Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
การแลกเปลี่ยนก๊าซ
แบ่งการทำงาน
การทำงานของเม็ดเลือดแดง
ขนส่งก๊าซเม็ดเลือดแดง
มีอายุขัยประมาณ 120 วัน
มีส่วนประกอบที่เป็น Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน)
ความดันออกซิเจน
เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
เลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนในเลือดสูง
เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนน้อยสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปหาเซลล์ต่างๆ
การหมุนเวียน เพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เซลล์เนื้อเยื่อขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออก
มีการขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กลับไปที่ปอด
เพื่อทำการหายใจระบายออก
การแลกเปลี่ยนก๊าซโดยรวมเกิดจาก ความดันออกซิเจน และ คาร์บอนไดออกไซด์
ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับออกซิเจนของบุคคล
ภาวะที่ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง
มีความหนาแน่นของอากาศลดลง
ออกซิเจนมีระดับต่ำกว่าปกติ
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง
การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ขณะออกกำลังกาย
ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติ
เป็นสาเหตุทำให้เหนื่อยเร็ว และอ่อนล้า
ความเครียด
เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น
ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาหารที่มีไขมันมาก จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย
ผู้สูงอายุ
ร่างกายจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น
ความเสื่อมเกิดขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย
ระบบการหมุนเวียนเลือดและหัวใจ
ทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
การสูบบุหรี่
มีผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ระบบ
ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
หลอดเลือดมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล
การดื่มในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกายเกิดผล
เสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง
ส่งผลต่อตับ สมอง หรือหัวใจและหลอดเลือด
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกาย
ใช้เทคนิคการสังเกต และการประเมินสัญญาณชีพ
อุณหภูมิร่างกาย (Temperature: T)
ชีพจร (Pulse: P)
การหายใจ (Respiration: R)
ความดันโลหิต (Blood pressure: BP)
ระบบทางเดินหายใจ
ระยะแรกของเซลล์พร่องออกซิเจนอย่างอ่อน
สังเกตพบ ผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่สะดวก
หายใจลำบากเมื่อนอนราบ (Orthopnea) ต้องนั่งหายใจหลังจากนอนหลับไปแล้วระยะหนึ่งต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจ (paroxysmal nocturnal dyspnea)
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ
ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นในระยะแรก เพื่อปรับชดเชย
ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง เจ็บหน้าอก
หัวใจหยุดเต้นในระยะสุดท้าย
ระบบประสาทส่วนกลาง
ความรู้สึกตัวของผู้ปุวยเปลี่ยนแปลง
กระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะ
เพ้อ หมดสติ หรือชัก
ระบบผิวหนัง ระยะแรก
ผิวหนังผู้ป่วยเย็น ซีด เพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะ
พร่องออกซิเจน
พบอาการเขียวคล้ำ โดยเห็นชัด
บริเวณริมฝีปาก เล็บมือเล็บเท้า และเสียชีวิตในที่สุด
ระบบทางเดินอาหาร
ประเมินและสังเกตพบมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนในระยะแรก
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG)
ประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการหายใจ
บอกถึงความสามารถของ Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) ในการจับออกซิเจนเข้าสู่เซลล์
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
(Arterial oxygen saturation)
ใช้ pulseoximeter เป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละ
ฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน (oxyhemoglobin) ต่อปริมาณฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือด
การแปลผลต้องพิจารณาปริมาณเม็ดเลือดแดงและหรือค่าฮีโมโกลบินร่วม
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
ค่าฮีโมโกลบินปกติในผู้หญิง
11.5 – 16.5 gm %
ในผู้ชาย 13.0 - 18 gm %
สาเหตุของ hypoxia และหรือ hypoxemia พบความผิดปกติของระบบต่าง ๆ
