Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ระบบทางเดินหายใจและกลไกการทำงาน
ระบบทางเดินหายใจ
มีหน้าที่ในการ เติมก๊าซที่
สาคัญ เช่น ออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือด และกาจัดก๊าซของเสียจากร่างกาย เช่น คาร์บอนไดออกไซด์
กลไกการหายใจของมนุษย์
1. การหายใจเข้า (Inspiration)
จะเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครงหดตัว ซึ่งจะทาให้กระดูกซี่โครง
เลื่อนสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน
2. การหายใจออก (Expiration)
จะเกิดขึ้นหลังจากการหายใจเข้า แล้วทาให้กล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครง
มีการคลายตัว จึงทาให้กระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลง
3. การหายใจในระดับเซลล์
เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นระหว่างก๊าซออกซิเจนกับสารอาหาร
ภายในเซลล์ทาให้เกิด (adenosine triphosphate: ATP) ขึ้นเพื่อไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น
กลไกควบคุมการหายใจ
1. การควบคุมแบบอัตโนมัติ
ซึ่งเป็นการหายใจที่ไม่สามารถบังคับได้ โดยสมองส่วน pons และmedulla เป็นตัวสร้างและส่งสัญญาณประสาทไปกระตุ้นกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ
2. การควบคุมภายใต้อานาจจิตใจ
ซึ่งเป็นการหายใจที่สามารถบังคับได้
7.1 ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
1. การทำงานของเม็ดเลือดแดง
มีหน้าที่ขนส่งก๊าซ เม็ดเลือดแดง เป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่งมีหน้าที่
หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน มีอายุขัยประมาณ 120 วัน
2. ความดันออกซิเจน
ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
3. การหมุนเวียน เพื่อกาจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
กลไกการขนส่งมี 2 อย่างที่เป็นหลัก
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้า เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก (H2CO3) และแตกตัว
เป็นไฮโดรเจนไออน (H+) กับไบคาร์บอเนต (HCO3)
7.2 ปัจจัยที่มีผลตอการได้รับออกซิเจนของบุคคล
ระบบทางเดินหายใจเปนระบบเปดของรางกายที่ติดตอกับสิ่งแวดลอมภายนอก โดยมีการนาอากาศจากภายนอกผานโครงสรางของทางเดินหายใจภายนอก (conducting airway)และภายใน (respiratoryunit) เขาสูปอด
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง ภาวะดังกล่าวจะมีความหนาแน่นของอากาศลดลง
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง ภาวะดังกล่าวทาให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง
การเล่นกีฬาหรือออกกาลังกายหนัก ๆ ขณะออกกาลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติ
ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ
อาหารที่มีไขมันมาก จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย
7.3 การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
7.3.1 การประเมินสภาพร่างกาย ใช้เทคนิคการสังเกต และการประเมินสัญญาณชีพ
1) ระบบทางเดินหายใจ ระยะแรกของเซลล์พร่องออกซิเจนอย่างอ่อน
2) ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประเมินพบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นใน
ระยะแรก เพื่อปรับชดเชย
3) ระบบประสาทส่วนกลาง สังเกตและประเมินพบ ความรู้สึกตัวของผู้ปุวยเปลี่ยนแปลงกระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ
4) ระบบผิวหนัง ระยะแรก พบว่า ผิวหนังผู้ปุวยเย็น ซีด เพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะพร่องออกซิเจน โดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ
7.3.2 การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1) ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG)
เป็นการตรวจเพื่อหาประสิทธิภาพการทางานของปอด เพื่อประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการหายใจ
pH เป็นตัวชี้วัดภาวะความเป็นกรดด่างของร่างกาย ค่าปกติ อยู่ระหว่าง 7.35-7.45 ถ้าค่าต่ากว่า7.35 แสดงว่าเกิดภาวะเป็นกรด และถ้าค่าสูงกว่า 7.45 แสดงว่าเกิดภาวะเป็นด่าง
PaCO2 เป็นการวัดความดันของคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในเลือด ถ้าระดับของ CO2 ในเลือดสูงเพิ่มขึ้นอัตราการหายใจจะเร็วขึ้นเพื่อให้ปอดสามารถขับ CO2 ที่คั่งออก ค่าปกติอยู่ระหว่าง 35-45 mmHg
PaO2 เป็นตัวบ่งชี้ให้ทราบถึงปริมาณของออกซิเจน (O2) ในเลือดที่จับกับ Hemoglobin ค่าปกติ
อยู่ระหว่าง 80-100 mmHg
HCO3 เป็นการวัดค่าความเข้มข้นไฮโดรเจนไอออน (HCO3-) ในเลือดที่ช่วยบอกการทางานของไต หรือความเป็นกรดด่างในร่างกายได้ ค่าปกติอยู่ระหว่าง 18-25 mEg/L
SaO2 เป็นค่าเปรียบเทียบระหว่าง Hemoglobin ที่มี O2 ที่อิ่มตัวกับความสามารถสูงสุดของHemoglobin ที่จะจับกับ O2 ได้ ค่าปกติอยู่ระหว่าง 97-100 %
2) ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
(Arterial oxygen saturation)
