Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 7การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
บทที่ 7การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ระบบทางเดินหายใจและกลไกการทำงาน
ระบบทางเดินหายใจ มีหน้าที่ในการเติมก๊าซที่สำคัญเช่น ออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือด และกำจัดก๊าซของเสียจากร่างกาย การแลกเปลี่ยนแก๊สเหล่านี้เกิดขึ้นในหน่วยที่เล็กที่สุด ที่เรียกว่า“ถุงลม” โดยถุงลมนี้มีหลอดเลือดฝอยที่มีผนังบางทำหน้าที่เป็นเยื่อเลือกผ่านล้อมรอบถุงลมนี้อยู่และในหลอดเลือดเองมี“เม็ดเลือดแดง”
ระบบทางเดินหายใจจะผ่านอวัยวะหลายอย่าง ที่มีหน้าที่แตกต่างกันดังนี้
ฝาปิดกล่องเสียงทำหน้าที่กันไม่ให้อาหารที่เรากลืนตกลงสู่ ระบบทางเดินหายใจ
กล่องเสียงใช้ในการสร้างเสียง และเป็นทางเดินหายใจ
โพรงจมูกและช่องคอทำหน้าที่ เพิ่มอุณหภูมิ ดักจับเชื้อโรค และเพิ่มความชุ่มชื้นของอากาศ
หลอดคอ หลอดลม และ หลอดลมฝอยทำหน้าที่ลำเลียงอากาศ ดักจับเชื้อโรค และกำจัดเชื้อโรค
จมูกใช้เพื่อเป็นทางเข้าของอากาศ มีหน้าที่ในการดักจับฝุุนละออง และเพิ่มความชุ่มชื้นของอากาศ
ถุงลมทำหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส ระหว่างอากาศที่ลำเลียงมากับเส้นเลือดฝอยที่ล้อมรอบ
กลไกการหายใจของมนุษย์
การหายใจเข้า
จะเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครงหดตัวซึ่งจะทำให้กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้นในขณะเดียวกันกระบังลมก็จะหดตัวและเลื่อนต่่ำลง จึงทำให้ปริมาตรของช่องอกมีมากขึ้นความดันภายในช่องอกจะลดต่ำลง
การหายใจออก
จะเกิดขึ้นหลังจากการหายใจเข้าแล้วทำให้กล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครงมีการคลายตัวจึงทำให้กระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลงโดยกระบังลมที่เลื่อนต่ำลงก็จะกลับเลื่อนตัวสูงขึ้น ทำให้ปริมาตรของช่องอกลดลงความดันอากาศภายในช่องอกก็จะกลับสูงขึ้น
กลไกควบคุมการหายใจ
การควบคุมแบบอัตโนมัติ
การควบคุมภายใต้อำนาจจิตใจ
7.1 ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
1.การท างานของเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่ขนส่งก๊าซเม็ดเลือดแดงเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่ง มีหน้าที่หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน
2.ความดันออกซิเจนทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ ความดันออกซิเจนและการขนส่งสู่เนื้อเยื่อหลังจากเลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนในเลือดสูงอยู่ เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนน้อยสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปหาเซลล์ต่างๆ
3.การหมุนเวียนเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ำ เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก(H2CO3) และแตกตัวเป็นไฮโดรเจนไออน(H+)กับไบคาร์บอเนต(HCO3)
7.2 ปัจจัยที่มีผลตอการไดรับออกซิเจนของบุคคล
1.การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง
2.อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง ภาวะดังกล่าวทำให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง การที่ร่างกายได้รับสารพิษจากอากาศ ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในขบวนการขจัดสารพิษ
3.การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ขณะออกกำลังกาย
4.ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
5.อาหารที่มีไขมันมาก จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
6.ผู้สูงอายุ ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น
7.การสูบบุหรี่ มีผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ระบบ
8.การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ การดื่มในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกายเกิดผลเสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง
7.3 การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
7.3.1การประเมินสภาพร่างกาย
1) ระบบทางเดินหายใจระยะแรกของเซลล์พร่องออกซิเจนอย่างอ่อนสังเกตพบผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่สะดวกหายใจลำบากเมื่อนอนราบ ต้องนั่งหายใจหลังจากนอนหลับไปแล้วระยะหนึ่งต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจ
2) ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประเมินพบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นในระยะแรก เพื่อปรับชดเชย ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง เจ็บหน้าอก และหัวใจหยุดเต้นในระยะสุดท้าย
3) ระบบประสาทส่วนกลาง สังเกตและประเมินพบ ความรู้สึกตัวของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะ
4) ระบบผิวหนัง ระยะแรกพบว่า ผิวหนังผู้ป่วยเย็น ซีดเพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะพร่องออกซิเจน โดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ
