Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน และการดูดเสมหะ -…
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน และการดูดเสมหะ
6 เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่างๆ
ระบบการให้ออกซิเจน
1) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ
(1) การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula)หรือnasal prongs
ข้อดีผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องปลดสายออก ไม่ค่อยรู้สึกอึดอัดหรือรำคาญมากนัก และติดต่อสารกับผู้อื่นได้สะดวก
ข้อเสียอาจมีการระคายเคืองช่องจมูกทั้งสองข้าง ทำให้เยื่อบุจมูกบวมและมีน้ำมูกออกมาอุดทำให้ท่อตันได้
(2) การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก (mask)
(2.2) Reservoir bag (partial rebreathing mask)ให้ความเข้มข้นสูงกว่าร้อยละ60–90 ซึ่งสูงกว่าชนิดไม่มีถุงชนิดนี้ออกซิเจนจากเครื่องจะไหลเข้าถุง
(2.3) Non rebreathing maskลักษณะคล้าย partial rebreathing ยกเว้นรูระบายอากาศส่วนหน้ากากลักษณะเป็นลิ้นไหลทางเดียว (unidirectional valve) ทั้ง2 ข้าง เพื่อให้อากาศไหลออกสู่ภายนอกอย่างเดียวไหลเข้าไม่ได้
(2.1) Simple maskเป็นชนิดที่ให้ออกซิเจนความเข้มข้นร้อยละ 40-50การปรับอัตราไหลของออกซิเจน5 –8 ลิตร/นาที
2) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system)
(2) การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม (tracheostomy collar)เป็นอุปกรณ์คล้ายหน้ากากคล้องไว้กับคอ ครอบบนท่อเจาะหลอดลมคอ ออกซิเจนจะไหลเข้าทางรูเปิดขณะหายใจเข้า
(5) การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ(endotracheal tube: ET) เป็นท่อช่วยหายใจซึ่งแพทย์จะใส่ท่อนี้เข้าไปในหลอดลมของผู้ป่วย แล้วต่อเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ (respirator) ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถหายใจได้ด้วยตนเอง
(3) การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนที่ครอบตัวผู้ป่วยลักษณะคล้ายเต็นท์ ประกอบด้วยมุ้งพลาสติก มีซิบเปิด-ปิด ครอบบนโครงโลหะ ด้านหลังกล่องใส่น้ำแข็ง ทำให้อากาศในมุ้งมีความชื้นสูง
(4) การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen boxเป็นอุปกรณ์ใช้ครอบศีรษะและไหล่ผู้ป่วยเด็ก ลักษณะเป็นกระโจมหรือกล่องพลาสติกให้ออกซิเจนมีท่อนำออกซิเจนเข้าภายใน อัตราการไหลของออกซิเจน10 -12 ลิตร/นาที ความเข้มข้นของออกซิเจนที่ได้ร้อยละ60 –70
(1)การให้ออกซิเจนชนิดT-pieceเป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนผู้ป่วยที่มีท่อทางเดินหายใจทำด้วยพลาสติกเบา เพื่อไม่ให้ดึงรั้งท่อเจาะหลอดลมคอ ลักษณะเป็นท่อสายลูกฟูกเรียกว่า corrugated tube สวมยึดติดกับท่อเจาะหลอดลมคอ
ระบบให้ความชื้น (Humidification)
1) ชนิดละอองโต (Bubble)
ให้ความชื้นในส่วนต้นของทางเดินหายใจ 30–40%สายให้ก๊าซมีขนาดเล็กน้ำจะปุดเป็นฟองเมื่อเปิดให้กับผู้ป่วยมักใช้กับ oxygen cannula, simple face mask, และ partial rebreathing mask
2) ชนิดละอองฝอย (Jet)
ให้ความชื้นในทางเดินหายใจที่อยู่ลึกเหมาะกับผู้ป่วยที่มีเสมหะเหนียว มักเห็นเป็นหมอก สายให้ออกซิเจนมักมีขนาดใหญ่และเป็นลูกฟูก (corrugated)
แหล่งให้ออกซิเจน (Oxygen source)
2) ระบบท่อ(Oxygen pipeline)ก่อนใช้ออกซิเจนจากระบบท่อ ต้องมีอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซ(regulation of gas flow) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการไหลของออกซิเจนออกจากแหล่งจัดเก็บออกซิเจนมาตามระบบท่อ
1) ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank)ก่อนใช้ออกซิเจนจากถังบรรจุออกซิเจน ต้องมีอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซ
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การบริหารการหายใจ
1) การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม (diaphragmatic breathing)สามารถทำได้ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการหายใจเรื้อรังและเฉียบพลัน
3)การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing) การหายใจเข้าลึกๆ ช่วยขยายหลอดลมกระตุ้นการสร้างสารเคลือบภายในปอด และช่วยขยายพื้นที่การแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ปอด
