Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ระบบทางเดินหายใจและกลไกการทำงาน
ระบบทางเดินหายใจ เป็นระบบสำคัญระบบหนึ่งในร่างกายในการรักษาสมดุลก๊าซในกระแสเลือด
โดยมีการทำงานสอดคล้องกับระบบหัวใจและหลอดเลือดระบบทางเดินหายใจมีหน้าที่ในการ เติมก๊าซที่ สำคัญ
ระบบทางเดินหายใจจะผ่านอวัยวะหลายอย่าง ที่มีหน้าที่แตกต่างกันดังนี้
จมูก ใช้เพื่อเป็นทางเข้าของอากาศ มีหน้าที่ในการดักจับฝุ่นละออง และเพิ่มความชุ่มชื้นของอากาศ
ฝาปิดกล่องเสียง ทำหน้าที่กันไม่ให้อาหารที่เรากลืนตกลงสู่ ระบบทางเดินหายใจ
กล่องเสียง ใช้ในการสร้างเสียง และเป็นทางเดินหายใจ
โพรงจมูกและช่องคอ ทำหน้าที่ เพิ่มอุณหภูมิ ดักจับเชื้อโรค และเพิ่มความชุ่มชื้นของอากาศ
หลอดคอ หลอดลม และ หลอดลมฝอย ทำหน้าที่ลำเลียงอากาศ ดักจับเชื้อโรค และกำจัดเชื้อโรค
ถุงลม ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส ระหว่างอากาศที่ลำเลียงมากับเส้นเลือดฝอยที่ล้อมรอบ
กลไกการหายใจของมนุษย์ ประกอบด้วย การหายใจเข้า การหายใจออก และการหายใจระดับเซลล์ ซึ่งมีกลไกการทำงานร่วมกันของกระดูกซี่โครงและกล้ามเนื้อกระบังลม ดังนี้
การหายใจเข้า (Inspiration) จะเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครงหดตัว ซึ่งจะทำให้กระดูกซี่โครง เลื่อนสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน กระบังลมก็จะหดตัวและเลื่อนต่าลง จึงทำให้ปริมาตรของช่องอกมีมากขึ้นความ ดันภายในช่องอกจะลดต่ำลง ดังนั้น อากาศจากภายนอกจึงสามารถผ่านเข้าสู่ปอดได้
การหายใจออก (Expiration) จะเกิดขึ้นหลังจากการหายใจเข้า แล้วทำให้กล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครง มีการคลายตัว จึงทำให้กระดูกซี่โครงเลื่อนต่าลง โดยกระบังลมที่เลื่อนต่ำลงก็จะกลับเลื่อนตัวสูงขึ้นทำให้ ปริมาตรของช่องอกลดลง ความดันอากาศภายในช่องอกก็จะกลับสูงขึ้น
การหายใจในระดับเซลล์ เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นระหว่างก๊าซออกซิเจนกับสารอาหาร ภายในเซลล์ทำให้เกิด (adenosine triphosphate: ATP) ขึ้นเพื่อไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น
กลไกควบคุมการหายใจ จะเกี่ยวข้องกับระบบประสาทโดยมีการควบคุม 2 ส่วน คือ
การควบคุมแบบอัตโนมัติซึ่งเป็นการหายใจที่ไม่สามารถบังคับได้ โดยสมองส่วน pons และ medulla เป็นตัวสร้างและส่งสัญญาณประสาทไปกระตุ้นกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ ทำให้การหายใจ เข้า-ออกเกิดขึ้นได้อย่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอทั้งในยามหลับและยามตื่น
การควบคุมภายใต้อานาจจิตใจ ซึ่งเป็นการหายใจที่สามารถบังคับได้ โดยสมองส่วนหน้า เรียกว่า cerebral cortex hypothalamus สมองส่วนหลัง เรียกว่า cerebellum ทำให้เราสามารถควบคุม บังคับ หรือปรับการหายใจให้เหมาะสมกับพฤติกรรมต่าง ๆ ของร่างกาย
ปัจจัยที่มีผลต่อการรับออกซิเจนของบุคคล
การทำงานของเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ขนส่งก๊าซ เม็ดเลือดแดง เป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียนมีอายุขัยประมาณ120 วันร่างกายเรามีการทำลายและการ สร้างเม็ดเลือดใหม่ตลอดเวลา
ความดันออกซิเจน ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ ความดันออกซิเจนและการขนส่งสู่เนื้อเยื่อ หลังจากเลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนใน
เลือดสูงอยู่ เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนน้อยสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปหาเซลล์ต่างๆ
3.การหมุนเวียนเพื่อกาจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเซลล์เนื้อเยื่อขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกออก จะมีการขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กลับไป
ที่ปอด เพื่อทาการหายใจระบายออก
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ำ เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก (H2CO3) และแตกตัว
