Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่7 การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน - Coggle Diagram
บทที่7
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
7.1 ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
การแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดขึ้นได้อย่างไร?
การแลกเปลี่ยนก๊าซเกิดจากความเข้มข้นที่ต่างกันของก๊าซระหว่างบรรยากาศและในเส้นเลือด ทำให้เกิดการซึมผ่านเยื่อเลือกผ่านที่ผนังของถุงลมและหลอดเลือด และเข้าไปในเลือด
การทำงานของเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ขนส่งก๊าซ
เม็ดเลือดแดง เป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่ง มีหน้าที่หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน มีอายุขัยประมาณ120 วัน ร่างกายเรามีการทำลายและการสร้างเม็ดเลือดใหม่ตลอดเวลา แต่ละเซลล์เม็ดเลือดแดง จะมีส่วนประกอบที่เป็น Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) อยู่ถึง 97 %
ความดันออกซิเจน ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
ความดันออกซิเจนและการขนส่งสู่เนื้อเยื่อ หลังจากเลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนในเลือดสูงอยู่ เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนน้อยสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปหาเซลล์ต่างๆ แต่เมื่อการเดินทางไปในอวัยวะที่ไกลขึ้น ความเข้มข้นออกซิเจนในเลือดลดลง เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนมากขึ้นตามลำดับเพื่อให้ออกซิเจนออกมาอยู่ในกระแสเลือดเพื่อส่งไปสู่เซลล์
การหมุนเวียนเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เมื่อเซลล์เนื้อเยื่อขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออก จะมีการขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับไปที่ปอด เพื่อทำการหายใจระบายออก กลไกการขนส่งมี 2 อย่างที่เป็นหลัก
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ำ เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก (H2CO3) และแตกตัวเป็นไฮโดรเจนไออน (H+) กับไบคาร์บอเนต (HCO3)
7.2 ปัจจัยที่มีผลตอการได้รับออกซิเจนของบุคคล
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูงภาวะดังกล่าวจะมีความหนาแน่นของอากาศลดลงมีผลให้ออกซิเจนมีระดับต่ำกว่าปกติ ทำให้ร่างกายได้ออกซิเจนน้อยกว่าปกติ
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง ภาวะดังกล่าวทำให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง การที่ร่างกายได้รับสารพิษจากอากาศ ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในขบวนการขจัดสารพิษ
การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ขณะออกกำลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติ อาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เป็นสาเหตุทำให้เหนื่อยเร็ว และอ่อนล้า
ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาหารที่มีไขมันมาก จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
ผู้สูงอายุ ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ความเสื่อมเกิดขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย เช่น ระบบการหมุนเวียนเลือดและหัวใจทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
การสูบบุหรี่ มีผลเสียต่อร่างกายในหลายๆระบบ เช่น กล่องเสียง หลอดเลือดในสมอง ถุงลม และ ปอดทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง ทำให้หลอดเลือดมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก และมีออกซิเจนน้อย
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์การดื่มในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกายเกิดผล เสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อตับ สมอง หรือหัวใจและหลอดเลือด
7.3 การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
7.3.1 การประเมินสภาพร่างกาย
ใช้เทคนิคการสังเกตและการประเมินสัญญาณชีพประกอบด้วย อุณหภูมิร่างกาย (Temperature: T) ชีพจร (Pulse: P) การหายใจ (Respiration: R) และความดันโลหิต (Blood pressure: BP)
7.3.2 การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เป็นการเจาะเลือดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อ ประเมินการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และหลอดเลือด และการแปลผล
1) ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง(Arterial blood gas: ABG) เป็นการตรวจเพื่อหา ประสิทธิภาพการทำงานของปอด เพื่อประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการหายใจ
2) ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation) ใช้ pulse oximeter เป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน (oxyhemoglobin) ต่อปริมาณ ฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือด การแปลผลต้องพิจารณาปริมาณเม็ดเลือดแดงและหรือค่าฮีโมโกลบินร่วมด้วย จึงเป็นการวัด arterial oxygen saturation (SPO2)
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดปกติอยู่ระหว่าง 98 - 99 % หากวัด SPO2ได้น้อยกว่า 90% จำเป็นต้องได้รับการรักษา ยกเว้นผู้ป่วยโรคปอดอุดตันเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease: COPD)
3) การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
ในเลือดค่าฮีโมโกลบินปกติในผู้หญิง 11.5 – 16.5 gm % (กรัมเปอร์เซนต์) และในผู้ชาย 13.0 - 18 gm % (กรัมเปอร์เซนต์)
สาเหตุของ hypoxia และหรือ hypoxemia พบความผิดปกติของระบบต่าง ๆ ผู้ป่วยที่จำเป็น ต้องได้รับการรักษาด้วยออกซิเจน
ระบบทางเดินหายใจ เช่น การอุดกั้น การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ การมีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจชนิดต่างๆ หรือภาวะช็อกจากสาเหตุต่างๆ
โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อย เช่น ภาวะโลหิตจาง
ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติต่างๆ
ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ การบาดเจ็บของสมองและได้รับยาที่กดการหายใจ
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดส่วนอกและช่องท้อง
7.4 สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
7.4.1 อาการไอ (Cough)
เริ่มจากการที่มีสิ่งกระตุ้นตัวรับสัญญาณการไอ หรือมีสารระคายเคืองในบริเวณทางเดินหายใจ
สาเหตุของการไอ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ มีอาการไอน้อยกว่า 2สัปดาห์ อาจเกิดจากไข้หวัด
ฝุ่น ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน - เย็นของอากาศ จะทำให้การไอมากขึ้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ประเมินประสิทธิภาพการไอ ลักษณะไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะ โดยการฟังเสียงไอ
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ และปริมาณมาก เพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
7.4.2 Hemoptysis อาการไอเป็นเลือด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
การอักเสบ ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ
เนื้องอก และมะเร็ง
อุบัติเหตุ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด และพยาบาลจะต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรงของการเสียเลือด
7.4.3 Hiccup การสะอึก
สาเหตุของอาการสะอึก
กินอิ่มมากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส (Carbonate) ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่จัด หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่น น้ำมะนาว เป็นต้น หรือดื่มน้ำเปล่า
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น
7.4.4 Dyspnea อาการหายใจลำบาก
สาเหตุของการหายใจลำบาก
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่นทางเดินหายใจอุดกั้นหรือปอดถูกทำลาย
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทำงานของหัวใจไม่ดี
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม ทุก 1-2ชั่วโมง
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer) เพื่อให้หายใจสะดวก
7.4.5 Chest pain อาการเจ็บหน้าอก
สาเหตุ
สาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่
สาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบ
สาเหตุจากหัวใจ เช่น ภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจโคโรนารี
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
สังเกตอาการ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะนำให้นอนตะแคงทับด้านที่เป็น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น อาจต้องให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด ถ้าเป็นอาการเจ็บ หน้าอกจากหัวใจ
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
7.5 บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
7.5.1 อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
วิตกกังวล(anxiety)กระสับกระส่าย(restlessness)
ระดับการมีสมาธิลดลง (decreased ability to concentrate)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง (decreased level of consciousness)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
ความดันโลหิตลดลง (blood pressure will decrease)
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุ้ม (clubbing)
7.5.2 วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ โดยวิธีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในถุงลมปอ และกระแสเลือด