5) ระบบทางเดินอาหาร ประเมินและสังเกตพบมีอาการคลื่นไส้อาเจียนในระยะแรก
7.3.2การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1) ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง เป็นการตรวจเพื่อหาประสิทธิภาพการทำงานของปอด เพื่อประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการหายใจค่าเหล่านี้บอกถึงความสามารถของ Hemoglobin ในการจับออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ และนำคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเซลล์ ประกอบด้วย pH, PaCO2, PaO2,HCO3,และ SaO2 pH เป็นตัวชี้วัดภาวะความเป็นกรดด่างของร่างกาย ค่าปกติ อยู่ระหว่าง7.35-7.45ถ้าค่าต่ำกว่า7.35แสดงว่าเกิดภาวะเป็นกรด และถ้าค่าสูงกว่า 7.45แสดงว่าเกิดภาวะเป็นด่าง
2) ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ใช้ pulseoximeter เป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน ต่อปริมาณฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือดการแปลผลต้องพิจารณาปริมาณเม็ดเลือดแดงและหรือค่าฮีโมโกลบินร่วมด้วยจึงเป็นการวัด arterial oxygen saturation (SPO2) ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดปกติอยู่ระหว่าง 98-99% หากวัด SPO2ได้น้อยกว่า 90% จำเป็นต้องได้รับการรักษา ยกเว้นผู้ป่วยโรคปอดอุดตันเรื้อรัง
3)การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน ในเลือดค่าฮีโมโกลบินปกติในผู้หญิง11.5–16.5gm% และในผู้ชาย 13.0-18 gm%
สาเหตุของ hypoxia และหรือ hypoxemia พบความผิดปกติของระบบต่างๆ ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยออกซิเจน
2.ระบบหัวใจและหลอดเลือดเช่นโรคหัวใจชนิดต่างๆหรือภาวะช็อกจากสาเหตุต่างๆ
3.โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อย
ระบบทางเดินหายใจเช่น การอุดกั้นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจการมีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลงการบาดเจ็บที่ทรวงอกหรือการหายใจล้มเหลว
4.ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติต่าง ๆ
ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลายความผิดปกติของกล้ามเนื้อการบาดเจ็บของสมองและได้รับยาที่กดการหายใจ
6.ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดส่วนอกและช่องท้อง
7.4 สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
7.4.1อาการไอ
สาเหตุของการไอ
1.การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจมีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากไข้หวัด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง และถ้าไอมากกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากหลอดลมอักเสบ จมูกและไซนัสอักเสบเรื้อรัง หอบหืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดอักเสบเรื้อรังจากการติดเชื้อ หรือมะเร็งหลอดลม
ฝุุน ควัน สารเคมี อาหารหรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน -เย็นของอากาศจะทำให้การไอมากขึ้น
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะเช่น ไอเนื่องจากมีฝุ่นละอองมาก
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนองมักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ เช่นโรคปอดบวม และวัณโรคปอด เป็นต้น และเสมหะที่ไม่เป็นหนอง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
4.ดูแลความสะอาดของปากฟันและสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
5.กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ และปริมาณมากเพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจำนวน ลักษณะ สีและกลิ่นของเสมหะด้วย
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่ายจากการเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่และระยะเวลาของการไอ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ โดยการให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนยกศีรษะสูง และหายใจเข้าลึกๆเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง กลั้นหายใจสักครู่ แล้วไอออกมาอย่างแรงโดยเฉพาะผู้ปุวยหลังผ่าตัดที่มักกลัวเจ็บต้องอธิบายให้ทราบถึงความจำเป็น
1.ประเมินประสิทธิภาพการไอลักษณะไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะโดยการฟังเสียงไอ
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
7.4.2Hemoptysis
อาการไอเป็นเลือดหมายถึง การมีเลือดออกจากทางเดินหายใจตั้งแต่กล่องเสียงลงไป ไม่รวมเลือดกำเดา มีปริมาณเลือดเห็นได้ชัดเจน คือ มากกว่า 2 มิลลิลิตรขึ้นไป และต้องแยกออกจากการอาเจียนเป็นเลือดซึ่งมีเลือดออกมาจากทางเดินอาหารอาการไอเป็นเลือดที่ถือว่ารุนแรง คือ การมีเลือดออกครั้งละเกิน 200มิลลิลิตรหรือ800 –1,000มิลลิลิตรในระยะเวลา 24 –48 ชั่วโมง