เป็นไฮโดรเจนไออน (H+) กับไบคาร์บอเนต (HCO3)
ปัจจัยที่มีผลตอการไดรับออกซิเจนของบุคคล
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูงภาวะดังกล่าวจะมีความหนาแน่นของอากาศลดลงมีผลให้ออกซิเจนมี ระดับต่ากว่าปกติ ทาให้ร่างกายได้ออกซิเจนน้อยกว่าปกติ ถ้าร่างกายปรับตัวไม่ได้กับภาวะพร่องออกซิเจน ทำ ให้เกิดการภาวะพร่องออกซิเจน
การเล่นกีฬาหรือออกกาลังกายหนัก ๆ ขณะออกกำลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติ อาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เป็นสาเหตุทำให้เหนื่อยเร็ว และอ่อนล้า
ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาหารที่มีไขมันมาก จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้
ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่าลง
ผู้สูงอายุ ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ความเสื่อมเกิดขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย เช่น ระบบการหมุนเวียนเลือดและหัวใจ ทาให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
การสูบบุหรี่ มีผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ระบบ เช่น กล่องเสียง หลอดเลือดในสมอง ถุงลม และ ปอดทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง ทาให้หลอดเลือดมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก และมี ออกซิเจนน้อย การสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานาน ๆ ส่งผลให้เกิดอาการพร่องออกซิเจนเป็นมากขึ้น
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์การดื่มในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกายเกิดผล เสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อตับ สมอง หรือหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น ในแบบเฉียบพลัน
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกายใช้เทคนิคการสังเกตและการประเมินสัญญาณชีพประกอบด้วย อุณหภูมิร่างกาย (Temperature: T) ชีพจร (Pulse: P) การหายใจ (Respiration: R) และความดันโลหิต (Blood pressure: BP) โดยใช้เทคนิคการสังเกตลักษณะทั่วไป พบว่า
1) ระบบทางเดินหายใจ ระยะแรกของเซลล์พร่องออกซิเจนอย่างอ่อน สังเกตพบ ผู้ป่วยมีอาการ หายใจไม่สะดวก หายใจลาบากเมื่อนอนราบ (Orthopnea) ต้องนั่งหายใจหลังจากนอนหลับไปแล้วระยะหนึ่ง ต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจ (paroxysmal nocturnal dyspnea)
2) ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประเมินพบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นใน ระยะแรก เพื่อปรับชดเชย ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง เจ็บหน้าอก และหัวใจหยุดเต้นในระยะ สุดท้าย
3) ระบบประสาทส่วนกลาง สังเกตและประเมินพบ ความรู้สึกตัวของผู้ปุวยเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะ (เนื่องจากหลอดเลือดสมองขยายตัว) เพ้อ หมดสติ หรือชัก
4) ระบบผิวหนัง ระยะแรก พบว่า ผิวหนังผู้ป่วยเย็น ซีด เพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะ พร่องออกซิเจน โดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสาคัญ เช่น สมอง เป็นต้น เลือดที่เลี้ยงผิวหนัง ไต ปอด เพราะต้องการออกซิเจนน้อยกว่า
5) ระบบทางเดินอาหาร ประเมินและสังเกตพบมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนในระยะแรก
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง(Arterial blood gas: ABG) เป็นการตรวจเพื่อหา ประสิทธิภาพการทางานของปอด เพื่อประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการหายใจ ค่าเหล่านี้ บอกถึงความสามารถของ Hemoglobin
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation) ใช้ pulse oximeter เป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน (oxyhemoglobin) ต่อปริมาณ ฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือด การแปลผลต้องพิจารณาปริมาณเม็ดเลือดแดงและหรือค่าฮีโมโกลบินร่วมด้วย จงึ เป็นการวัด arterial oxygen saturation
