Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ระบบทางเดินหายใจและกลไกการทำงาน
ระบบทางเดินหายใจจะผ่านอวัยวะหลายอย่าง
จมูก
ใช้เพื่อเป็นทางเข้าของอากาศ มีหน้าที่ในการดักจับฝุ่นละออง และเพิ่มความชุ่มชื้นของอากาศ
โพรงจมูกและช่องคอ
ทำหน้าที่ เพิ่มอุณหภูมิ ดักจับเชื้อโรค และเพิ่มความชุ่มชื้นของอากาศ
ฝาปิดกล่องเสียง
ทำหน้าที่กันไม่ให้อาหารที่เรากลืนตกลงสู่ ระบบทางเดินหายใจ
กล่องเสียง
ใช้ในการสร้างเสียง และเป็นทางเดินหายใจ
หลอดคอ หลอดลม และ หลอดลมฝอย
ทำหน้าที่ลาเลียงอากาศ ดักจับเชื้อโรค และกำจัดเชื้อโรค
ถุงลม
ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส ระหว่างอากาศที่ลำเลียงมากับเส้นเลือดฝอยที่ล้อมรอบ
กลไกการหายใจของมนุษย์
ประกอบด้วย การหายใจเข้า การหายใจออก และการหายใจระดับเซลล์ ซึ่งมีกลไกการทำงานร่วมกันของกระดูกซี่โครงและกล้ามเนื้อกระบังลม
ความสาคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
การทำงานของเม็ดเลือดแดง
มีหน้าที่ขนส่งก๊าซ เม็ดเลือดแดง เป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียนมีอายุขัยประมาณ120 วันร่างกายเรามีการทำลายและการ สร้างเม็ดเลือดใหม่ตลอดเวลา แต่ละเซลล์เม็ดเลือดแดง จะมีส่วนประกอบที่เป็น Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) อยู่ถึง 97 % ซึ่งตัว Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) นี้ ทาหน้าที่ในการ“จับกับก๊าซเพื่อการขนส่ง” ซึ่งHemoglobin (ฮีโมโกลบิน) แต่ละตัว สามารถจับกับแก๊สได้ 4 โมเลกุล มีการศึกษาพบว่า ในเม็ดเลือดแดงใน แต่ละเซลล์นั้นมี Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) มากมายถึง 50 ล้านหน่วย
ความดันออกซิเจน
ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ ความดันออกซิเจนและการขนส่งสู่เนื้อเยื่อ หลังจากเลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนในเลือดสูงอยู่ เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจานวนน้อยสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปหาเซลล์ต่างๆ แต่เมื่อการ เดินทางไปในอวัยวะที่ไกลขึ้น ความเข้มข้นออกซิเจนในเลือดลดลง เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจานวน มากขึ้นตามลาดับเพื่อให้ออกซิเจนออกมาอยู่ในกระแสเลือดเพื่อส่งไปสู่เซลล์โดย เลือดเป็นตัวกลางการ ส่งผ่านออกซิเจนสู่เซลล์ ส่วน เม็ดเลือดแดงเป็นถังเก็บออกซิเจนที่จะค่อยๆ ปล่อยออกซิเจนออกมาเรื่อย ๆ พบว่า ออกซิเจนในถุงลมยิ่งเยอะ ออกซิเจนในเลือดก็ยิ่งเยอะตาม และสุดท้ายออกซิเจนในเม็ดเลือดแดงก็จะ เยอะขึ้นตาม
การหมุนเวียน
เพื่อกาจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเซลล์เนื้อเยื่อขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกออก จะมีการขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กลับไป
ที่ปอด เพื่อทาการหายใจระบายออก กลไกการขนส่งมี 2 อย่างที่เป็นหลัก
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้า เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก (H2CO3) และแตกตัวเป็นไฮโดรเจนไออน (H+) กับไบคาร์บอเนต (HCO3)
ปัจจัยที่มีผลตอการไดรับออกซิเจนของบุคคล
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง
การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก ๆ
ความเครียด
อาหารที่มีไขมันมาก
ผู้สูงอายุ
การสูบบุหรี่
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกาย
ใช้เทคนิคการสังเกตและการประเมินสัญญาณชีพ
1) ระบบทางเดินหายใจ
2) ระบบหัวใจและหลอดเลือด
3) ระบบประสาทส่วนกลาง
4) ระบบผิวหนัง
5) ระบบทางเดินอาหาร
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เป็นการเจาะเลือดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อ ประเมินการทางานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และหลอดเลือดและการแปลผล
1) ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง(Arterial blood gas: ABG)
2) ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation)
3) การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
อาการไอ (Cough)