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดสดออกมาพบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดปนออกมาคือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคมะเร็งของหลอดลมหรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือมะเร็งหลอดลม
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่าๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
2.การอักเสบ ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ กล่องเสียง หลอดลมใหญ่และในเนื้อปอด
3.เนื้องอก และมะเร็ง
1.อุบัติเหตุ
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่างๆ ทำให้เกิดการไอเป็นเลือดได้
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิตเพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรงของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมากอาจต้องให้เลือด และพยาบาลจะต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
1.ให้ผู้ปุวยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น
7.4.3Hiccup
สาเหตุของอาการสะอึก
โดยทั่วไปอาการสะอึกเป็นอาการปกติทั่วไป ไม่ได้เกิดจากโรคโดยมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย เช่น กินอิ่มมากเกินไปดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูบบุหรี่จัดหรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที เช่น ดื่มเครื่องดื่มเย็นจัด หรือ กินอาหารร้อนจัด เมื่อท้องว่างกินอาหารรสจัด
การสะอึกต่อเนื่อง หรืออาการสะอึกที่ควบคุมรักษายาก มักเป็นอาการสะอึกที่เกิดจากพยาธิสภาพของโรคโดยโรคที่พบบ่อย เช่นโรคทางสมอง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพักๆ
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่น น้ำมะนาว
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ถือแก้วน้ำแล้วหลุดออกจากมือขณะสะอึก หรือขณะรับประทานอาหารอาจสำลักได้
7.4.4 Dyspnea
สาเหตุของการหายใจลำบาก
2.สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทำงานของหัวใจไม่ดี
3.สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ
1.สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทำลาย
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ส าหรับช่วยเหลือผู้ปุวยฉุกเฉิน เช่นการใส่ท่อช่วยหายใจ
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม ทุก 1-2 ชั่วโมง
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย เพื่อให้หายใจสะดวก
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดอาการหายใจลำบากโดยหายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม
7.4.5 Chest pain
3) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจาก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บตลอดเวลา อาจมีลักษณะในข้อ2 ร่วมด้วย ถ้าการอักเสบลุกลามถึงเยื่อหุ้มปอด
4) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากหัวใจ เช่น ภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจโคโรนารีตีบแคบ
2) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบและมักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึกๆหรือเวลาไอท าให้ผู้ป่วยต้องหายใจตื้นๆ
5) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากหลอดลมอักเสบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูกอาจเจ็บตลอดเวลาและเจ็บมากเมื่อเวลาไอ
1) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่และเจ็บเมื่อใช้มือกดที่บริเวณนั้น
6) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเส้นประสาท เช่น โรครากประสาทสันหลัง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
2.ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด ถ้าเป็นอาการเจ็บหน้าอกจากหัวใจ
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
1.สังเกตอาการ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะนำให้นอนตะแคงทับด้านที่เป็น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น อาจต้องให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
7.5บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
7.5.1 อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น ขั้นรุนแรง และพบ bradycardia
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก ระยะต่อมาจะเปลี่ยนเป็นหายใจสั้นและตื้น
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป
ความดันโลหิตลดลง
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น
มีภาวะซีด
ระดับความรู้สึกตัวลดลง
มีอาการเขียวคล้ำ
ระดับการมีสมาธิลดลง
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุ่ม
วิตกกังวล กระสับกระส่าย
อาการหายใจลำบาก
7.5.2 วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งฟอง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจหัวใจและระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำโดยวิธีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