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb) ในเลือดค่าฮีโมโกลบินปกติในผู้หญิง 11.5 – 16.5 gm % (กรัมเปอร์เซนต์) และในผู้ชาย 13.0 - 18 gm % (กรัมเปอร์เซนต์)
สาเหตุของ hypoxia และหรือ hypoxemia พบความผิดปกติของระบบต่าง ๆ ผู้ปุวยที่จาเป็น ต้องได้รับการรักษาด้วยออกซิเจน
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
อาการไอ (Cough)
อาการไอ เปนกลไกการตอบสนองของรางกายอยางหนึ่งตอสิ่งผิดปกติในทางเดินหายใจ และเปนกล ไก ปองกันที่สาคัญของรางกายในการกาจัดเชื้อโรค เสมหะ หรือสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ และเปนอาการที่นาผูปุวยมาพบแพทยไดบอยที่สุด นอกจากนี้ อาการไอยังเปนสาเหตที่สาคัญในการแพร กระจายของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
สาเหตุของการไอ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ มีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจาก ไข้หวัด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง และถ้าไอมากกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากหลอดลม อักเสบ จมูกและไซนัสอักเสบเรื้อรัง หอบหืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดอักเสบเรื้อรัง จากการติดเชื้อ หรือ มะเร็งหลอดลม
ฝุ่น ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน - เย็นของอากาศ จะทาให้การไอมากขึ้น
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ เช่น ไอเนื่องจากมีฝุ่นละอองมาก เป็นต้น
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนอง มักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ เช่น โรคปอด บวม และวัณโรคปอด เป็นต้น และเสมหะที่ไม่เป็นหนอง เช่น โรคหอบหืด เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ประเมินประสิทธิภาพการไอ ลักษณะไอแห้ง ๆ หรือไอแบบมีเสมหะ โดยการฟังเสียงไอ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่ และระยะเวลาของการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจานวน ลักษณะ สี และกลิ่นของเสมหะด้วย
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
กระตุ้นให้ดื่มน้าอุ่นบ่อย ๆ และปริมาณมาก เพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่าย จากการ
เปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ
อาการไออย่างมีประสิทธิภาพ (effective cough) โดยการให้ผู้ปุวยนั่งหรือนอนยกศีรษะ
สูง (Fowler’s position) และหายใจเข้าลึก ๆ เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง กลั้นหายใจสักครู่ แล้วไอออกมาอย่าง แรงโดยเฉพาะผู้ปุวยหลังผ่าตัดที่มักกลัวเจ็บต้องอธิบายให้ทราบถึงความจาเป็น
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
Hemoptysis
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดปนออกมา คือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคมะเร็งของ หลอดลม หรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรค หลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือมะเร็งหลอดลม
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่า ๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อุบัติเหตุ
การอักเสบ ทาให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ กล่องเสียง หลอดลมใหญ่ และ ในเนื้อปอด
เนื้องอก และมะเร็ง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรง ของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด และพยาบาลจะต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation) พยาบาลต้องคอย ปลอบโยน ให้กาลังใจ และให้การดูแลจนผู้ป่วยควบคุมตนเองได้ เพื่อช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและลดความ ตกใจ
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation) พยาบาลต้องคอย ปลอบโยน ให้กำลังใจ และให้การดูแลจนผู้ป่วยควบคุมตนเองได้ เพื่อช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและลดความ ตกใจ