ใช้ pulse oximeter เป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน(oxyhemoglobin) ต่อปริมาณฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือด
3) การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
ในเลือดค่าฮีโมโกลบินปกติในผู้หญิง11.5 – 16.5 gm % (กรัมเปอร์เซนต์) และในผู้ชาย 13.0 - 18 gm % (กรัมเปอร์เซนต์)
สาเหตุของ hypoxia และหรือ hypoxemia พบความผิดปกติของระบบต่าง ๆ ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยออกซิเจน
ระบบทางเดินหายใจ เช่น การอุดกั้น
ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจชนิดต่าง ๆ
โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อย เช่น ภาวะโลหิตจาง
ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติต่าง ๆ
**7.4 สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
7.4.1 อาการไอ (Cough)
อาการไอ เปนกลไกการตอบสนองของ
รางกายอยางหนึ่งตอสิ่งผิดปกติในทางเดินหายใจ
สาเหตุของการไอ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ มีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากไข้หวัด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง และถ้าไอมากกว่า 2 สัปดาห์
ฝุน ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้าที่สาลักเข้าไป
ความร้อน - เย็นของอากาศ จะทาให้การไอมากขึ้น
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ เช่น ไอเนื่องจากมีฝุนละอองมาก
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนอง มักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ
7.4.2 Hemoptysis อาการไอเป็นเลือด
หมายถึง การมีเลือดออกจากทางเดินหายใจตั้งแต่กล่องเสียงลงไป ไม่รวมเลือดกาเดา (epistaxis)
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดปนออกมา คือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่า ๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อุบัติเหตุ
การอักเสบ ทาให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง
หรือมีแผลในคอ กล่องเสียง หลอดลมใหญ่
เนื้องอก และมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่าง ๆ
7.4.3 Hiccup การสะอึ
ก เป็นอาการที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างช่องปอดและช่องท้อง ที่เกิดขึ้นเองโดยไม่สามารถควบคุมได้
สาเหตุของอาการสะอึก
กินอิ่มมากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทาให้เกิดแก๊ส (Carbonate) ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่จัด หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย เป็นต้น
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่น น้ามะนาว เป็นต้น หรือดื่มน้าเปล่า
แนะนาให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
7.4.4 Dyspnea อาการหายใจลาบาก
หมายถึง อาการซึ่งผู้ปุวยต้องใช้ความพยายามหรือใช้แรงในการ
หายใจ
สาเหตุของการหายใจลาบาก
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น
หรือปอดถูกทาลาย เป็นต้น
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทางานของหัวใจไม่ดี
เนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลาบาก
ดูแลให้ผู้ปุวยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม ทุก 1 - 2ชั่วโมง
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สาหรับช่วยเหลือผู้ปุวยฉุกเฉิน เช่น การใส่ท่อช่วย
7.4.5 Chest pain อาการเจ็บหน้าอก
1) อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่
2) อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
3) อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจาก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
สังเกตอาการ ถ้าผู้ปุวยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะนาให้นอนตะแคงทับด้านที่เป็น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น อาจต้องให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด ถ้าเป็นอาการเจ็บหน้าอกจากหัวใจ
7.5 บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
7.5.1 อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
วิตกกังวล (anxiety) กระสับกระส่าย (restlessness)
ระดับการมีสมาธิลดลง (decreased ability to concentrate)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง (decreased level of consciousness)
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น (increased fatigue)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
7.5.2 วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทาให้ออกซิเจนในเลือดต่า โดยวิธีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง
โดยเฉพาะผู้ปุวยโรคถุงลมโปุงฟอง
เป็นการช่วยการทางานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ
และระบบการไหลเวียนโลหิตและ
7.5.3 ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO2 < 60 mmHg หรือ SaO2 < 90 % เมื่อหายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ปุวยหลังโดนไฟไหม้ เป็นต้น