ระบบทางเดินหายใจ
การอุดกั้น การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ
มีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง การบาดเจ็บที่ทรวงอก
. ระบบหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจชนิดต่าง ๆ
ภาวะช็อกจากสาเหตุต่าง ๆ
โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อย
ภาวะโลหิตจาง
ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติต่าง ๆ
ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ
การบาดเจ็บของสมอง
และได้รับยาที่กดการหายใจ
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดส่วนอก
และช่องท้อง
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
อาการไอ (Cough)
สาเหตุของการไอ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ
ฝุุ่น ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน - เย็นของอากาศ จะทำให้การไอมากขึ้น
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนอง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ประเมินประสิทธิภาพการไอ
ฟังเสียงไอ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่
และระยะเวลาของการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจำนวน ลักษณะ สี
และกลิ่นของเสมหะ
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ และปริมาณมาก
เพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ (effective cough)
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
Hemoptysis อาการไอเป็นเลือด
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดปนออกมา
มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน
พบในโรคมะเร็งของ
หลอดลม หรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย
มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
พบในโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง
หรือมะเร็งหลอดลม
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม
จากมีเลือดเก่า ๆ ปนออกมาด้วย
พบในวัณโรคปอด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อุบัติเหตุ
การอักเสบ ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง
เนื้องอก และมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอด
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด
ผู้ปุวยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation)
พยาบาลต้องคอยปลอบโยน ให้กำลังใจ
ให้การดูแลจนผู้ป่วยควบคุมตนเองได
Hiccup การสะอึก
สาเหตุของอาการสะอึก
อาการสะอึกเป็นอาการปกติทั่วไป ไม่ได้เกิดจากโรค
สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยง
กินอิ่มมากเกินไป
ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส (Carbonate)
ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่จัด
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
ดื่มเครื่องดื่มเย็นจัด
กินอาหารร้อนจัดเมื่อท้องว่าง
กินอาหารรสจัด
ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
ยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
อาการสะอึกส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราว
โดยทั่วไปอาการสะอึกจะหายได้เอง
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน
แอมโมเนีย
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด
น้ำมะนาว หรือดื่มน้ำเปล่า
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ
ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม
ถือแก้วน้ำแล้วหลุดออกจากมือขณะสะอึก
ขณะรับประทานอาหารอาจสำลักได้
Dyspnea อาการหายใจลำบาก
สาเหตุของการหายใจลำบาก
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทำลาย
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ
การทำงานของหัวใจไม่ดี
เนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจ
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท
ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี
โรคไขสันหลังอักเสบ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer) เพื่อให้หายใจสะดวก
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ
Chest pain อาการเจ็บหน้าอก
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจาก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากหัวใจ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากหลอดลมอักเสบ
อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากเส้นประสาท
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