2) การหายใจโดยการห่อปาก (pursed -lip breathing)การหายใจวิธีนี้จะช่วยลดการคั่งของอากาศในถุงลม โดยการรักษาความดันบวกในการหายใจ ทำให้หลอดลมขยายตัวนานกว่าปกติ ช่วยให้อากาศออกจากถุงลมปอดได้มากขึ้น
การดูดเสมหะ(suction)
เสมหะเป็นการพยาบาลอิสระของพยาบาล ซึ่งช่วยทำให้ทางเดินหายใจโล่งออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้เต็มที่ และไม่เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ
วิธีการดูดเสมหะ
1.การดูดเสมหะทางจมูก(Nasopharygeal) หรือปาก (oropharyngealsuction)
2.การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ(Endotracheal) หรือทางท่อหลอดคอ (tracheostomy suction)
การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนในเซลล์ต่ำ (hypoxia) ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง (high fowler’s position) ในท่านี้จะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น โดยกระบังลมจะหย่อนลง ทำให้ปอดขยายตัวเต็มที่และมีปริมาณอากาศเพิ่มมากขึ้น
8กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
ปรับออกซิเจนให้ได้ 2 lit/min แล้วจัดให้สายcannula อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมคล้องสายกับหูทั้งสองข้างให้พอดี
จัดสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย ติดป้ายห้ามสูบบุหรี่ หรือห้ามนำวัตถุไวไฟเข้าใกล้บริเวณเตียงผู้ป่วยและดูแลให้น้ำกลั่นในhumidifier ในระดับปกติ
ประเมินสภาพผู้ปุวยก่อนได้รับออกซิเจน
จัดท่านอนศีรษะสูงเพื่อทำให้กระบังคมเคลื่อนต่ำลง ปอดขยายตัวได้เต็มที่เพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซมากขึ้น
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพการไออย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้ลดการคั่งค้างของเสมหะที่ปอดทำให้ปอดขยายตัวได้เพิ่มขึ้น
วัดvital signsทุก 4 ชมเพื่อการประเมินสัญญาณชีพจะช่วยให้ทราบความรุนแรงของภาวะพร่องออกซิเจน
7.ประเมิน O2saturation ทุก 2 ชม.เพื่อเป็นการวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ติดตามผลเลือดHb,Hct และ Chest X-Ray เพื่อทราบค่าแสดงถึงความเข้มข้นของเลือในร่างกายและ Chest X-ray เป็นการประเมินความก้าวหน้าของการรักษาเพื่อติ
ดูแลส่งเสริมการพักผ่อนและการนอนหลับผู้ป่วยให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพราะการพักผ่อนบนเตียงจะช่วยลดการใช้ออกซิเจนในการทำกิจกรรม ทำให้อาการเหนื่อยอ่อนเพลียลดลง
ให้การพยาบาลด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เพื่อลดความวิตกกังวลและความกลัว
5.การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
5.2 ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
1) ประเมินการปฏิบัติถูกต้องครบและเป็นไปตามขั้นตอนของการปฏิบัติ
2) ประเมินการจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ครบถ้วนเพียงพอหรือไม่
5.3 ประเมินผลคุณภาพการบริการ
ประเมินคุณภาพของการให้บริการข้อ5.2 และข้อ 5.3 ทุกข้ออยู่ในระดับใด(โดยการให้คะแนนระดับดีมาก–ดี–ปานกลาง-ปรับปรุง)
5.1 ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
2) ผู้ปุวยได้รับO2 cannula2 lit/min และปลอดภัย
3) ไม่มีพบอาการของภาวะพร่องออกซิเจน และค่า O2sat ไม่น้อยกว่า 95%
1) ประเมินความสุขสบายของผู้ป่วย(โดยการสอบถามผู้ป่วย)
4) อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16-24 ครั้ง/นาทีลักษณะการหายใจปกติ
5) ผลเลือด Hb = 12 -16 g/dl และHct = 37 -47 %
6) ฟังปอด พบ fine Crepitation at Right lower lobeลดลง
2 ปัจจัยที่มีผลตอการไดรับออกซิเจนของบุคคล
4.ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับการหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
5.อาหารที่มีไขมันมาก จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
3.การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ขณะออกกำลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติอาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เป็นสาเหตุทำให้เหนื่อยเร็ว และอ่อนล้า