สาเหตุของการไอ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ มีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจาก ไข้หวัด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง และถ้าไอมากกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากหลอดลม อักเสบ จมูกและไซนัสอักเสบเรื้อรัง หอบหืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดอักเสบเรื้อรัง จากการติดเชื้อ หรือ มะเร็งหลอดลม
ฝุ่น ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้าที่สำลักเข้าไป
ความร้อน - เย็นของอากาศ จะทำให้การไอมากขึ้น
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ เช่น ไอเนื่องจากมีฝุุนละอองมาก
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนอง มักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ เช่น โรคปอด บวม และวัณโรคปอด เป็นต้น และเสมหะที่ไม่เป็นหนอง เช่น โรคหอบหืด
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ประเมินประสิทธิภาพการไอ ลักษณะไอแห้ง ๆ หรือไอแบบมีเสมหะ โดยการฟังเสียงไอ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่ และระยะเวลาของการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจานวน ลักษณะ สี และกลิ่นของเสมหะด้วย
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
กระตุ้นให้ดื่มน้าอุ่นบ่อย ๆ และปริมาณมาก เพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่าย จากการเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ (effective cough) โดยการให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนยกศีรษะ
สูง (Fowler’s position) และหายใจเข้าลึก ๆ เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง กลั้นหายใจสักครู่ แล้วไอออกมาอย่าง แรงโดยเฉพาะผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่มักกลัวเจ็บต้องอธิบายให้ทราบถึงความจำเป็น
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
Hemoptysis
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดปนออกมา คือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคมะเร็งของ หลอดลม หรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรค หลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือมะเร็งหลอดลม
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่า ๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อุบัติเหตุ
การอักเสบ ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ กล่องเสียง หลอดลมใหญ่ และ ในเนื้อปอด
เนื้องอก และมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่าง ๆ ทำให้เกิดการไอเป็นเลือดได้ เช่น หลอด เลือดที่เลี้ยงปอดอุดตัน วัณโรค และปอดบวม
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรง ของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด และพยาบาลจะต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation) พยาบาลต้องคอย ปลอบโยน ให้กำลังใจ และให้การดูแลจนผู้ป่วยควบคุมตนเองได้ เพื่อช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและลดความ ตกใจ
Hiccup การสะอึก
สาเหตุของอาการสะอึก
อาการสะอึกเป็นอาการปกติทั่วไป ไม่ได้เกิดจากโรค โดยมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบ บ่อย เช่น กินอิ่มมากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส (Carbonate) ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ จัด หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที เช่น ดื่มเครื่องดื่มเย็นจัด หรือ กินอาหารร้อนจัด เมื่อท้องว่าง กินอาหารรสจัด เช่น เผ็ด เปรี้ยว เค็ม และหวานจัด หายใจเอาควันต่าง ๆ เข้าไป ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่น น้ำมะนาว เป็นต้น หรือดื่มน้ำเปล่า
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม
Dyspnea อาการหายใจลาบาก
สาเหตุของการหายใจลำบาก
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้นหรือปอดถูกทำลาย
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทำงานของหัวใจไม่ดี เนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจตายหรือลิ้นหัวใจรั่ว ในผู้ป่วยที่มีอาการซีกซ้ายของหัวใจวายอาการหายใจลาบากอาจเกิดขึ้นในเวลากลางคืน หรือเกิดขึ้นเป็นพัก ๆ