สังเกตอาการ
ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด
ควรแนะนำให้นอนตะแคงทับด้านที่เป็น
ประเมินหาสาเหตุของอาการ
อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
วิตกกังวล (anxiety) กระสับกระส่าย (restlessness)
ระดับการมีสมาธิลดลง
(decreased ability to concentrate)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง
(decreased level of consciousness)
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น (increased fatigue)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น (increase pulse rate)
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก
(increase rate and depth respiration)
ความดันโลหิตลดลง (blood pressure will decrease)
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ (cardiac dysthymias)
มีภาวะซีด (pallor)
มีอาการเขียวคล้ำ (cyanosis)
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุ๋ม (clubbing)
อาการหายใจลำบาก (dyspnea)
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งฟอง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ
ระบบการไหลเวียนโลหิตและ
หลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด
มีภาวะPaO2 < 60 mmHg
aO2 < 90 % เมื่อ
หายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia
ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว
ผู้ป่วยหลังโดนไฟไหม้
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง (severe trauma)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน
(acute myocardial infarction: MI)
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการทำผ่าตัด
หลังการดมยาสลบ
การทำผ่าตัดใหญ่
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ป่วยที่หายใจเอง
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis)
ออกซิเจนเป็นพิษ (oxygen toxicity)
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่ได้รับพิษจาก paraquat
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ำที่สุด
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจน
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
ตรวจวัดสัญญาณชีพ ดูลักษณะ และอัตราเร็วของการหายใจ ความดันโลหิตและชีพจร
ความผิดปกติของสีผิว ดูลักษณะบริเวณริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้า ผิวหนัง
ระดับความรู้สึกตัว
วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง (Tridal Volume)
ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซิเจน (Blood gas)
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ตรวจดูสายยาง ให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
ขวดทำความชื้นมีน้ำอยู่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
ขวดทำความชื้นมีน้ำอยู่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
ถ้าเป็นออกซิเจนถัง จะต้องให้มีออกซิเจนอยู่เสมอ
เปลี่ยนและนำอุปกรณ์การใช้ออกซิเจน ไปทำความสะอาดและทำให้ปลอดเชื้อ
ถ้าให้ออกซิเจนจากระบบ pipeline ที่มีรูเปิด (outlet) สำหรับเสียบ flow meter จะต้องดูให้ flow meter เสียบเข้าที
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ
(Clear air way)
การจัดท่านอน ท่านั่ง ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย และปอดขยายได้เต็มที่โดยให้อยู่ในท่าศีรษะสูง
ดูดเสมหะที่ค้างตามท่าทางเดินหายใจเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการอุดตัน
สอนการไออย่างถูกวิธี เพื่อให้ระบายเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กระตุ้นให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อให้น้ำช่วยละลายเสมหะให้ขับออกได้ง่าย
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก 2 - 3 ชั่วโมง
ให้จิบน้ำบ่อยๆ
ถ้าเจ็บคอ ให้ล้างปากด้วยน้ำยา หรือบ้วนด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆ
ทาริมฝีปากด้วย กลีเซอรีน บอแรกซ์
ทำความสะอาดช่องจมูก
ดูแลความสะอาดบริเวณหน้า
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
บอกประโยชน์ของการได้รับออกซิเจน
พยาบาลควรมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือ
แนะนำ อธิบายให้ผู้ป่วยรู้จักเครื่องมือต่างๆได้ง่าย
ดูแลควบคุมอัตราการไหของออกซิเจนให้เพียงพอ
ไม่ให้ผู้ป่วยอึดอัด
สนใจ รับฟังความต้องการของผู้ปุวยอย่างจิงจัง
ให้เวลาผู้ป่วยในการพูดคุย สัมผัสผู้ป่วยบ้างและรีบไปดูแลทันทีเมื่อผู้ป่วยขอความช่วยเหลือ
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่าง ๆ