6.ผู้สูงอายุ ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ความเสื่อมเกิดขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย เช่น ระบบการหมุนเวียนเลือดและหัวใจ ทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
2.อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง ภาวะดังกล่าวท าให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง การที่ร่างกายได้รับสารพิษจากอากาศ ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในขบวนการขจัดสารพิษ
7.การสูบบุหรี่ มีผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ระบบ เช่น กล่องเสียง หลอดเลือดในสมอง ถุงลม และปอดท าให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง ทำให้หลอดเลือดมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก และมีออกซิเจนน้อย
1.การเดินทางหรืออาศัยในที่สูงภาวะดังกล่าวจะมีความหนาแน่นของอากาศลดลง มีผลให้ออกซิเจนมีระดับต่ำกว่าปกติ ทำให้ร่างกายได้ออกซิเจนน้อยกว่าปกติ
8.การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์
3 การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
3.1การประเมินสภาพร่างกาย
3) ระบบประสาทส่วนกลาง สังเกตและประเมินพบ ความรู้สึกตัวของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะ(เนื่องจากหลอดเลือดสมองขยายตัว)เพ้อ หมดสติ หรือชัก
4) ระบบผิวหนัง ระยะแรกพบว่า ผิวหนังผู้ป่วยเย็น ซีดเพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะพร่องออกซิเจน โดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ
2) ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประเมินพบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นในระยะแรก เพื่อปรับชดเชย ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง เจ็บหน้าอก และหัวใจหยุดเต้นในระยะสุดท้าย
5) ระบบทางเดินอาหาร ประเมินและสังเกตพบมีอาการคลื่นไส้อาเจียนในระยะแรก
1) ระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่สะดวกหายใจลำบากเมื่อนอนราบต้องนั่งหายใจหลังจากนอนหลับไปแล้วระยะหนึ่งต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจ(paroxysmalnocturnal dyspnea)มีอาการกระสับกระส่าย การหายใจไม่สม่ำเสมอเวลาหายใจเข้าจะลึกกว่าเวลาหายใจออก เมื่อหายใจเข้ามีเสียงดังและแสดงอาการหายใจหอบสังเกตจากปีกจมูกบาน มีการหายใจแบบอ้าปากเสมือนว่าหิวอากาศ(air hunger)และใช้กล้ามเนื้อซี่โครงและไหล่ช่วยในการหายใจเมื่อเกิดการขาดออกซิเจนระดับรุนแรงผู้ป่วยจะหยุดหายใจในที่สุด
3.2การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1)ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG)
PaO2เป็นตัวบ่งชี้ให้ทราบถึงปริมาณของออกซิเจน (O2)ในเลือดที่จับกับHemoglobinค่าปกติอยู่ระหว่าง80-100 mmHgการแปลผลภาวะขาดออกซิเจนแปลผล 3 ระดับ
Moderate hypoxemia:PaO2มีค่าระหว่าง 40-60mmHg
Severe hypoxemia:PaO2มีค่าน้อยกว่า 40 mmHg
Mild hypoxemia:PaO2มีค่าระหว่าง 60 –80 mmHg
HCO3เป็นการวัดค่าความเข้มข้นไฮโดรเจนไอออน(HCO3-) ในเลือดที่ช่วยบอกการท างานของไต หรือความเป็นกรดด่างในร่างกายได้ค่าปกติอยู่ระหว่าง18-25 mEg/L
PaCO2เป็นการวัดความดันของคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)ในเลือด ถ้าระดับของ CO2ในเลือดสูงเพิ่มขึ้นอัตราการหายใจจะเร็วขึ้นเพื่อให้ปอดสามารถขับ CO2ที่คั่งออก ค่าปกติอยู่ระหว่าง35-45 mmHg
SaO2เป็นค่าเปรียบเทียบระหว่าง Hemoglobin ที่มี O2ที่อิ่มตัวกับความสามารถสูงสุดของHemoglobin ที่จะจับกับO2ได้ ค่าปกติอยู่ระหว่าง97-100%
pH เป็นตัวชี้วัดภาวะความเป็นกรดด่างของร่างกาย ค่าปกติ อยู่ระหว่าง7.35-7.45ถ้าค่าต่ ากว่า 7.35แสดงว่าเกิดภาวะเป็นกรด และถ้าค่าสูงกว่า 7.45แสดงว่าเกิดภาวะเป็นด่าง
2)ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation)
ใช้pulseoximeterเป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน(oxyhemoglobin)ต่อปริมาณฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือด
3)การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
ในเลือดค่าฮีโมโกลบินปกติในผู้หญิง11.5–16.5gm% (กรัมเปอร์เซนต์)และในผู้ชาย 13.0-18 gm% (กรัมเปอร์เซนต์)