สาเหตุเกี่ยวกับประสาททำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลาบาก
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูงและให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม ทุก 1 - 2 ชั่วโมง
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน เช่น การใส่ท่อช่วย หายใจ (endotracheal tube: ET)
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer) เพื่อให้หายใจสะดวก
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer) เพื่อให้หายใจสะดวก
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดอาการหายใจลำบากโดยหายใจ
ด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม (หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องแฟบ) หายใจออกทางปาก โดยห่อริมฝีปาก (pursed – lip breathing) ในกรณีที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจ การหายใจโดยวิธีนี้จะช่วยให้ทางเดิน หายใจไม่ปิดในขณะหายใจออก อากาศจะค้างในปอดน้อยลง ระยะเวลาในการหายใจออกจะมากขึ้น และจะ ช่วยให้เสมหะที่อยู่ในปอดส่วนลึก ๆ ถูกขับออกมาได้ง่ายขึ้น
Chest pain อาการเจ็บหน้าอก
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่ และเจ็บเมื่อใช้มือกดที่บริเวณนั้น
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบมักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบ และมักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึก ๆ หรือเวลาไอ ทำให้ผู้ป่วยต้องหายใจตื้น ๆ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจาก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บตลอดเวลา อาจมีลักษณะในข้อ 2 ร่วมด้วย ถ้าการอักเสบลุกลามถึงเยื่อหุ้มปอด
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากหัวใจ เช่น ภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจโคโรนารี (coronary artery) ตีบแคบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณกระดูก sternum โดยเฉพาะจะเจ็บหรือปวดมากเมื่อเวลา ออกกาลังกาย เช่น เดินขึ้นบันได เป็นต้น และอาการเจ็บจะหายไปเมื่อพัก อาจมีปวดร้าวไปถึงหัวไหล่ คอ และ แขน
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากหลอดลมอักเสบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูก อาจเจ็บตลอดเวลา และเจ็บมากเมื่อเวลาไอ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากเส้นประสาท เช่น โรครากประสาทสันหลัง (posterior nerve root) จะปวดร้าวไปตามแขนงของประสาท intercostalnerve ซึ่งอยู่ตามแนวกระดูกซี่โครง และปวด ตลอดเวลา พบในโรคงูสวัด (herpes zoster)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
สังเกตอาการ ถ้าผู้ปุวยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะนำให้นอนตะแคงทับด้านที่ เป็น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น อาจต้องให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด ถ้าเป็นอาการเจ็บ หน้าอกจากหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial infarction) จะมีอันตรายกว่าการเจ็บหน้าอกจาก ระบบหายใจมาก
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
วิตกกังวล(anxiety)กระสับกระส่าย(restlessness)
ระดับการมีสมาธิลดลง (decreased ability to concentrate)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง (decreased level of consciousness)
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น (increased fatigue)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น (increase pulse rate) ขั้นรุนแรง และพบ bradycardia
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก (increase rate and depth respiration) ระยะต่อมาจะเปลี่ยนเป็นหายใจสั้นและตื้น (shallow and slow respiration)
ความดันโลหิตลดลง (blood pressure will decrease)
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ (cardiac dysthymias)
มีภาวะซีด (pallor)
มีอาการเขียวคล้า (cyanosis)