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งฟอง
7.5.3 ข้อบ่งชี้ของการให้ออกซิเจน
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ป่วยหลังโดนไฟไหม้
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง (severe trauma)
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้นๆ ในการทำผ่าตัด เช่น หลังการดมยาสลบ
7.5.4 ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ป่วยที่หายใจเอง เมื่อค่า PaO2 ≥ 60 มม.ปรอท
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis) ออกซิเจนเป็นพิษ (oxygen toxicity)
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากparaquat เช่นยาฆ่าหญ้า
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ำที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟ
7.5.5 การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
ตรวจวัดสัญญาณชีพ ดูลักษณะ และอัตราเร็วของการหายใจ
ความผิดปกติของสีผิว ดูลักษณะบริเวณริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้า ผิวหนังว่ามีอาการเขียวหรือไม่
ระดับความรู้สึกตัว
วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง (Tridal Volume) ในกรณีที่ผู้ป่วยอาการหนักและมีเครื่องมือวัดโดยเฉพาะ
ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซิเจน (Blood gas)
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ตรวจดูสายยาง ให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ไม่เลื่อนหลุดจากที่รอยต่อต่างๆ
ขวดทำความชื้นมีน้ำอยู่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
ออกซิเจนไม่รั่วจากขวดทำน้ำกลั่นที่ทำความชื้น
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ(Clear air way)
การจัดท่านอน ท่านั่ง ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย และปอดขยายได้เต็มที่โดยให้อยู่ในท่าศีรษะสูง
ดูดเสมหะที่ค้างตามท่าทางเดินหายใจเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการอุดตัน
สอนการไออย่างถูกวิธี เพื่อให้ระบายเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กระตุ้นให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อให้น้าช่วยละลายเสมหะให้ขับออกได้ง่าย
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก 2 - 3 ชั่วโมง
ให้จิบน้ำบ่อยๆ
ถ้าเจ็บคอ ให้ล้างปากด้วยน้ำยาหรือบ้วนด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆ
ทาริมฝีปากด้วย กลีเซอรีน บอแรกซ์
ดูแลความสะอาดบริเวณหน้า โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับ Oxygen mask จะมีเหงื่อออกมาก ควรเช็ด mask และทาแป้งให้บ่อยๆหรือทุก 2 - 3 ชั่วโมง เพื่อให้สบายขึ้น
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
บอกประโยชน์ของการได้รับออกซิเจน
พยาบาลควรมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือ
แนะนำอธิบายให้ผู้ป่วยรู้จักเครื่องมือต่างๆได้ง่าย
ดูแลควบคุมอัตราการไหลของออกซิเจนให้เพียงพอ ไม่ให้ผู้ป่วยอึดอัด
สนใจ รับฟังความต้องการของผู้ป่วยอย่างจิงจัง
7.6 เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่าง ๆ
ระบบการให้ออกซิเจน
1) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ (Low flow system)
(1) การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula) หรือ nasal prongs เป็นการให้ออกซิเจนทางจมูก วิธีนี้ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนที่มีความเข้มข้นต่า ซึ่งจะได้ออกซิเจนร้อยละ 30 – 40 ในขณะที่ปรับอัตราการไหลของออกซิเจน 4 – 6 ลิตร/ นาที
(2) การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก (mask)
(2.1) Simple mask เป็นชนิดที่ให้ออกซิเจนความเข้มข้นร้อยละ 40-50 การปรับอัตรา ไหลของออกซิเจน 5 – 8 ลิตร/ นาที
(2.2) Reservoir bag (partial rebreathing mask) ให้ความเข้มข้นสูงกว่าร้อยละ 60– 90 ซึ่งสูงกว่าชนิดไม่มีถุงชนิดนี้ ออกซิเจนจากเครื่องจะไหลเข้าถุง การหายใจครั้งแรกจะเป็นออกซิเจนบริสุทธิ์ เมื่อหายใจออกคาร์บอนไดออกไซด์จะไหลกลับเข้าในถุงประมาณ 1/ 3 ของความจุของถุงไปผสมรวมกับ ออกซิเจนในถุง
(2.3) Non rebreathing mask ลักษณะคล้าย partial rebreathing ยกเว้นรูระบาย อากาศส่วนหน้ากากลักษณะเป็นลิ้นไหลทางเดียว (unidirectional valve) ทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้อากาศไหลออกสู่ ภายนอกอย่างเดียวไหลเข้าไม่ได้
2) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system)
(1) การให้ออกซิเจนชนิดT- piece
เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนผู้ป่วยที่มีท่อทางเดินหายใจ ทำด้วยพลาสติกเบา เพื่อไม่ให้ดึงร้ังท่อเจาะหลอดลมคอ ลักษณะเป็นท่อสายลูกฟูก เรียกว่า corrugated tube สวมยึดติดกับท่อเจาะหลอดลมคอ ให้ความชื้นสูง