สาเหตุของhypoxiaและหรือhypoxemia พบความผิดปกติของระบบต่างๆ ผู้ปุวยที่จ าเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยออกซิเจน
ระบบทางเดินหายใจเช่น การอุดกั้นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจการมีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลงการบาดเจ็บที่ทรวงอกหรือการหายใจล้มเหลวเป็นต้น
2.ระบบหัวใจและหลอดเลือดเช่นโรคหัวใจชนิดต่างๆหรือภาวะช็อกจากสาเหตุต่างๆ
3.โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อยเช่น ภาวะโลหิตจาง เป็นต้น
4.ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติต่าง ๆ
ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลายความผิดปกติของกล้ามเนื้อการบาดเจ็บของสมองและได้รับยาที่กดการหายใจ
6.ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดส่วนอกและช่องท้อง
1 ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
2.ความดันออกซิเจนทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
หลังจากเลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนในเลือดสูงอยู่ เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนน้อยสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปหาเซลล์ต่างๆ
เลือดเป็นตัวกลางการส่งผ่านออกซิเจนสู่เซลล์ส่วนเม็ดเลือดแดงเป็นถังเก็บออกซิเจนที่จะค่อยๆปล่อยออกซิเจนออกมาเรื่อยๆ
3.การหมุนเวียนเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
กลไกการขนส่งมี 2อย่างที่เป็นหลัก
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ำ เพื่อเกิดสารประกอบ
กรดคาร์บอนิก(H2CO3) และแตกตัวเป็นไฮโดรเจนไออน(H+)กับ
ไบคาร์บอเนต(HCO3)
1.การทำงานของเม็ดเลือดแดง
มีหน้าที่ขนส่งก๊าซเม็ดเลือดแดง
มีหน้าที่หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน มีอายุขัยประมาณ 120 วัน
เซลล์เม็ดเลือดแดง จะมีส่วนประกอบที่เป็นHemoglobin
ทำหน้าที่ในการ “จับกับก๊าซเพื่อการขนส่ง”
4สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
4.3Hiccup การสะอึก
เป็นอาการที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างช่องปอดและช่องท้อง
สาเหตุของอาการสะอึก
กินอิ่มมากเกินไปดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส (Carbonate)ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูบบุหรี่จัดหรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพักๆ
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่นน้ำมะนาวเป็นต้น หรือดื่มน้ำเปล่า
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น เป็นต้น
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนียเป็นต้น
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ถือแก้วน้ำแล้วหลุดออกจากมือขณะสะอึก หรือขณะรับประทานอาหารอาจสำลักได้ เป็นต้น
4.4 Dyspneaอาการหายใจลำบาก
อาการซึ่งผู้ป่วยต้องใช้ความพยายามหรือใช้แรงในการหายใจการหายใจลำบากไม่มีความสัมพันธ์กับความเร็วของการหายใจอาจเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยหายใจถี่ หรือหายใจช้าก็ได้
สาเหตุของการหายใจลำบาก
2.สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจเช่นการทำงานของหัวใจไม่ดีเนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจ
3.สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ
1.สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทำลายเป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
2.ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม ทุก 1-2 ชั่วโมง
3.เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน เช่นการใส่ท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube: ET)เป็นต้น
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer)เพื่อให้หายใจสะดวก
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ
4.2Hemoptysisอาการไอเป็นเลือด
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิตเพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรงของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมากอาจต้องให้เลือด และพยาบาลจะต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