ระบบการให้ออกซิเจน
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ (Low flow system)
การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula)
หรือ nasal prongs
การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก (mask)
Simple mask เป็นชนิดที่ให้ออกซิเจนความเข้มข้นร้อยละ 40-50
Reservoir bag (partial rebreathing mask) ให้ความเข้มข้นสูงกว่าร้อยละ 60–90
Non rebreathing mask ลักษณะคล้าย partial rebreathing ยกเว้นรูระบายอากาศส่วนหน้ากากลักษณะเป็นลิ้นไหลทางเดียว (unidirectional valve)
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system)
การให้ออกซิเจนชนิดT- piece เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนผู้ป่วยที่มีท่อทางเดินหายใจ
การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม (tracheostomy collar) เป็นอุปกรณ์คล้ายหน้ากากคล้องไว้กับคอ ครอบบนท่อเจาะหลอดลมคอ
การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนที่ครอบตัวผู้ป่วยลักษณะคล้ายเต็นท์
การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box เป็นอุปกรณ์ใช้ครอบศีรษะและไหล่ผู้ป่วยเด็ก
การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ(endotrachealtube: ET) เป็นท่อช่วยหายใจซึ่งแพทย์จะใส่ท่อนี้เข้าไปในหลอดลมของผู้ป่วย
ระบบให้ความชื้น (Humidification)
ชนิดละอองโต (Bubble)
ให้ความชื้นในส่วนต้นของทางเดินหายใจ 30 – 40 %
ชนิดละอองฝอย (Jet)
ให้ความชื้นในทางเดินหายใจที่อยู่ลึกเหมาะกับผู้ป่วยที่มีเสมหะเหนียว
แหล่งให้ออกซิเจน (Oxygen source)
ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank)
ระบบท่อ (Oxygen pipeline)
ภาวะบ่งชี้ในการรักษาด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง
โรคฟองแก๊สอุดตันในหลอดเลือดแดง
(air or gas Embolism )
โรคคาร์บอนมอนน็อคไซด์เป็นพิษ/ การสำลักควันไฟ (CO poisoning and smoke inhalation)
การติดเชื้อของเนื้อเยื่อจากแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน (clostridial gas gangrene)
. การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อเนื่องจากการถูกบดขยี้
โรคที่เกิดจากความดัน
อากาศ หรือน้ำ (decompression sickness)
โรคแผลเรื้อรัง (chronic wounds)
แผลเบาหวาน (diabetic ulcers)
แผลจากการกดทับ (pressure ulcers)
แผลจากการไหลเวียนหลอดเลือดดำ
หรือหลอดเลือดแดงไม่ดี (ischemic ulcers)
โลหิตจางเนื่องจากเสียเลือดจำนวนมาก
(exceptional blood loss)
การติดเชื้อและมีการตายของเนื้อเยื่อ
(necrotizing soft tissue infection)
การติดเชื้อเรื้อรังของเยื่อหุ้มกระดูก
(refractory osteomyelitis)
การปลูกถ่ายผิวหนังและกล้ามเนื้อ
(compromised skin graft or flap)
การได้รับบาดเจ็บจากรังสี (radiation Injury)
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนในเซลล์ต่ำ (hypoxia)
ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง (high fowler’s position)
ท่านี้จะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น
กระบังลมจะหย่อนลง ทฎให้ปอดขยายตัวเต็มที่
ผู้ป่วยที่หายใจลำบากทำให้นอนราบไม่ได้
ควรจัดท่า orthopnea position เป็นท่าศีรษะสูง
ต้องอยู่ในท่านั่งหรือฟุบหลับบนเก้าอี้
ใช้หมอน 3 – 4 ใบ วางซ้อนกันและตัวผู้ป่วยฟุบพาดโต๊ะ
การบริหารการหายใจ
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม (diaphragmatic breathing)
ตรวจดูให้แน่ใจว่าจมูก หลอดลม ไม่มีน้ำมูก หรือเสมหะ และไม่มีอาการบวมคั่ง
ช่วยเหลือผู้ป่วยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย
สอนผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก (ปิดปากให้สนิท)
แนะนำให้ผู้ป่วยหยุดหายใจช้าๆ หลังหายใจเข้าลึกเต็มที่แล้วเป่าลมออกทางปากช้า ๆ
กระตุ้นให้ผู้ป่วยหดเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องไล่อากาศออกจากปอดให้มากที่สุด
อธิบายให้ผู้ป่วยเป่าลมออกทางปากช้า ๆ ประมาณ 2 – 3 เท่า ของระบบการหายใจเข้า
หลังจากฝึกปฏิบัติจนชำนาญแล้ว อาจใช้ของหนักประมาณ 5 ปอนด์ วางบนหน้าท้อง
ให้ผู้ป่วยฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลมหายใจครั้งละ 10 – 20 นาที ทุกชั่วโมง จนเกิดความเคยชิน
การหายใจโดยการห่อปาก (pursed - lip breathing)
ช่วยเหลือผู้ป่วยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย
แนะนำผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก (ปิดปากให้สนิท)
แนะนำผู้ป่วยให้หายใจออกทางปากช้า ๆ โดยการห่อปาก
อธิบายให้ผู้ป่วยตั้งใจเป่าลมออกทางปากช้า ๆ