สาเหตุของอาการสะอึก
โดยทั่วไป อาการสะอึกเป็นอาการปกติทั่วไป ไม่ได้เกิดจากโรค โดยมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบ บ่อย เช่น กินอิ่มมากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส (Carbonate) ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ จัด หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที เช่น ดื่มเครื่องดื่มเย็นจัด หรือ กินอาหารร้อนจัด เมื่อท้องว่าง กินอาหารรสจัด เช่น เผ็ด เปรี้ยว เค็ม และหวานจัด หายใจเอาควันต่าง ๆ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย เป็นต้น
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่น น้ามะนาว เป็นต้น หรือดื่มน้าเปล่า
แนะนาให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แนะนาให้กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น เป็นต้น
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ถือแก้วน้ำแล้วหลุดออกจากมือขณะสะอึก หรือ
ขณะรับประทานอาหารอาจสำลักได้
Dyspnea
อาการหายใจลาบาก
สาเหตุของการหายใจลาบาก
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจเช่นทางเดินหายใจอุดกั้นหรือปอดถูกทาลายเป็นต้น
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทำงานของหัวใจไม่ดี เนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจ
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ ผู้ปุวยที่หายใจลาบากอาจมีเสียง wheeze ร่วมด้วย อาการนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีการหดเกร็งของ กล้ามเนื้อรอบหลอดลม ทาให้ผู้ปุวยหายใจเข้าออกไม่สะดวก เวลาหายใจอาจมีเสียง wheeze ดังได้ยิน
ชัดเจน อาการนี้พบได้ในโรคหืด หรือหลอดลมอักเสบ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลาบาก
ดูแลให้ผู้ปุวยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม ทุก 1 - 2 ชั่วโมง
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ปุวยฉุกเฉิน เช่น การใส่ท่อช่วย หายใจ (endotracheal tube: ET) เป็นต้น
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer) เพื่อให้หายใจสะดวก
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา (Oxygen therapy)
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
ระดับการมีสมาธิลดลง (decreased ability to concentrate)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง (decreased level of consciousness)
วิตกกังวล(anxiety)กระสับกระส่าย(restlessness)
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น (increased fatigue)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา มีดังนี้
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทาให้ออกซิเจนในเลือดต่า โดยวิธีการเพิ่มปริมาณ
ออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ปุวยโรคถุงลมโปุงฟอง
เป็นการช่วยการทางานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และระบบการไหลเวียนโลหิตและ
หลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO2 < 60 mmHg หรือ SaO2 < 90 % เมื่อ หายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ปุวยหลัง โดนไฟไหม้ เป็นต้น
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง (severe trauma)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน (acute myocardial infarction: MI)
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการทาผ่าตัด เช่น หลังการดมยาสลบ หรือการทา ผ่าตัดใหญ่ เป็นต้น
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis) ออกซิเจนเป็นพิษ (oxygen toxicity) หรือกด การทางานของ cilia ที่กาลังพัดโบกกาจัดสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ และระบบภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาว เพื่อให้ความเข้มข้นของออกซิเจนขณะหายใจเข้า (FiO2) ≥ 0.5 (FiO2 ย่อมาจาก Fraction of inspired oxygen หมายถึง ความเข้มข้นของก๊าซออกซิเจนขณะหายใจเข้า)