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุ้ม (clubbing)
อาการหายใจลำบาก (dyspnea)
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทาให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ โดยวิธีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO2 < 60 mmHg หรือ SaO2 < 90 % เมื่อ หายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ปุวยหลัง โดนไฟไหม้
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง (severe trauma)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน (acute myocardial infarction: MI)
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการทาผ่าตัด เช่น หลังการดมยาสลบ หรือการทา ผ่าตัดใหญ่
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ป่วยที่หายใจเอง เมื่อค่า PaO2 ≥ 60 มม.ปรอท โดยที่ค่า
PaCO2 สูงกว่าภาวะปกติ (PaO2 ย่อมาจาก Partial pressure of arterial oxygen หมายถึง ค่าความดัน บางส่วนของก๊าซออกซิเจนในหลอดเลือดแดง(PaCO2 ย่อมาจาก Partial pressure of arterial carbondioxide หมายถึง ค่าความดันบางส่วนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในหลอดเลือดแดง)
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis) ออกซิเจนเป็นพิษ (oxygen toxicity) หรือกด การทางานของ cilia ที่กาลังพัดโบกกาจัดสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ปุวยที่ได้รับพิษจาก paraquat เช่น ยาฆ่าหญ้า เป็นต้นหรือ ผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด อาจทาให้เสริมฤทธิ์ของสารพิษที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายเร็วขึ้น
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ำที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟ ด้วยคุณสมบัติเคมีของออกซิเจนเอง
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบ nebulizer สามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้ เนื่องจากการสูดดมโดยตรง
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทำให้ขบวนการติดไฟ เพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
ตรวจวัดสัญญาณชีพ ดูลักษณะและอัตราเร็วของการหายใจ ความดันโลหิตและชีพจร
ความผิดปกติของสีผิว ดูลักษณะบริเวณริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้า ผิวหนังว่ามีอาการ เขียวหรือไม่ ในรายที่ให้ออกซิเจนทางกระโจมสังเกตอาการหนาวสั่นด้วย
ระดับความรู้สึกตัว
วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง (Tridal Volume) ในกรณีที่ผู้ปุวยอาการหนักและมี เครื่องมือวัดโดยเฉพาะ
ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซิเจน (Blood gas)
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ(Clear air way)
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก 2 - 3 ชั่วโมง
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่าง ๆ
ระบบการให้ออกซิเจน
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ (Low flow system)
การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula) หรือ nasal prongs
การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก (mask)
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system)
การให้ออกซิเจนชนิดT- piece
การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม (tracheostomy collar)
การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent
การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box
การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube: ET)
แหล่งให้ออกซิเจน (Oxygen source)
ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank)
ระบบท่อ (Oxygen pipeline)
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนในเซลล์ต่ำ (hypoxia) ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง (high fowler’s position) ในท่านี้จะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น โดยกระบังลมจะหย่อนลง ทำให้ปอดขยายตัวเต็มที่ และมีปริมาณอากาศเพิ่มมากขึ้น
การบริหารการหายใจ