ใช้วิธีการหายใจ เมื่อผู้ป่วยมีการหายใจสั้น และฝึกการหายใจ 5-10 นาที วันละ 4 ครั้ง
เนื่องจากหายใจลำบาก ถ้าผู้ป่วยฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย
การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing)
จัดท่าให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึก ๆ และไอได้สะดวก
รวบตรึงบริเวณผ่าตัดด้วยหมอน โดยใช้มือกอดหมอน
แนะนำให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึก ๆ อย่างช้า ๆ ในกรณีผู้ป่วยหลังการผ่าตัด
แนะนำผู้ป่วยให้กลั้นหายใจและไอออกแรงๆ
เตรียมกระดาษเยื่อและชามรูปไต หรือกระโถนให้ผู้ป่วย
การดูดเสมหะ (suction)
การช่วยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
ทำการดูดเสมหะออก
จัดท่านอนให้เหมาะสม กระตุ้นให้เปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ
กระตุ้นให้ไอบ่อย ๆ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ
การทำ postural drainage เป็นการจัดท่าเพื่อช่วยระบายเสมหะที่ค้างอยู่
การเพิ่มความสามารถในการขยายตัวของทรวงอกและปอด
จัดท่านอนศีรษะสูง
กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจลึก ๆ บ่อยๆ
จัดให้มีการออกกำลังกายตามความสามารถของผู้ป่วย
ป้องกันอาการท้องอืดที่อาจเกิดขึ้น
ใส่เสื้อผ้าที่สวมสบายให้แก่ผู้ป่วย
การเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่เข้าปอด
ให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula)
ทางหน้ากาก (oxygen mask) หรือทางเต้นท์ (oxygen tents)
ต้องควบคุมให้อัตราความเข้มข้นต่ำ
การลดความต้องการปริมาณออกซิเจนในร่างกาย
การผ่อนคลายความวิตกกังวล
วิธีการดูดเสมหะ
เครื่องดูดเสมหะชนิดเคลื่อนที่ (mobile suction)
ชนิดติดฝาผนัง (wall suction)
การดูดเสมหะทางจมูก (Nasopharygeal) หรือปาก (oropharyngeal suction)
การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ (Endotracheal)หรือทางท่อหลอดคอ (tracheostomy suction)
อาการแทรกซ้อน
แรงกด หรือการระคายเคืองบริเวณรูจมูกและริมฝีปากอาจทำให้เกิดแผล
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ
อาจเกิดการสำลักจากการกระตุ้น gag reflex
ริมฝีปากแห้งเกิดเป็นแผลได้ง่าย
อาจเกิดความผิดปกติในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และเกิดภาวะความดันในสมองสูง
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ ขณะ/ และหลังการดูดเสมหะ
แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน บ่งบอกถึงความเป็นมิตร และช่วยลดภาวะตื่นกลัว
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าในถึงวัตถุประสงค์และความจำเป็น
บอกให้ผู้ป่วยทราบก่อนว่า “จะทำการดูดเสมหะอย่างเบามือที่สุด ถ้าเจ็บหรือทนไม่ไหวให้ยกมือขึ้น” เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย และให้ความร่วมมือ
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าจะมีการหายใจลำบากในขณะดูด
ทำการดูดเสมหะด้วยความเบามือ และนุ่มนวล
หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดทำความสะอาด เก็บของใช้ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
พูดให้กำลังใจก่อนเดินออกจากเตียงผู้ป่วย
วัตถุประสงค์
การเก็บเสมหะส่งตรวจ (Sputum examination)
ได้เสมหะแล้วบ้วนลงภาชนะสะอาดชนิดมีฝาปิด
ควรตรวจดูให้แน่ใจว่าเป็นเสมหะไม่ใช่น้ำลาย
มีลักษณะเป็นเมือก เหนียว ขุ่นข้น มีสีเหลือง สีเขียว
หรือสีแดงปน
. การตรวจเสมหะแบบเพาะเชื้อ (Sputum culture)
เพื่อต้องการทราบว่าผู้ป่วยติดเชื้อชนิดใด
ปฏิกิริยาต่อยาปฏิชีวนะ
ได้เสมหะแล้วบ้วนลงภาชนะสะอาดปราศจากเชื้อชนิดมีฝาปิด
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
ข้อควรปฏิบัติและต้องคำนึงถึง
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา (retrolental fibroplasias)
อาจเกิดการหยุดหายใจ ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด
หลักปฏิบัติในการให้ออกซิเจนชนิดต่าง ๆ
ล้างมือให้สะอาด สวมmask เพื่อป้องกันการนำเชื้อเข้าสู่ผู้ป่วย
ประเมินสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัว
ใส่ flow meter กับแหล่งที่มาของออกซิเจนที่มาจากชนิดผนัง (wall type) จากถังใช้ highpressure gas regulator ให้ถูกต้องและแน่นพอดี
ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อ ให้ระดับน้ำอยู่ตรงตำแหน่งขีดที่กำหนดข้างกระบอกป้องกันไม่ให้ flow meter เสียหรือน้อยกว่าขีด
ปรับระดับลูกลอยใน flow mete
หมุนปุ่มเปิด flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนทิ้งไว้ 1 – 2 นาที
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
ประเมินผลคุณภาพการบริการ