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง (severe trauma)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน (acute myocardial infarction: MI)
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการทาผ่าตัด เช่น หลังการดมยาสลบ
7.5.4 ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง เมื่อค่า PaO2 ≥ 60 มม.ปรอท โดยที่ค่าPaCO2 สูงกว่าภาวะปกติ
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis) ออกซิเจนเป็นพิษ (oxygen toxicity) หรือกดการทางานของ cilia
7.5.5 การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
1. หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
1.1 ตรวจวัดสัญญาณชีพ ดูลักษณะ และอัตราเร็วของการหายใจ ความดันโลหิตและชีพจร
1.2 ความผิดปกติของสีผิว ดูลักษณะบริเวณริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้า ผิวหนังว่ามีอาการเขียวหรือไม่ ในรายที่ให้ออกซิเจนทางกระโจมสังเกตอาการหนาวสั่นด้วย
1.3 ระดับความรู้สึกตัว
2. หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
2.1 ตรวจดูสายยาง ให้อยู่ในตาแหน่งที่ถูกต้อง ไม่เลื่อนหลุดจากที่รอยต่อต่างๆ ต้องคงที่ไม่บิดงอ ไม่อุดตัน
2.2 ขวดทาความชื้นมีน้าอยู่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
3. ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ(Clear air way
)
3.1 การจัดท่านอน ท่านั่ง ให้ผู้ปุวยรู้สึกสบาย และปอดขยายได้เต็มที่โดยให้อยู่ในท่าศีรษะสูง
3.2 ดูดเสมหะที่ค้างตามท่าทางเดินหายใจเป็นระยะๆ เพื่อปูองกันการอุดตัน
3.3 สอนการไออย่างถูกวิธี เพื่อให้ระบายเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ
หรือ ทุก 2 - 3 ชั่วโมง ผู้ป่วยมักคอแห้ง มีกลิ่นปาก
4.1 ให้จิบน้าบ่อยๆ
4.2 ถ้าเจ็บคอ ให้ล้างปากด้วยน้ายา
หรือบ้วนด้วยน้าสะอาดบ่อยๆ
4.3 ทาริมฝีปากด้วย กลีเซอรีน บอแรกซ์
7.6 เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่าง ๆ
ระบบการให้ออกซิเจน
1) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่า (Low flow system)
(1) การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula) หรือ nasal prongs
เป็นการให้ออกซิเจนทางจมูก
(2) การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก (mask)
เป็นการให้ออกซิเจนทางหน้ากากครอบปากและจมูกผู้ปุวย โดยเปิดออกซิเจนเข้าในหน้ากาก วิธีนี้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
2.1) Simple mask
เป็นชนิดที่ให้ออกซิเจนความเข้มข้นร้อยละ 40-50 การปรับอัตราไหลของออกซิเจน 5 – 8 ลิตร/ นาที
(2.2) Reservoir bag (partial rebreathing mask)
ให้ความเข้มข้นสูงกว่าร้อยละ 60–90 ซึ่งสูงกว่าชนิดไม่มีถุงชนิดนี้
(2.3) Non rebreathing mask
ลักษณะคล้าย partial rebreathing ยกเว้นรูระบายอากาศส่วนหน้ากากลักษณะเป็นลิ้นไหลทางเดียว (unidirectional valve) ทั้ง 2 ข้าง
2) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system)
(1) การให้ออกซิเจนชนิดT- piece
เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนผู้ปุวยที่มีท่อทางเดินหายใจ ทาด้วยพลาสติกเบา เพื่อไม่ให้ดึงรั้งท่อเจาะหลอดลมคอ
(2) การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม (tracheostomy collar)
เป็นอุปกรณ์คล้ายหน้ากากคล้องไว้กับคอ ครอบบนท่อเจาะหลอดลมคอ ออกซิเจนจะไหลเข้าทางรูเปิดขณะหายใจเข้า
(3) การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent
เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนที่ครอบตัวผู้ปุวยลักษณะคล้ายเต็นท์ ประกอบด้วยมุ้งพลาสติก มีซิบเปิด-ปิด ครอบบนโครงโลหะ ด้านหลังกล่องใส่น้าแข็ง
(4) การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box
เป็นอุปกรณ์ใช้ครอบศีรษะและไหล่ผู้ปุวยเด็ก
(5) การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube: ET)
เป็นท่อช่วยหายใจซึ่งแพทย์จะใส่ท่อนี้เข้าไปในหลอดลมของผู้ปุวย แล้วต่อเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ (respirator) ใช้ในผู้ปุวยที่ไม่สามารถหายใจได้ด้วยตนเอง
ระบบให้ความชื้น (Humidification)
1) ชนิดละอองโต (Bubble)
ให้ความชื้นในส่วนต้นของทางเดินหายใจ
30 – 40 % สายให้ก๊าซมีขนาดเล็ก
2) ชนิดละอองฝอย (Jet)
ให้ความชื้นในทางเดินหายใจที่อยู่ลึกเหมาะ
กับผู้ปุวยที่มีเสมหะเหนียว มักเห็นเป็นหมอก
แหล่งให้ออกซิเจน (Oxygen source)
1) ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank)
ก่อนใช้ออกซิเจนจากถังบรรจุออกซิเจน ต้องมี
อุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซ (regulation of gas flow)
2) ระบบท่อ (Oxygen pipeline)
ก่อนใช้ออกซิเจนจากระบบท่อ ต้องมีอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซ (regulation of gas flow) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการไหลของออกซิเจนออกจากแหล่งจัดเก็บออกซิเจน