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม (diaphragmatic breathing)
การหายใจโดยการห่อปาก (pursed - lip breathing)
การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing)
การดูดเสมหะ (suction)
การช่วยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
ทำการดูดเสมหะออก
จัดท่านอนให้เหมาะสม กระตุ้นให้เปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ
กระตุ้นให้ไอบ่อย ๆ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ ให้เสมหะอ่อนตัวไอออกได้ง่าย
การทำ postural drainage เป็นการจัดท่าเพื่อช่วยระบายเสมหะที่ค้างอยู่
การเพิ่มความสามารถในการขยายตัวของทรวงอกและปอด
จัดท่านอนศีรษะสูง
กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจลึก ๆ บ่อยๆ
จัดให้มีการออกกำลังกายตามความสามารถของผู้ป่วย
ป้องกันอาการท้องอืดที่อาจเกิดขึ้น โดยให้อาหารที่ย่อยง่ายครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง และงดอาหารที่ทำให้เกิดก๊าซง่าย
ใส่เสื้อผ้าที่สวมสบายให้แก่ผู้ป่วย
การเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่เข้าปอด
ลดความต้องการปริมาณออกซิเจนในร่างกาย
การผ่อนคลายความวิตกกังวล โดยแนะนาการทาสมาธิ หรือการนอนใส่หูฟัง ให้ฟังเพลง
วิธีการดูดเสมหะ
การดูดเสมหะทางจมูก (Nasopharygeal) หรือปาก (oropharyngeal suction)
การดูดเสมหะผ่านทางจมูก หรือ nasal airway ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อยาวภายในกลวง ลักษณะของท่อโค้ง และ มีความยืดหยุ่นให้สามารถสอดใส่เข้าทางรูจมูกผ่านไปถึงโพรงจมูกด้านหลัง (nasophgryngeal) ได้สะดวก หรือดูดเสมหะผ่านทางปาก (oral airway) ซึ่งเป็นท่อขนาดใหญ่กว่าสอดใส่เข้าทางปากผ่านช่องปากไปถึงโคน ลิ้น
การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ(Endotracheal) หรือทางท่อหลอดคอ (tracheostomy suction)
เป็นการดูดเสมหะผ่านท่อช่วยหายใจEndotrachealหรือทางท่อเจาะคอที่ เจาะผ่านหลอดลมออกมาภายนอก(tracheostomy tube)ซึ่งเป็นหัตถการโดยแพทย์ช่วยให้สามารถดูดเสมหะที่อยู่ในทางเดินหายใจส่วนล่างออกมาได้ง่าย โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถไอขับ เสมหะออกได้ การใส่ endotracheal tube เข้าทางปาก (orotracheal) หรือทางจมูก (nasotracheal) โดย ผ่าน epiglottis และ vocalcord เข้าสู่ Trachea การใส่ endotracheal tube ใส่ไว้ไม่เกิน 3-4 สัปดาห์ จึง ต้องทำการเปลี่ยนเป็น tracheostomy tube ซึ่งเป็นการเจาะใส่ท่อเข้าหลอดลมTrachea โดยตรง
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน การให้ออกซิเจนอุปกรณ์ที่ใช้มีโอกาสก่อให้เกิดการติดเชื้อ ได้ เช่น น้ำกลั่นในขวด humidifier สายที่นาออกซิเจนมาสู่ผู้ป่วย
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากออกซิเจนเป็นก๊าซ แห้ง เมื่อผ่านเข้าในระบบทางเดินหายใจจะทำให้เยื่อบุแห้ง
อาจเกิดการทาลายเนื้อเยื่อในปอด ออกซิเจนจะก่อพิษในปอดได้หากได้รับในระยะเวลานาน คือ 24 – 48 ชั่วโมง และความเข้มข้นของก๊าซ มากกว่าร้อยละ 60 อาการเป็นพิษนี้พบได้ตั้งแต่ อาการระคาย เคืองของหลอดลม เกิดการอักเสบ และมีอาการไอตลอดเวลาซึ่งอาจทาให้เกิดอาการหายใจลำบากได้
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา (retrolental fibroplasias) คือ การได้รับออกซิเจนความเข้มข้น สูงเป็นระยะเวลานาน ๆ จะเกิดกับหลอดเลือดหลังเลนส์เปลี่ยนแปลง มีผลทำให้ปิดกั้นลาแสงที่พุ่งตรงไปจอตา
อาจเกิดการหยุดหายใจ ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ศูนย์การหายใจจะไม่เป็นตัวควบคุม การหายใจ แต่ใช้ chemoreceptor reflex เป็นตัวควบคุมแทน โดยใช้ภาวะการขาดออกซิเจน เป็นตัวเร่งให้ เกิดการหายใจ ดังนั้นถ้าให้ออกซิเจนความเข้มข้นสูงจะทำให้การเร่งจากภาวะการขาดออกซิเจนหายไปทาให้ ผู้ป่วยหยุดหายใจได้ เรียกว่า เกิดภาวะง่วงงันจากการคั่งของคาร์บอนได้ออกไซด์ (CO2 narcosis)
อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด เพราะการสันดาป (combustion) เป็น ขบวนการที่เชื้อเพลิงทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนเกิดเป็น oxide มีความร้อนและพลังงาน เกิดขึ้น
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