7.5.3 ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ป่วยหลังโดนไฟไหม้เป็นต้น
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการทำผ่าตัด เช่น หลังการดมยาสลบ หรือการทำผ่าตัดใหญ่
1.มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO2< 60 mmHg หรือ SaO2< 90% เมื่อหายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
7.5.4 ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
3.ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่ได้รับพิษจาก paraquat
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ำที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟด้วยคุณสมบัติเคมีของออกซิเจนเอง
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ ออกซิเจนเป็นพิษหรือกดการทำงานของciliaที่กำลังพัดโบกกำจัดสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบnebulizerสามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้เนื่องจากการสูดดมโดยตรง
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทำให้ขบวนการติดไฟเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
7.5.5 การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
1.หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
1.4วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง(Tridal Volume) ในกรณีที่ผู้ป่วยอาการหนักและมีเครื่องมือวัดโดยเฉพาะ
1.5ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซิเจน
1.3ระดับความรู้สึกตัว
1.2ความผิดปกติของสีผิว ดูลักษณะบริเวณริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้า ผิวหนังว่ามีอาการเขียวหรือไม่ ในรายที่ให้ออกซิเจนทางกระโจมสังเกตอาการหนาวสั่นด้วย
1.1ตรวจวัดสัญญาณชีพ ดูลักษณะ และอัตราเร็วของการหายใจ ความดันโลหิตและชีพจร
2.หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
2.3 ออกซิเจนไม่รั่วจากขวดทำน้ำกลั่นที่ทำความชื้น
2.4ถ้าเป็นออกซิเจนถัง จะต้องให้มีออกซิเจนอยู่เสมอ
2.2ขวดทำความชื้นมีน้ำอยู่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
2.5 เปลี่ยนและนำอุปกรณ์การใช้ออกซิเจน ไปทำความสะอาดและทำให้ปลอดเชื้อ
2.1 ตรวจดูสายยาง ให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ไม่เลื่อนหลุดจากที่รอยต่อต่างๆ ต้องคงที่ไม่บิดงอ ไม่อุดตัน
2.6ถ้าให้ออกซิเจนจากระบบ pipeline ที่มีรูเปิด สำหรับเสียบ flow meter จะต้องดูให้ flow meter เสียบเข้าที่
3.ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ
3.2ดูดเสมหะที่ค้างตามท่าทางเดินหายใจเป็นระยะๆ เพื่อปูองกันการอุดตัน
3.3 สอนการไออย่างถูกวิธี เพื่อให้ระบายเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.1 การจัดท่านอน ท่านั่ง ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย และปอดขยายได้เต็มที่โดยให้อยู่ในท่าศีรษะสูง
3.4 กระตุ้นให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อให้น้ำช่วยละลายเสมหะให้ขับออกได้ง่าย
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก2-3 ชั่วโมง
4.3 ทาริมฝีปากด้วย กลีเซอรีน บอแรกซ์
4.4 ทำความสะอาดช่องจมูก
4.2 ถ้าเจ็บคอ ให้ล้างปากด้วยน้ำยา หรือบ้วนด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆ
4.5 ดูแลความสะอาดบริเวณหน้า โดยเฉพาะในผู้ปุวยที่ได้รับ Oxygen mask จะมีเหงื่อออกมาก ควรเช็ด mask และทาแปูงให้บ่อยๆ หรือทุก2-3 ชั่วโมง เพื่อให้สบายขึ้น
4.1 ให้จิบน้ำบ่อยๆ
5.ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
5.3 แนะนำ อธิบายให้ผู้ป่วยรู้จักเครื่องมือต่างๆได้ง่าย
5.4 ดูแลควบคุมอัตราการไหของออกซิเจนให้เพียงพอ ไม่ให้ผู้ป่วยอึดอัด
5.2 พยาบาลควรมีความช านาญในการใช้เครื่องมือ
5.5 สนใจ รับฟังความต้องการของผู้ป่วยอย่างจิงจัง
5.1 บอกประโยชน์ของการได้รับออกซิเจน
5.6ให้เวลาผู้ป่วยในการพูดคุย สัมผัสผู้ป่วยบ้างและรีบไปดูแลทันทีเมื่อผู้ป่วยขอความช่วยเหลือ
7.6 เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่างๆ
อุปกรณ์และวิธีการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
ระบบการให้ออกซิเจน
1) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ
(1) การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว
ข้อดี ผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องปลดสายออก ไม่ค่อยรู้สึกอึดอัดหรือรำคาญมากนัก และติดต่อสารกับผู้อื่นได้สะดวก
ข้อเสีย อาจมีการระคายเคืองช่องจมูกทั้งสองข้าง ทำให้เยื่อบุจมูกบวมและมีน้ำมูกออกมาอุดทำให้ท่อตันได้ จึงควรทำความสะอาดท่อและรูจมูกทุก 8 ชั่วโมง และปรับสายรัดรอบศีรษะของผู้ป่วยให้พอเหมาะปรับอัตราไหลของออกซิเจน
(2) การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก
(2.1) Simple mask เป็นชนิดที่ให้ออกซิเจนความเข้มข้นร้อยละ 40-50การปรับอัตราไหลของออกซิเจน5 –8 ลิตร/นาที