1.ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation) พยาบาลต้องคอยปลอบโยน ให้กำลังใจ และให้การดูแลจนผู้ป่วยควบคุมตนเองได้เพื่อช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและลดความตกใจ
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดสดออกมาพบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดปนออกมาคือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคมะเร็งของหลอดลมหรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่าๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือมะเร็งหลอดลม
การมีเลือดออกจากทางเดินหายใจตั้งแต่กล่องเสียงลงไป ไม่รวมเลือดกำเดา(epistaxis) มีปริมาณเลือดเห็นได้ชัดเจน คือ มากกว่า 2 มิลลิลิตรขึ้นไป และต้องแยกออกจากการอาเจียนเป็นเลือด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
2.การอักเสบ ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ กล่องเสียง หลอดลมใหญ่และในเนื้อปอด
3.เนื้องอก และมะเร็ง
1.อุบัติเหตุ
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่างๆ ทำให้เกิดการไอเป็นเลือดได้
Chest pain อาการเจ็บหน้าอก
มีลักษณะแตกต่างกันตามสาเหตุ
3) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจาก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บตลอดเวลา อาจมีลักษณะในข้อ2 ร่วมด้วย ถ้าการอักเสบลุกลามถึงเยื่อหุ้มปอด
4) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากหัวใจ
2) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบและมักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึกๆหรือเวลาไอทำให้ผู้ป่วยต้องหายใจตื้นๆ
5) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากหลอดลมอักเสบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูกอาจเจ็บตลอดเวลาและเจ็บมากเมื่อเวลาไอ
1) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่และเจ็บเมื่อใช้มือกดที่บริเวณนั้น
6) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเส้นประสาท
4.1อาการไอ (Cough)
เปนกลไกการตอบสนองของรางกายอยางหนึ่งตอสิ่งผิดปกติในทางเดินหายใจและเปนกลไกปองกันที่สeคัญของรางกายในการกeจัดเชื้อโรค เสมหะหรือสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ
สาเหตุของการไอ
ฝุjน ควัน สารเคมี อาหารหรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน -เย็นของอากาศจะทำให้การไอมากขึ้น
1.การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจมีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากไข้หวัด
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะเช่น ไอเนื่องจากมีฝุ่นละอองมากเป็นต้น
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนองมักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
4.ดูแลความสะอาดของปากฟันและสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
5.กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ และปริมาณมากเพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจำนวน ลักษณะ สีและกลิ่นของเสมหะด้วย
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่ายจากการเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่และระยะเวลาของการไอ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ
1.ประเมินประสิทธิภาพการไอลักษณะไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะโดยการฟังเสียงไอ
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
5บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา(Oxygen therapy)
5.3 ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง(severe trauma)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน(acute myocardial infarction: MI)
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ป่วยหลังโดนไฟไหม้เป็นต้น
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการทำผ่าตัด เช่น หลังการดมยาสลบ หรือการทำผ่าตัดใหญ่เป็นต้น
1.มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO2< 60 mmHg หรือ SaO2< 90% เมื่อหายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
5.4 ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