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ปุวยที่ได้รับพิษจากparaquatเช่นยาฆ่าหญ้าเป็นต้นหรือ ผู้ปุวยที่ได้รับยาเคมีบาบัด อาจทาให้เสริมฤทธิ์ของสารพิษที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายเร็วขึ้น
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง เมื่อค่า PaO2 ≥ 60 มม.ปรอท โดยที่ค่า
PaCO2 สูงกว่าภาวะปกติ (PaO2 ย่อมาจาก Partial pressure of arterial oxygen หมายถึง ค่าความดัน บางส่วนของก๊าซออกซิเจนในหลอดเลือดแดง(PaCO2 ย่อมาจากPartialpressureofarterial carbondioxide หมายถึง ค่าความดันบางส่วนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในหลอดเลือดแดง)
ขณะทาผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจากัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่า ที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟ ด้วยคุณสมบัติเคมีของออกซิเจนเอง
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบ nebulizer สามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้ เนื่องจากการสูดดมโดยตรง
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทาให้ขบวนการติดไฟ เพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่าง ๆ
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system)
(1) การให้ออกซิเจนชนิดT- piece เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนผู้ปุวยที่มีท่อทางเดินหายใจ ทาด้วย
พลาสติกเบา เพ่ือไม่ให้ดึงร้ังท่อเจาะหลอดลมคอ
(2) การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม (tracheostomy collar) เป็นอุปกรณ์คล้ายหน้ากากคล้อง ไว้กับคอ ครอบบนท่อเจาะหลอดลมคอ ออกซิเจนจะไหลเข้าทางรูเปิดขณะหายใจเข้า มี corrugated tube เพื่อให้ได้ความชื้นแบบละอองฝอย (jet nebulizer) ออกซิเจนที่ได้จะไม่แห้ง
การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนที่ครอบตัวผู้ปุวยลักษณะ คล้ายเต็นท์
การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box เป็นอุปกรณ์ใช้ครอบศีรษะและไหล่ผู้ปุวย เด็ก
การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube: ET) เป็นท่อช่วยหายใจซึ่งแพทย์ จะใส่ท่อนี้เข้าไปในหลอดลมของผู้ปุวย แล้วต่อเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ
ระบบการให้ออกซิเจน
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่า (Low flow system)
การใหอ้ อกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula) หรือ nasal prongs เป็นการให้ออกซิเจนทางจมูก วิธีนี้ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนที่มีความเข้มข้นต่า ซึ่งจะได้
ข้อดี ผู้ป่วยสามารถดื่มน้าหรือรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องปลดสายออก ไม่ค่อยรู้สึก อึดอัดหรือราคาญมากนัก และติดต่อสารกับผู้อื่นได้สะดวก
ข้อเสีย อาจมีการระคายเคืองช่องจมูกทั้งสองข้าง ทาให้เยื่อบุจมูกบวมและมีน้ามูกออกมาอุดทา ให้ท่อตันได้ จึงควรทาความสะอาดท่อและรูจมูกทุก 8 ชั่วโมง และปรับสายรัดรอบศีรษะของผู้ปุวยให้ พอเหมาะปรับอัตราไหลของออกซิเจน และเฝูาระวังการเกิดแผลกดทับบริเวณใบหูที่กดกับสายยาง
การใหอ้ อกซิเจนทางหน้ากาก (mask)
Simple mask เป็นชนิดที่ให้ออกซิเจนความเข้มข้นร้อยละ 40-50 การปรับอัตรา ไหลของออกซิเจน 5 – 8 ลิตร/ นาที
(2.2) Reservoir bag (partial rebreathing mask) ให้ความเข้มข้นสูงกว่าร้อยละ 60– 90 ซึ่งสูงกว่าชนิดไม่มีถุงชนิดนี้ ออกซิเจนจากเครื่องจะไหลเข้าถุง
(2.3) Non rebreathing mask ลักษณะคล้าย partial rebreathing ยกเว้นรูระบาย อากาศส่วนหน้ากากลักษณะเป็นลิ้นไหลทางเดียว (unidirectional valve) ทั้ง 2 ข้าง
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนในเซลล์ต่า (hypoxia) ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง (high fowler’s position) ในท่านี้จะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น โดยกระบังลมจะหย่อนลง ทาให้ปอดขยายตัวเต็มที่ และมีปริมาณอากาศเพิ่มมากขึ้น