(2.2) Reservoir bag (partial rebreathing mask)ให้ความเข้มข้นสูงกว่าร้อยละ60–90 ซึ่งสูงกว่าชนิดไม่มีถุงชนิดนี้ออกซิเจนจากเครื่องจะไหลเข้าถุงการหายใจครั้งแรกจะเป็นออกซิเจนบริสุทธิ์เมื่อหายใจออกคาร์บอนไดออกไซด์จะไหลกลับเข้าในถุงประมาณ1/3 ของความจุของถุงไปผสมรวมกับออกซิเจนในถุง
(2.3) Non rebreathing maskลักษณะคล้าย partial rebreathing ยกเว้นรูระบายอากาศส่วนหน้ากากลักษณะเป็นลิ้นไหลทางเดียว (unidirectional valve) ทั้ง2 ข้าง เพื่อให้อากาศไหลออกสู่ภายนอกอย่างเดียวไหลเข้าไม่ได้
2) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง
(1)การให้ออกซิเจนชนิดT-pieceเ
เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนผู้ปุวยที่มีท่อทางเดินหายใจทำด้วยพลาสติกเบา เพื่อไม่ให้ดึงรั้งท่อเจาะหลอดลมคอ ลักษณะเป็นท่อสายลูกฟูกเรียกว่า corrugated tube สวมยึดติดกับท่อเจาะหลอดลมคอ ให้ความชื้นสูงไอน้ำอาจเกาะเป็นหยดน้ำไหลสู่ท่อหลอดลมคอได้ ท่อทางหายใจออกมีความยาวประมาณไม่เกิน 6 นิ้ว เพื่อไม่ให้คาร์บอนไดออกไซด์จากลมหายใจออกแล้วมาค้างภายในท่อcorrugated tube
(2) การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม
เป็นอุปกรณ์คล้ายหน้ากากคล้องไว้กับคอ ครอบบนท่อเจาะหลอดลมคอ ออกซิเจนจะไหลเข้าทางรูเปิดขณะหายใจเข้ามีcorrugated tube เพื่อให้ได้ความชื้นแบบละอองฝอย (jet nebulizer) ออกซิเจนที่ได้จะไม่แห้ง
(3) การให้ออกซิเจนชนิด
เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนที่ครอบตัวผู้ป่วยลักษณะคล้ายเต็นท์ ประกอบด้วยมุ้งพลาสติก มีซิบเปิด-ปิด ครอบบนโครงโลหะ ด้านหลังกล่องใส่น้ำแข็ง ทำให้อากาศในมุ้งมีความชื้นสูง มีท่อระบายน้ำทิ้งที่เกิดจากน้ำแข็งละลาย มีท่อนำออกซิเจนไหลเข้ามุ้ง 1 ท่อ ท่อให้คาร์บอนไดออกไซด์ไหลออกจากมุ้ง 1 ท่อ อุณหภูมิในเต็นท์ต้องไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง 10 –15 ̊Fมีข้อเสียคือออกซิเจนหนักกว่าอากาศจึงทำให้ตกบนที่นอนพร้อมความชื้น ทำให้ร่างกายผู้ป่วยชื้น ต้องหมั่นเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องนอน
(4) การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box
เป็นอุปกรณ์ใช้ครอบศีรษะและไหล่ผู้ป่วยเด็ก ลักษณะเป็นกระโจมหรือกล่องพลาสติกให้ออกซิเจนมีท่อนำออกซิเจนเข้าภายใน อัตราการไหลของออกซิเจน10 -12 ลิตร/นาที ความเข้มข้นของออกซิเจนที่ได้ร้อยละ60 –70
(5) การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ
เป็นท่อช่วยหายใจซึ่งแพทย์จะใส่ท่อนี้เข้าไปในหลอดลมของผู้ป่วย แล้วต่อเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ (respirator) ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถหายใจได้ด้วยตนเอง
ระบบให้ความชื้น
1) ชนิดละอองโต
ให้ความชื้นในส่วนต้นของทางเดินหายใจ 30–40%สายให้ก๊าซมีขนาดเล็กน้ำจะปุดเป็นฟองเมื่อเปิดให้กับผู้ปุวยมักใช้กับ oxygen cannula, simple face mask, และ partial rebreathing mask
2) ชนิดละอองฝอย
ให้ความชื้นในทางเดินหายใจที่อยู่ลึกเหมาะกับผู้ปุวยที่มีเสมหะเหนียว มักเห็นเป็นหมอก สายให้ออกซิเจนมักมีขนาดใหญ่และเป็นลูกฟูก (corrugated)ได้แก่croupette tent, oxygen box (hood), T-piece, และtracheostomy collar
แหล่งให้ออกซิเจน
1) ถังบรรจุออกซิเจน
ก่อนใช้ออกซิเจนจากถังบรรจุออกซิเจน ต้องมีอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซ(regulation of gas flow) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการไหลของออกซิเจนออกจากแหล่งจัดเก็บออกซิเจน ได้แก่อุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซชนิดใช้กับก๊าซที่มีแรงดันสูง(High-pressure gas regulator)เป็นอุปกรณ์ควบคุมที่ช่วยกำหนดอัตราการไหลของก๊าซออกซิเจนและควบคุมค่าแรงดันของก๊าซในถังออกซิเจนให้ลดลงเหลือเท่ากับค่าแรงดันที่ต้องการใช้จริง (working pressure) ซึ่งมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ50 psi
2) ระบบท่อ
ก่อนใช้ออกซิเจนจากระบบท่อ ต้องมีอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซ(regulation of gas flow) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการไหลของออกซิเจนออกจากแหล่งจัดเก็บออกซิเจนมาตามระบบท่อได้แก่อุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซชนิดใช้กับก๊าซที่มีแรงดันต่ำ(low-pressure gas regulator หรือflow meter)เป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซออกซิเจนให้ออกมาถูกต้องตามที่ต้องการ
7.6บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
7.6.1 การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนในเซลล์ต่ำ (hypoxia) ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง ผู้ป่วยที่หายใจลำบากทำให้นอนราบไม่ได้ควรจัดท่า orthopnea position เป็นท่าศีรษะสูง ต้องอยู่ในท่านั่งหรือฟุบหลับบนเก้าอี้ โดยใช้หมอน 3 –4 ใบ วางซ้อนกันและตัวผู้ปุวยฟุบพาดโต๊ะ ท่านี้จะช่วยทำให้ช่องอกขยายและทำให้ผู้ปุวยรู้สึกสบายขณะพักและนอนหลับได้
