของภาวะขาดออกซิเจน
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ
ดูดเสมหะที่ค้างตามท่าทางเดินหายใจเป็นระยะๆ เพื่อปูองกันการอุดตัน
สอนการไออย่างถูกวิธี เพื่อให้ระบายเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดท่านอน ท่านั่ง ให้ผู้ปุวยรู้สึกสบาย และปอดขยายได้เต็มที่โดยให้อยู่ในท่าศีรษะสูง
กระตุ้นให้ได้รับน้ าอย่างเพียงพอ เพื่อให้น้ าช่วยละลายเสมหะให้ขับออกได้ง่าย
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก 2 - 3 ชั่วโมง
ผู้ปุวยมักคอแห้ง มีกลิ่นปาก เจ็บคอ พยาบาลควรให้การดูแล
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ขวดท าความชื้นมีน้ าอยู่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
ออกซิเจนไม่รั่วจากขวดทำน้ำกลั่นที่ทำความชื้น
ตรวจดูสายยาง ให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ไม่เลื่อนหลุดจากที่รอยต่อต่างๆ ต้องคงที่ไม่ บิดงอ ไม่อุดตัน
ถ้าเป็นออกซิเจนถัง จะต้องให้มีออกซิเจนอยู่เสมอ โดยดูจากที่หน้าปัดบอกระดับของ ออกซิเจน ถ้าเหลือ 1/3 ของถัง ควรเตรียมถังใหม่เพื่อเปลี่ยนได้ทันทีและต้องตั้งถังอย่าล้มถังในขณะให้
เปลี่ยนและนำอุปกรณ์การใช้ออกซิเจน ไปทำความสะอาดและทำให้ปลอดเชื้อ ถ้าเป็น อุปกรณ์ชนิดพลาสติก อาจขุ่นมีน้ำขัง หรือหยดน้ำเกาะอยู่ ให้เทน้ำออกแล้วสลัดให้แห้ง เพื่อไม่ให้กีดขวางทาง นำออกซิเจนสู่ปอด
ถ้าให้ออกซิเจนจากระบบ pipeline ที่มีรูเปิด (outlet) สำหรับเสียบ flow meter จะต้องดูให้ flow meter เสียบเข้าที่
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง (Tridal Volume) ในกรณีที่ผู้ป่วยอาการหนักและมี เครื่องมือวัดโดยเฉพาะ
ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซิเจน (Blood gas)
ความผิดปกติของสีผิว ดูลักษณะบริเวณริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้า ผิวหนังว่ามีอาการ เขียวหรือไม่ ในรายที่ให้ออกซิเจนทางกระโจมสังเกตอาการหนาวสั่นด้วย
ตรวจวัดสัญญาณชีพ ดูลักษณะ และอัตราเร็วของการหายใจ ความดันโลหิตและชีพจร
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกาย
ใช้เทคนิคการสังเกต และการประเมินสัญญาณชีพ ประกอบด้วย อุณหภูมิร่างกาย (Temperature: T) ชีพจร (Pulse: P) การหายใจ (Respiration: R) และความดันโลหิต (Blood pressure: BP) โดยใช้เทคนิคการสังเกตลักษณะทั่วไป
ระบบประสาทส่วนกลาง สังเกตและประเมินพบ ความรู้สึกตัวของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะ (เนื่องจากหลอดเลือดสมองขยายตัว) เพ้อ หมดสติ หรือชัก
ระบบผิวหนัง ระยะแรก พบว่า ผิวหนังผู้ป่วยเย็น ซีด เพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะ พร่องออกซิเจน โดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง
ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประเมินพบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นใน ระยะแรก เพื่อปรับชดเชย ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง เจ็บหน้าอก และหัวใจหยุดเต้นในระยะ สุดท้าย
ระบบทางเดินอาหาร ประเมินและสังเกตพบมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนในระยะแรก
ระบบทางเดินหายใจ ระยะแรกของเซลล์พร่องออกซิเจนอย่างอ่อน สังเกตพบ ผู้ปุวยมีอาการ หายใจไม่สะดวก หายใจลำบากเมื่อนอนราบ (Orthopnea)
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation)
ใช้ pulse oximeter เป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน (oxyhemoglobin) ต่อปริมาณ ฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือด
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
ในเลือดค่าฮีโมโกลบินปกติในผู้หญิง 11.5 – 16.5 gm % (กรัมเปอร์เซนต์) และในผู้ชาย 13.0 - 18 gm % (กรัมเปอร์เซนต์)
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG)
เป็นการตรวจเพื่อหา ประสิทธิภาพการทำงานของปอด เพื่อประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการหายใจ ค่าเหล่านี้ บอกถึงความสามารถของ Hemoglobin
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การบริหารการหายใจ
การหายใจโดยการห่อปาก (pursed - lip breathing)
การหายใจวิธีนี้จะช่วยลดการคั่ง ของอากาศในถุงลม โดยการรักษาความดันบวกในการหายใจ ท าให้หลอดลมขยายตัวนานกว่าปกติ ช่วยให้ อากาศออกจากถุงลมปอดได้มากขึ้น
การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing)
การหายใจเข้าลึก ๆ ช่วยขยายหลอดลม กระตุ้น การสร้างสารเคลือบภายในปอด และช่วยขยายพื้นที่การแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ปอด
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม (diaphragmatic breathing)
สามารถท าได้ในผู้ปุวยที่มีความผิดปกติของการหายใจเรื้อรังและเฉียบพลัน
การดูดเสมหะ (suction)
เมื่อพยาบาลประเมินสภาพผู้ปุวย พบว่า ผู้ปุวยมีปัญหาแบบแผนการหายใจเปลี่ยนไป มีอาการ และอาการแสดงว่าพร่องออกซิเจน ท าให้ได้รับออกชิเจนไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย การดูด
เสมหะเป็นการพยาบาลอิสระของพยาบาล ซึ่งช่วยท าให้ทางเดินหายใจโล่งออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้เต็มที่ และไม่เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ การตรวจร่างกาย พบว่า มีเสมหะอยู่ในทางเดินหายใจผู้ปุวยจะ หายใจเสียงดังครืดคราด และ/ หรือมีเสมหะออกมาภายนอกท่อช่วยหายใจ และค่า SaO2 ลดลง การส่งเสริม การได้รับออกซิเจนให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ปุวยที่หายใจล าบากท าให้นอนราบไม่ได้ ควรจัดท่า orthopnea position เป็นท่าศีรษะสูง ต้องอยู่ในท่านั่งหรือฟุบหลับบนเก้าอี้ โดยใช้หมอน 3 – 4 ใบ วางซ้อนกันและตัวผู้ปุวยฟุบพาดโต๊ะ ท่านี้จะ ช่วยท าให้ช่องอกขยาย และท าให้ผู้ปุวยรู้สึกสบายขณะพักและนอนหลับได้