การบริหารการหายใจ
วิธีการหายใจจะช่วยให้การระบายอากาศหายใจดีขึ้น มีประโยชน์ทั้งในผู้ปุวยที่มีปัญหาการ หายใจชนิดปอดถูกกาจัด และชนิดปอดถูกอุดกั้น เพราะเทคนิคการหายใจจะช่วยเพิ่มปริมาตรอากาศที่เข้า ออกจากปอด
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม (diaphragmatic breathing)
การหายใจโดยการห่อปาก (pursed - lip breathing) การหายใจวิธีนี้จะช่วยลดการคั่ง ของอากาศในถุงลม โดยการรักษาความดันบวกในการหายใจ ทาให้หลอดลมขยายตัวนานกว่าปกติ ช่วยให้ อากาศออกจากถุงลมปอดได้มากขึ้น
การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing) การหายใจเข้าลึก ๆ ช่วยขยายหลอดลม กระตุ้น
การสร้างสารเคลือบภายในปอด และช่วยขยายพื้นที่การแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ปอด
การดูดเสมหะ (suction)
วิธีการดูดเสมหะ
การดูดเสมหะ (suction) เป็นการใช้สายยางชนิดดูดเสมหะสอดใส่เข้าทางเดินหายใจแล้วดูด เสมหะออกจากทางเดินหายใจ เพื่อช่วยผู้ปุวยที่ไม่สามารถไอเพื่อขับเสมหะออกได้ หรือผู้ปุวยที่มีเสมหะคั่งค้าง อยู่บริเวณปอดส่วนล่าง ซึ่งยากต่อการขับออกมา โดยใช้สายยางต่อกับเครื่องดูดเสมหะ
วิธีการดูดเสมหะผู้ป่วย มี 2 วิธี คือ
การดูดเสมหะทางจมูก (Nasopharygeal) หรือปาก (oropharyngeal suction)
การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ(Endotracheal) หรือทางท่อหลอดคอ (tracheostomy suction)
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ ขณะ/ และหลังการดูดเสมหะ
แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน บ่งบอกถึงความเป็นมิตร และช่วยลดภาวะตื่นกลัว
อธิบายให้ผู้ปุวยเข้าในถึงวัตถุประสงค์และความจาเป็นของการดูดเสมหะ
บอกให้ผู้ปุวยทราบก่อนว่า “จะทาการดูดเสมหะอย่างเบามือที่สุด ถ้าเจ็บหรือทนไม่ไหวให้ยก มือขึ้น” เพื่อให้ผู้ปุวยผ่อนคลาย และให้ความร่วมมือ
อธิบายให้ผู้ปุวยเข้าใจว่าจะมีการหายใจลาบากในขณะดูด แต่จะดีขึ้นภายหลังเอา สายออก และดูดเสมหะออกแล้ว ทางเดินหายใจโล่งจะรู้สึกสบายขึ้น
ทาการดูดเสมหะด้วยความเบามือ และนุ่มนวล
หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดทาความสะอาด เก็บของใช้ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
พูดให้กาลังใจก่อนเดินออกจากเตียงผู้ปุวย
การดูดเสมหะนั้นมีวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยขับเสมหะออกจากทางเดินหายใจ และทาให้ทางเดิน
หายใจโล่ง นอกจากนั้นยังมีวัตถุประสงค์เพื่อการเก็บเสมหะส่งตรวจ เพื่อยืนยันการวิเคราะห์โรค หรือ ปรับเปลี่ยนยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา ซง่ึ การเก็บเสมหะ
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation) สิ่งที่ต้องประเมิน
5.1 ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
1) ประเมินความสุขสบายของผู้ปุวย (โดยการสอบถามผู้ปุวย)
3) ไม่มีพบอาการของภาวะพร่องออกซิเจน และค่า O2 sat ไม่น้อยกว่า 95 %
2) ผู้ปุวยได้รับ O2 cannula 2 lit/min และปลอดภัย
4) อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16 - 24 ครั้ง/ นาที ลักษณะการหายใจปกติ
5) ผลเลือด Hb = 12 - 16 g/ dl และHct = 37 - 47 %
6) ฟังปอด พบ fine Crepitation at Right lower lobe ลดลง
5.2 ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
1) ประเมินการปฏิบัติถูกต้องครบและเป็นไปตามขั้นตอนของการปฏิบัติ (โดย นักศึกษาทบทวนบทเรียนตามขั้นตอนการปฏิบัติการให้ออกซิเจน)
2) ประเมินการจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ครบถ้วนเพียงพอหรือไม่ (โดยการ ตรวจสอบความครบถ้วนของใช้ การจัดเก็บของเข้าที่เดิมและเตรียมพร้อมใช้งานครั้งต่อไป)
5.3 ประเมินผลคุณภาพการบริการ
ประเมินคุณภาพของการให้บริการ ข้อ 5.2 และข้อ 5.3 ทุกข้อ อยู่ในระดับใด (โดยการ ให้คะแนนระดับดีมาก – ดี – ปานกลาง - ปรับปรุง)