7.6.2 การบริหารการหายใจ
1) การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม
วิธีการปฏิบัติ
กระตุ้นให้ผู้ป่วยหดเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องไล่อากาศออกจากปอดให้มากที่สุด
อธิบายให้ผู้ป่วยเป่าลมออกทางปากช้าๆ ประมาณ 2 –3 เท่า ของระบบการหายใจเข้า
แนะนำให้ผู้ปุวยหยุดหายใจช้าๆ หลังหายใจเข้าลึกเต็มที่แล้วเป่าลมออกทางปากช้าๆ โดยการห่อปาก
สอนผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก
หลังจากฝึกปฏิบัติจนชำนาญแล้ว อาจใช้ของหนักประมาณ 5 ปอนด์ วางบนหน้าท้องเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง
ช่วยเหลือผู้ป่วยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย อาจอยู่ในท่านั่งหรือนอนศีรษะสูงเล็กน้อย ทำให้หน้าท้องหย่อน งอเข่า และกระดูกข้อตะโพก
ให้ผู้ป่วยฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลมหายใจครั้งละ10–20 นาที ทุกชั่วโมง จนเกิดความเคยชิน
ตรวจดูให้แน่ใจว่าจมูก หลอดลม ไม่มีน้ำมูก หรือเสมหะ และไม่มีอาการบวมคั่ง ถ้ามีน้ำมูกหรือเสมหะให้พ่นละอองไอน้ำ ดูดเสมหะออก กระตุ้นให้ผู้ป่วยไอหรือระบายเสมหะด้วยการจัดท่าเสียก่อน
2) การหายใจโดยการห่อปาก
วิธีการปฏิบัติ
แนะนำผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก (ปิดปากให้สนิท) และค่อยๆ หยุดหายใจช้าๆ เมื่อหายใจเข้าเต็มที่ ทำติดต่อกัน 3 ครั้ง
แนะนำผู้ป่วยให้หายใจออกทางปากช้าๆ โดยการห่อปาก
ช่วยเหลือผู้ป่วยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย
อธิบายให้ผู้ป่วยตั้งใจเป่าลมออกทางปากช้าๆ
ใช้วิธีการหายใจ เมื่อผู้ป่วยมีการหายใจสั้น และฝึกการหายใจ 5-10 นาทีวันละ 4ครั้ง
เนื่องจากหายใจลำบาก ถ้าผู้ป่วยฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย
3)การหายใจเข้าลึกๆ
วิธีการปฏิบัติ
3.แนะนำให้ผู้ปุวยหายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ ในกรณีผู้ป่วยหลังการผ่าตัด ควรให้ยาระงับปวดก่อน 20 –30 นาที
4.แนะนำผู้ป่วยให้กลั้นหายใจและไอออกแรงๆ
2.รวบตรึงบริเวณผ่าตัดด้วยหมอน โดยใช้มือกอดหมอน หรือรวบหมอนกดให้แน่นขณะที่ผู้ปุวยไอ ถ้าผู้ป่วยทำไม่ได้พยาบาลต้องช่วยเหลือ
5.เตรียมกระดาษเยื่อและชามรูปไต หรือกระโถนให้ผู้ป่วย
1.จัดท่าให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆและไอได้สะดวก
7.6.3 การดูดเสมหะ
การช่วยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
1.2 จัดท่านอนให้เหมาะสมกระตุ้นให้เปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ
1.3 กระตุ้นให้ไอบ่อยๆ และให้ดื่มน้ำมากๆให้เสมหะอ่อนตัวไอออกได้ง่าย
1.1 ทำการดูดเสมหะออก
1.4 การทำ postural drainage เป็นการจัดท่าเพื่อช่วยระบายเสมหะที่ค้างอยู่
การเพิ่มความสามารถในการขยายตัวของทรวงอกและปอด
2.3จัดให้มีการออกกำลังกายตามความสามารถของผู้ป่วย
2.4ป้องกันอาการท้องอืดที่อาจเกิดขึ้น โดยให้อาหารที่ย่อยง่ายครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้งและงดอาหารที่ทำให้เกิดก๊าซง่าย
2.2กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจลึกๆ บ่อยๆ
2.5 ใส่เสื้อผ้าที่สวมสบายให้แก่ผู้ป่วย
2.1จัดท่านอนศีรษะสูง
การเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่เข้าปอด โดยอาจมีการให้ออกซิเจน อาจให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula)หรือทางหน้ากาก(oxygen mask) หรือทางเต้นท์
การลดความต้องการปริมาณออกซิเจนในร่างกาย เมื่อการเผาผลาญสารอาหารภายในเซลล์มากขึ้นร่างกายจะต้องการออกซิเจนมากขึ้น
การผ่อนคลายความวิตกกังวลโดยแนะนำการทำสมาธิ หรือการนอนใส่หูฟัง ให้ฟังเพลง
วิธีการดูดเสมหะ
1.เครื่องดูดเสมหะชนิดเคลื่อนที่
ชนิดติดฝาผนัง
วิธีการดูดเสมหะผู้ปุวยมี 2 วิธี คือ
1.การดูดเสมหะทางจมูกหรือปาก
สิ่งที่ต้องประเมิน
สังเกตลักษณะสีผิว เล็บ และริมฝีปาก มีอาการ cyanosis
สังเกตอาการซึมลงของผู้ป่วย
สังเกตอาการเหนื่อย หายใจลำบาก ได้ยินเสียงดังขณะหายใจเข้าและออก
ประเมินอาการไอมีประสิทธิภาพที่จะขับเสมหะออกได้ลดลง
ฟังเสียงปอดได้ยินเสียงเสมหะ
สังเกตลักษณะเสมหะ เหนียว และมีจำนวนมาก
สังเกตแบบแผนและลักษณะการหายใจค่อนข้างแรงมาก อัตราการหายใจเร็ว
สังเกตอาการอาเจียนหรือขย้อนอาหารอยู่ในปาก
การเตรียมเครื่องใช้สำหรับการดูดเสมหะทางปาก
สายหล่อลื่นหรือน้ำกลั่น
สายดูดเสมหะที่สะอาดปราศจากเชื้อ ตามขนาดผู้ปุวย
เครื่องดูดเสมหะ
ท่อต่อ ใช้ต่อสายดูดเสมหะกับเครื่องดูดเสมหะหรือท่อต่อนี้อาจเป็นส่วนหลายของสายดูดเสมหะ
oral airway หรือ nasal airway
ไม้กดลิ้นที่สะอาด
ถุงมือสะอาด
ขวดน้ำเกลือใช้ภายนอก ขนาด1000 ซีซี
วิธีการปฏิบัติการดูดเสมหะทางปาก
หยิบสายดูดเสมหะต่อกับเครื่องดูดเสมหะแล้ว
ให้ผู้ป่วยช่วยอ้าปาก กรณีไม่รู้ตัวใช้ไม้กดลิ้นช่วยในการอ้าปากผู้ป่วย จากนั้นใส่สายดูดเสมหะในบริเวณที่ต้องการจะดูดเสมหะ
จัดท่าผู้ป่วยให้นอนตะแคงศีรษะต่ำเล็กน้อย เพื่อช่วยให้เสมหะออกได้สะดวกไม่เกิดการสำลักเข้าปอด