3.ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่ได้รับพิษจาก paraquat เช่น ยาฆ่าหญ้า เป็นต้นหรือผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดอาจทำให้เสริมฤทธิ์ของสารพิษที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายเร็วขึ้น
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ำที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟด้วยคุณสมบัติเคมีของออกซิเจนเอง
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis) ออกซิเจนเป็นพิษ (oxygen toxicity) หรือกดการทำงานของciliaที่กำลังพัดโบกก าจัดสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาวเพื่อให้ความเข้มข้นของออกซิเจนขณะหายใจเข้า
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบnebulizerสามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้เนื่องจากการสูดดมโดยตรง
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง เมื่อค่าPaO2≥ 60 มม.ปรอท โดยที่ค่า PaCO2สูงกว่าภาวะปกติ
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทำให้ขบวนการติดไฟเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
5.2 วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ โดยวิธีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งฟอง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจหัวใจและระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
5.5 การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
1.หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
1.2ความผิดปกติของสีผิว ดูลักษณะบริเวณริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้า ผิวหนังว่ามีอาการเขียวหรือไม่ ในรายที่ให้ออกซิเจนทางกระโจมสังเกตอาการหนาวสั่นด้วย
1.3ระดับความรู้สึกตัว
1.1ตรวจวัดสัญญาณชีพ ดูลักษณะ และอัตราเร็วของการหายใจ ความดันโลหิตและชีพจร
1.4วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง(Tridal Volume) ในกรณีที่ผู้ป่วยอาการหนักและมีเครื่องมือวัดโดยเฉพาะ
1.5ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซิเจน(Blood gas)
2.หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
2.3 ออกซิเจนไม่รั่วจากขวดทำน้ำกลั่นที่ทำความชื้น
2.4ถ้าเป็นออกซิเจนถัง จะต้องให้มีออกซิเจนอยู่เสมอ โดยดูจากที่หน้าปัดบอกระดับของออกซิเจน ถ้าเหลือ 1/3 ของถัง ควรเตรียมถังใหม่เพื่อเปลี่ยนได้ทันทีและต้องตั้งถังอย่าล้มถังในขณะให้
2.2ขวดทำความชื้นมีน้ำอยู่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
2.5 เปลี่ยนและนำอุปกรณ์การใช้ออกซิเจน ไปทำความสะอาดและทำให้ปลอดเชื้อ ถ้าเป็นอุปกรณ์ชนิดพลาสติก อาจขุ่นมีน้ำขัง หรือหยดน้ำเกาะอยู่ ให้เทน้ำออกแล้วสลัดให้แห้ง เพื่อไม่ให้กีดขวางทางนำออกซิเจนสู่ปอด
2.1 ตรวจดูสายยาง ให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ไม่เลื่อนหลุดจากที่รอยต่อต่างๆ ต้องคงที่ไม่บิดงอ ไม่อุดตัน
2.6ถ้าให้ออกซิเจนจากระบบ pipeline ที่มีรูเปิด (outlet) สำหรับเสียบ flow meter จะต้องดูให้ flow meterเสียบเข้าที่
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก2-3 ชั่วโมง
4.3 ทาริมฝีปากด้วย กลีเซอรีน บอแรกซ์
4.4 ทำความสะอาดช่องจมูก
4.2 ถ้าเจ็บคอ ให้ล้างปากด้วยน้ำยา หรือบ้วนด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆ
4.5 ดูแลความสะอาดบริเวณหน้า โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับ Oxygen mask จะมีเหงื่อออกมาก ควรเช็ด mask และทาแป้งให้บ่อยๆ หรือทุก2-3 ชั่วโมง เพื่อให้สบายขึ้น
4.1 ให้จิบน้ำบ่อยๆ
5.ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
5.3 แนะนำ อธิบายให้ผู้ป่วยรู้จักเครื่องมือต่างๆได้ง่าย
5.4 ดูแลควบคุมอัตราการไหของออกซิเจนให้เพียงพอ ไม่ให้ผู้ป่วยอึดอัด
5.2พยาบาลควรมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือ
5.5 สนใจ รับฟังความต้องการของผู้ป่วยอย่างจิงจัง
5.1บอกประโยชน์ของการได้รับออกซิเจน
5.6ให้เวลาผู้ป่วยในการพูดคุย สัมผัสผู้ป่วยบ้างและรีบไปดูแลทันทีเมื่อผู้ป่วยขอความช่วยเหลือ
3.ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ(Clear air way)
3.2ดูดเสมหะที่ค้างตามท่าทางเดินหายใจเป็นระยะๆ เพื่อปูองกันการอุดตัน