ตัวอย่าง
หญิงไทยสูงอายุ 90 ปี ป่วยเป็นโรคชราและความจำเสื่อม ช่วยเหลือตนเองได้น้อยมาก นอนติด เตียง (bed redden) ให้ออกซิเจน cannula 2 lit/min มีเสมหะใสไอออกได้เอง
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)
S : “ผู้ป่วยบอกว่าหายใจไม่สะดวก”
O : หญิงไทยสูงอายุ ป่วยเป็นโรคชราและความจำเสื่อมนอนติดเตียง อ่อนเพลีย ซีดเล็กน้อยรูปร่างผอมบาง ช่วยเหลือตนเองได้น้อย on O2 cannula 2 lit/min
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
ข้อมูลสนับสนุน
ผู้ป่วยมีเสมหะสีเหลืองข้น
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
วัตถุประสงค์
เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 2 lit/ min ตามแผนการรักษา และไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยได้รับ O2 cannula 2 lit/ min และปลอดภัย
ไม่มีพบอาการของภาวะพร่องออกซิเจน เช่น หายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้า เขียว และค่า O2 sat ≥ 95%
อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16-24 ครั้ง/ นาที ลักษณะการหายใจปกติ
ผลเลือด Hb = 12 - 16 g/ dl และHct = 37 - 47 %
ฟังปอด พบ ทางเดินหายใจโล่งไม่มีเสมหะ
การวางแผน
วางแผนให้การผู้ป่วยได้รับออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย2 lit/min ตามแผนการรักษาและมีความปลอดภัยขณะได้รับการออกซิเจน และจัดเตรียมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนชนิด cannula
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
ประเมินสภาพผู้ป่วยก่อนได้รับออกซิเจน
ปรับออกซิเจนให้ได้ 2 lit/ min แล้วจัดให้สาย cannula อยู่ในตาแหน่งที่เหมาะสมคล้องสายกับหูทั้งสองข้างให้พอดี
จัดสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย ติดป้ายห้ามสูบบุหรี่ หรือห้ามนำวัตถุไวไฟเข้าใกล้บริเวณเตียงผู้ป่วย และดูแลให้น้ากลั่นใน humidifier ในระดับปกติ
จัดท่านอนศีรษะสูง เพื่อทาให้กระบังคมเคลื่อนต่าลง ปอดขยายตัวได้เต็มที่เพิ่มพื้นท่ีในการแลกเปลี่ยนก๊าซมากขึ้น
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ การไออย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้ลดการคั่งค้างของเสมหะที่ปอดทาให้ปอดขยายตัวได้เพิ่มขึ้น
วัด vital signs ทุก 4 ชม เพื่อการประเมินสัญญาณชีพจะช่วยให้ทราบความรุนแรงของภาวะพร่องออกซิเจน
ประเมิน O2 saturation ทุก 2 ชม. เพื่อเป็นการวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ติดตามผลเลือด Hb, Hct และ Chest X-Ray เพื่อทราบค่าแสดงถึงความเข้มข้นของเลือดในร่างกายและ Chest X-ray เป็นการประเมินความก้าวหน้าของการรักษา เพื่อติดตามผลการรักษา อาการ infiltration ในปอดลดลง คงที่หรือเพิ่มขึ้น
ดูแลส่งเสริมการพักผ่อนและการนอนหลับผู้ป่วยให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพราะการพักผ่อนบนเตียงจะช่วยลดการใช้ออกซิเจนในการทำกิจกรรม ทำให้อาการเหนื่อยอ่อนเพลียลดลง
ให้การพยาบาลด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เพื่อลดความวิตกกังวลและความกลัว
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
ประเมินความสุขสบายของผู้ป่วย (โดยการสอบถามผู้ป่วย)
ผู้ป่วยได้รับ O2 cannula 2 lit/min และปลอดภัย
ไม่มีพบอาการของภาวะพร่องออกซิเจน และค่า O2 sat ไม่น้อยกว่า 95 %
อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16 - 24 ครั้ง/ นาที ลักษณะการหายใจปกติ
ผลเลือด Hb = 12 - 16 g/ dl และHct = 37 - 47 %
ฟังปอด พบ fine Crepitation at Right lower lobe ลดลง
ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
ประเมินการปฏิบัติถูกต้องครบและเป็นไปตามขั้นตอนของการปฏิบัติ (โดย นักศึกษาทบทวนบทเรียนตามขั้นตอนการปฏิบัติการให้ออกซิเจน)
ประเมินการจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ครบถ้วนเพียงพอหรือไม่ (โดยการ ตรวจสอบความครบถ้วนของใช้ การจัดเก็บของเข้าที่เดิมและเตรียมพร้อมใช้งานครั้งต่อไป)
ประเมินผลคุณภาพการบริการ
ประเมินคุณภาพของการให้บริการ ข้อ 5.2 และข้อ 5.3 ทุกข้อ อยู่ในระดับใด (โดยการ ให้คะแนนระดับดีมาก – ดี – ปานกลาง - ปรับปรุง)