ขณะทำการดูดเสมหะ พบว่า ดูดไม่ขึ้นหรือดูดไม่ออกให้หยุดทำการดูดเสมหะไว้ก่อน เพราะปลายสายดูดเสมหะอาจดูดติดบริเวณเยื่อบุช่องปาก อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือเลือดออกบริเวณเนื้อเยื่อนั้น
สวมถุงมือ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปื้อนเสมหะ
ล้างมือให้สะอาดใส่ mask เพื่อลดการแพร่ของเชื้อโรค
การดูดเสมหะแต่ละครั้งไม่ควรนานเกิน 10วินาที
อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจเพื่อลดความวิตกกังวลและให้ความร่วมมือ
9.ล้างสายดูดโดยการดูดผ่านน้ำเกลือใช้ภายนอกเป็นการทำความสะอาดสายดูดเสมหะ 1-2ครั้ง
10.เช็ดทำความสะอาดบริเวณที่มีน้ำเปียก
ถอดสายดูดเสมหะ เก็บของให้เข้าที่เรียบร้อย ถอดถุงมือออกทิ้ง
อาการแทรกซ้อน
1.แรงกดหรือการระคายเคืองบริเวณรูจมูกและริมฝีปากอาจทำให้เกิดแผลหรือเกิดแผลจากการดูดเสมหะหลาย ๆ ครั้ง ดังนั้นจึงควรหล่อลื่นสายดูดเสมหะทุกครั้ง และเลือกขนาดของสายให้เหมาะสมกับผู้ป่วย
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น โพรงจมูกอักเสบ (sinusitis) ภาวะหูอักเสบ (otitis) ต้องท าความสะอาดช่องปากทุกครั้งหลังดูดเสมหะ และเปลี่ยน airway ทุกวัน
3.เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ ในขณะดูดเสมหะต้องทำการดูดเสมหะอย่างเบามือและนุ่มนวล
อาจเกิดการสำลักจากการกระตุ้น gag reflex หรือจัดท่าผู้ป่วยไม่ถูกต้อง
5.ริมฝีปากแห้งเกิดเป็นแผลได้ง่าย ให้ทาครีมทุกครั้งหลังทำความสะอาดปาก
6.อาจเกิดความผิดปกติในผู้ปุวยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และเกิดภาวะความดันในสมองสูง
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ขณะ/และหลังการดูดเสมหะ
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าจะมีการหายใจลำบากในขณะดูด แต่จะดีขึ้นภายหลังเอา สายออกและดูดเสมหะออกแล้วทางเดินหายใจโล่งจะรู้สึกสบายขึ้น
ทำการดูดเสมหะด้วยความเบามือ และนุ่มนวล
บอกให้ผู้ป่วยทราบก่อนว่า “จะทำการดูดเสมหะอย่างเบามือที่สุด ถ้าเจ็บหรือทนไม่ไหวให้ยกมือขึ้น” เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย และให้ความร่วมมือ
หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดทำความสะอาด เก็บของใช้ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
อธิบายให้ผู้ปุวยเข้าในถึงวัตถุประสงค์และความจ าเป็นของการดูดเสมหะ
พูดให้กำลังใจก่อนเดินออกจากเตียงผู้ป่วย
แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน บ่งบอกถึงความเป็นมิตร และช่วยลดภาวะตื่นกลัว
2.การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจหรือทางท่อหลอดคอ
การเก็บเสมหะส่งตรวจ
ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆแล้วไอออกมาเพื่อให้ได้เสมหะแล้วบ้วนลงภาชนะสะอาดชนิดมีฝาปิดควรตรวจดูให้แน่ใจว่าเป็นเสมหะไม่ใช่น้ำลายโดยเสมหะควรมีลักษณะเป็นเมือกเหนียวขุ่นข้นมีสีเหลืองสีเขียวหรือสีแดงปนปิดฝาให้สนิทนำส่งห้องปฏิบัติการ
การตรวจเสมหะแบบเพาะเชื้อ
กรณีผู้ป่วยไอขับเสมหะได้เอง ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆแล้วไอออกมาเพื่อให้ได้เสมหะแล้วบ้วนลงภาชนะสะอาดปราศจากเชื้อชนิดมีฝาปิดควรตรวจดูให้แน่ใจว่าเป็นเสมหะไม่ใช่น้ำลายโดยเสมหะควรมีลักษณะเป็นเมือกเหนียวขุ่นข้นมีสีเหลืองสีเขียวหรือสีแดงปนปิดฝาให้สนิทนำส่งห้องปฏิบัติการ
7.7ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
5.อาจเกิดการหยุดหายใจ ในผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
6.อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด ออกซิเจนจะก่อพิษในปอดได้หากได้รับในระยะเวลานาน คือ 24 –48 ชั่วโมง
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้
1.อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน
หลักปฏิบัติในการให้ออกซิเจนชนิดต่างๆ
1.ล้างมือให้สะอาด สวมmask เพื่อปูองกันการนำเชื้อเข้าสู่ผู้ป่วย
2.ประเมินสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัว เพื่อประเมินอาการผู้ป่วย
ใส่flow meter กับแหล่งที่มาของออกซิเจนที่มาจากชนิดผนัง (wall type) จากถังใช้high-pressure gas regulatorให้ถูกต้องและแน่นพอดี
ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อ ให้ระดับน้ำอยู่ตรงตำแหน่งขีดที่กำหนดข้างกระบอกปูองกันไม่ให้ flow meter เสียหรือน้อยกว่าขีดออกซิเจนต้องผ่านความชื้นจะไม่ทำให้ระคายเคืองเยื่อเมือกในช่องจมูกและคอ
ปรับระดับลูกลอยใน flow meter จะได้ปริมาณของออกซิเจนมีหน่วยเป็นลิตรต่อนาทีตามที่ต้องการ สวมท่อสายยางของอุปกรณ์ให้ออกซิเจน กับท่อflow meter
หมุนปุ่มเปิด flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนทิ้งไว้ 1–2 นาที
กรณีให้ nasal cannulaให้ปฏิบัติ ดังนี้
7.1 ทำความสะอาดช่องจมูกทั้งสองข้างและทุก 8 ชั่วโมงเพื่อให้ช่องจมูกโล่งทำให้ได้รับออกซิเจนปริมาณถูกต้อง
7.2สวมเขี้ยวเข้าในช่องจมูกทั้ง 2 ข้างโดยให้ส่วนโค้งแนบไปกับโพรงจมูก คล้องสายกับใบหู2ข้าง ปรับสายให้พอดีไว้ใต้คาง หรืออ้อมรอบศีรษะ เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งปูองกันเลื่อนหลุด