3.3 สอนการไออย่างถูกวิธี เพื่อให้ระบายเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.1 การจัดท่านอน ท่านั่ง ให้ผู้ปุวยรู้สึกสบาย และปอดขยายได้เต็มที่โดยให้อยู่ในท่าศีรษะสูง
3.4 กระตุ้นให้ได้รับน้ าอย่างเพียงพอ เพื่อให้น้ำช่วยละลายเสมหะให้ขับออกได้ง่าย
5.1 อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น(increased fatigue)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง(decreased level of consciousness)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
ระดับการมีสมาธิลดลง(decreased ability to concentrate)
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก (increase rate and depth respiration) ระยะต่อมาจะเปลี่ยนเป็นหายใจสั้นและตื้น (shallow and slow respiration)
วิตกกังวล (anxiety) กระสับกระส่าย(restlessness)
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น (increase pulse rate) ขั้นรุนแรง และพบ bradycardia
ความดันโลหิตลดลง (blood pressure will decrease)
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ (cardiac dysthymias)
มีภาวะซีด (pallor)
มีอาการเขียวคล้ำ (cyanosis)
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุ่ม (clubbing)
อาการหายใจลำบาก (dyspnea)
7ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
ข้อควรปฏิบัติและต้องคำนึงถึง
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา
อาจท าให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้
5.อาจเกิดการหยุดหายใจ
1.อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน
6.อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิดเพราะการสันดาป (combustion) เป็นขบวนการที่เชื้อเพลิงทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนเกิดเป็น oxide มีความร้อนและพลังงาน เกิดขึ้น
หลักปฏิบัติในการให้ออกซิเจนชนิดต่าง ๆ
หมุนปุ่มเปิด flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนทิ้งไว้ 1–2 นาทีเพื่อทดสอบว่ามีออกซิเจนไหลผ่าน และได้ปริมาณตามแผนการรักษาทุกครั้งก่อนสวมอุปกรณ์ให้ผู้ป่วย
กรณีให้ nasal cannulaให้ปฏิบัติ
7.1 ทำความสะอาดช่องจมูกทั้งสองข้างและทุก 8 ชั่วโมงเพื่อให้ช่องจมูกโล่งทำให้ได้รับออกซิเจนปริมาณถูกต้อง
7.2สวมเขี้ยวเข้าในช่องจมูกทั้ง 2 ข้างโดยให้ส่วนโค้งแนบไปกับโพรงจมูก คล้องสายกับใบหู2ข้าง ปรับสายให้พอดีไว้ใต้คาง หรืออ้อมรอบศีรษะ เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งป้องกันเลื่อนหลุด
ปรับระดับลูกลอยใน flow meter จะได้ปริมาณของออกซิเจนมีหน่วยเป็นลิตรต่อนาทีตามที่ต้องการ สวมท่อสายยางของอุปกรณ์ให้ออกซิเจน กับท่อflow meter
กรณีให้ maskให้ปฏิบัติ
8.1 simple mask ครอบหน้ากากบริเวณสันจมูกและปากให้แนบสนิทปรับสายคล้องทัดเหนือใบหูรอบศีรษะ จัดให้พอดีป้องกันการรั่วของออกซิเจน
8.2 ชนิดมีถุง เปิดออกซิเจนไหลผ่านถุง 10 -20 ลิตร/นาที จนถุงโป่งเต็มที่เพื่อไล่ก๊าซอื่นที่ค้างในถุงออกรวมทั้งทดสอบถุงไม่รั่วแล้วจึงใส่เหมือน simple mask
ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อ ให้ระดับน้ำอยู่ตรงตำแหน่งขีดที่กำหนดข้างกระบอกปูองกันไม่ให้ flow meter เสียหรือน้อยกว่าขีด
กรณีให้ oxygen hood (oxygen box) ให้ปฏิบัติ
9.1 ต่อท่อออกซิเจนเข้ากับกล่อง
9.2 วางครอบเฉพาะศีรษะและไหล่ ระวังไม่ให้สายอยู่ใกล้หน้าเด็ก ให้ออกซิเจนในปริมาณพอเพียงและไม่ให้ออกซิเจนระคายเคืองตาเด็ก
ใส่flow meter กับแหล่งที่มาของออกซิเจนที่มาจากชนิดผนัง (wall type) จากถังใช้high-pressure gas regulatorให้ถูกต้องและแน่นพอดี
กรณีให้ T-pieceให้ปฏิบัติ
10.1 ควรดูดเสมหะออกก่อนเพื่อให้ออกซิเจนไหลผ่านหลอดลมคอได้สะดวก
10.2 ต่อสาย T –piece ครอบท่อหลอดลมคอ จัดสายไม่ให้เกิดภาวะดึงรั้งกรณีผู้ป่วยที่ได้รับยาในรูปการสูดละอองยาเข้าทางเดินหายใจโดยตรง
2.ประเมินสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัว เพื่อประเมินอาการผู้ป่วย
ลงบันทึกทางการพยาบาล ได้แก่ อาการ สัญญาณชีพปริมาณออกซิเจนที่ให้อุปกรณ์ที่ใช้และปฏิกิริยาผู้ป่วยเมื่อได้รับออกซิเจน
1.ล้างมือให้สะอาด สวมmask เพื่อปูองกันการน าเชื้อเข้าสู่ผู้ป่วย