กรณีให้ maskให้ปฏิบัติ ดังนี้
8.1 simple mask ครอบหน้ากากบริเวณสันจมูกและปากให้แนบสนิทปรับสายคล้องทัดเหนือใบหูรอบศีรษะ จัดให้พอดีปูองกันการรั่วของออกซิเจน
8.2 ชนิดมีถุง เปิดออกซิเจนไหลผ่านถุง 10 -20 ลิตร/นาที จนถุงโปุงเต็มที่เพื่อไล่ก๊าซอื่นที่ค้างในถุงออกรวมทั้งทดสอบถุงไม่รั่วแล้วจึงใส่เหมือน simple mask
กรณีให้ oxygen hood (oxygen box) ให้ปฏิบัติ ดังนี้
9.1 ต่อท่อออกซิเจนเข้ากับกล่อง
9.2 วางครอบเฉพาะศีรษะและไหล่ ระวังไม่ให้สายอยู่ใกล้หน้าเด็ก ให้ออกซิเจนในปริมาณพอเพียงและไม่ให้ออกซิเจนระคายเคืองตาเด็ก
กรณีให้ T-pieceให้ปฏิบัติ ดังนี้
10.1 ควรดูดเสมหะออกก่อนเพื่อให้ออกซิเจนไหลผ่านหลอดลมคอได้สะดวก
10.2 ต่อสาย T –piece ครอบท่อหลอดลมคอ จัดสายไม่ให้เกิดภาวะดึงรั้งกรณีผู้ป่วยที่ได้รับยาในรูปการสูดละอองยาเข้าทางเดินหายใจโดยตรง
ลงบันทึกทางการพยาบาล ได้แก่ อาการ สัญญาณชีพปริมาณออกซิเจนที่ให้อุปกรณ์ที่ใช้และปฏิกิริยาผู้ป่วยเมื่อได้รับออกซิเจน
7.8กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
ตัวอย่าง
หญิงไทยสูงอายุ90 ปี ป่วยเป็นโรคชราและความจำเสื่อม ช่วยเหลือตนเองได้น้อยมาก นอนติดเตียง (bed redden) ให้ออกซิเจน cannula2 lit/min มีเสมหะใสไอออกได้เองจงประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยรายนี้
การประเมินภาวะสุขภาพ
S : “ผู้ปุวยบอกว่าหายใจไม่สะดวก”
O : หญิงไทยสูงอายุ ปุวยเป็นโรคชราและความจำเสื่อมนอนติดเตียงอ่อนเพลียซีดเล็กน้อยรูปร่างผอมบาง ช่วยเหลือตนเองได้น้อยon O2 cannula2 lit/min
การตรวจร่างกาย: พบfine Crepitation at Right lower lobe
ผล Chest X-ray ปอดพบ: infiltration Right upper lobe
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ: Hct = 27 % Hb = 9 mg% Vital signs: T = 37 ̊C, P = 80 ครั้ง/นาที, R = 26 ครั้ง/นาที, BP = 140/90mmHg
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง ข้อมูลสนับสนุนผู้ป่วยมีเสมหะสีเหลืองข้น
การวางแผนการพยาบาล
วัตถุประสงค์
เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย2 lit/min ตามแผนการรักษาและไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีพบอาการของภาวะพร่องออกซิเจน เช่น หายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียวและค่า O2 sat ≥ 95%
อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16-24 ครั้ง/นาทีลักษณะการหายใจปกติ
ผู้ป่วยได้รับO2cannula2 lit/min และปลอดภัย
ผลเลือด Hb = 12 -16 g/dl และHct = 37 -47 %
ฟังปอด พบ ทางเดินหายใจโล่งไม่มีเสมหะ
การวางแผน
วางแผนให้การผู้ป่วยได้รับออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 2 lit/min ตามแผนการรักษาและมีความปลอดภัยขณะได้รับการออกซิเจนและจัดเตรียมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนชนิด cannula
การปฏิบัติการพยาบาล
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ
วัดvital signsทุก 4 ชม
จัดท่านอนศีรษะสูงเพื่อทำให้กระบังคมเคลื่อนต่ำลง
7.ประเมิน O2saturation ทุก 2 ชม
จัดสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย ติดป้ายห้ามสูบบุหรี่ หรือห้ามนำวัตถุไวไฟเข้าใกล้บริเวณเตียงผู้ปุวยและดูแลให้น้ำกลั่นในhumidifier ในระดับปกติ
ติดตามผลเลือดHb,Hct และ Chest X-Ray เพื่อทราบค่าแสดงถึงความเข้มข้นของเลือในร่างกายและ Chest X-ray เป็นการประเมินความก้าวหน้าของการรักษา
ปรับออกซิเจนให้ได้ 2 lit/min แล้วจัดให้สายcannula อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมคล้องสายกับหูทั้งสองข้างให้พอดี
ดูแลส่งเสริมการพักผ่อนและการนอนหลับผู้ป่วยให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพราะการพักผ่อนบนเตียงจะช่วยลดการใช้ออกซิเจนในการทำกิจกรรม ทำให้อาการเหนื่อยอ่อนเพลียลดลง
ประเมินสภาพผู้ป่วยก่อนได้รับออกซิเจน
ให้การพยาบาลด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เพื่อลดความวิตกกังวลและความกลัว
5.การประเมินผลการพยาบาล
5.1 ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
3) ไม่มีพบอาการของภาวะพร่องออกซิเจน และค่า O2sat ไม่น้อยกว่า 95%
4) อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16-24 ครั้ง/นาทีลักษณะการหายใจปกติ
2) ผู้ป่วยได้รับO2 cannula2 lit/min และปลอดภัย
5) ผลเลือด Hb = 12 -16 g/dl และHct = 37 -47 %
1) ประเมินความสุขสบายของผู้ป่วย
6) ฟังปอด พบ fine Crepitation at Right lower lobeลดลง
5.2 ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
1) ประเมินการปฏิบัติถูกต้องครบและเป็นไปตามขั้นตอนของการปฏิบัติ
2) ประเมินการจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ครบถ้วนเพียงพอหรือไม่
5.3 ประเมินผลคุณภาพการบริการ
ประเมินคุณภาพของการให้บริการข้อ5.2 และข้อ 5.3 ทุกข้ออยู่ในระดับใด
(โดยการให้คะแนนระดับดีมาก–ดี–ปานกลาง-ปรับปรุง)