(2) การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม (tracheostomy collar)
เป็นอุปกรณ์คล้ายหน้ากากคล้องไว้กับคอ ครอบบนท่อเจาะหลอดลมคอ ออกซิเจนจะไหลเข้าทางรูเปิดขณะหายใจเข้า มี corrugated tube เพื่อให้ได้ความชื้นแบบละอองฝอย (jet nebulizer) ออกซิเจนที่ได้จะไม่แห้ง
(3) การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent
เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนที่ครอบตัวผู้ป่วยลักษณะ คล้ายเต็นท์ ประกอบด้วยมุ้งพลาสติก มีซิบเปิด-ปิด ครอบบนโครงโลหะ ด้านหลังกล่องใส่น้าแข็ง ทำให้อากาศ ในมุ้งมีความชื้นสูง มีท่อระบายน้าทิ้งที่เกิดจากน้ำแข็งละลาย มีท่อนำออกซิเจนไหลเข้ามุ้ง 1 ท่อ
(4) การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box
เป็นอุปกรณ์ใช้ครอบศีรษะและไหล่ผู้ป่วย เด็ก ลักษณะเป็นกระโจมหรือกล่องพลาสติกให้ออกซิเจนมีท่อนำออกซิเจนเข้าภายใน อัตราการไหลของออกซิเจน10 - 12 ลิตร/ นาที ความเข้มข้นของออกซิเจนที่ได้ร้อยละ 60 – 70
(5) การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube: ET)
เป็นท่อช่วยหายใจซึ่งแพทย์ จะใส่ท่อนี้เข้าไปในหลอดลมของผู้ป่วย แล้วต่อเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ (respirator) ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถ หายใจได้ด้วยตนเอง
ระบบให้ความชื้น (Humidification)
1) ชนิดละอองโต (Bubble)
ให้ความชื้นในส่วนต้นของทางเดินหายใจ 30 – 40 % สายให้ก๊าซมีขนาดเล็ก น้ำจะปุดเป็นฟองเมื่อเปิดให้กับผู้ป่วย
2) ชนิดละอองฝอย (Jet)
ให้ความชื้นในทางเดินหายใจที่อยู่ลึกเหมาะกับผู้ป่วยที่มีเสมหะเหนียว มักเห็นเป็นหมอก สายให้ ออกซิเจนมักมีขนาดใหญ่และเป็นลูกฟูก (corrugated)
แหล่งให้ออกซิเจน (Oxygen source)
1) ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank) ก่อนใช้ออกซิเจนจากถังบรรจุออกซิเจน ต้องมีอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซ (regulation of gas flow) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการไหลของ ออกซิเจนออกจากแหล่งจัดเก็บออกซิเจน
2) ระบบท่อ (Oxygen pipeline) ก่อนใช้ออกซิเจนจากระบบท่อ ต้องมีอุปกรณ์ควบคุมอัตรา การไหลของก๊าซ (regulation of gas flow) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการไหลของออกซิเจนออกจาก แหล่งจัดเก็บออกซิเจนมาตามระบบท่อ
7.6 บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
7.6.1 การจัดท่าผู้ป่วย
ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง (high fowler’s position) ในท่านี้จะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น โดยกระบังลมจะหย่อนลง ทำให้ปอดขยายตัวเต็มที่ และมีปริมาณอากาศเพิ่มมากขึ้น
7.6.2 การบริหารการหายใจ
1) การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม (diaphragmatic breathing)สามารถทำได้ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการหายใจเรื้อรังและเฉียบพลัน
2) การหายใจโดยการห่อปาก (pursed - lip breathing) การหายใจวิธีนี้จะช่วยลดการคั่ง ของอากาศในถุงลม โดยการรักษาความดันบวกในการหายใจ ทำให้หลอดลมขยายตัวนานกว่าปกติ ช่วยให้ อากาศออกจากถุงลมปอดได้มากขึ้น
3) การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing) การหายใจเข้าลึก ๆ ช่วยขยายหลอดลม กระตุ้นการสร้างสารเคลือบภายในปอด และช่วยขยายพื้นที่การแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ปอด
7.6.3 การดูดเสมหะ (suction)
วิธีการดูดเสมหะ
การดูดเสมหะทางจมูก (Nasopharygeal) หรือปาก (oropharyngeal suction)
การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ(Endotracheal) หรือทางท่อหลอดคอ (tracheostomy suction)
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ ขณะ/ และหลังการดูดเสมหะ
แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน บ่งบอกถึงความเป็นมิตร และช่วยลดภาวะตื่นกลัว
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าในถึงวัตถุประสงค์และความจำเป็นของการดูดเสมหะ
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าจะมีการหายใจลาบากในขณะดูด แต่จะดีขึ้นภายหลังเอาสายออก
ทำการดูดเสมหะด้วยความเบามือ และนุ่มนวล
หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดทำความสะอาด เก็บของใช้ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
พูดให้กำลังใจก่อนเดินออกจากเตียงผู้ป่วย
7.7 ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
ข้อควรปฏิบัติและต้องคำนึงถึง
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน การให้ออกซิเจนอุปกรณ์ที่ใช้มีโอกาสก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ เช่น น้ำกลั่นในขวด humidifier สายที่นำออกซิเจนมาสู่ผู้ป่วย
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากออกซิเจนเป็นก๊าซ แห้ง เมื่อผ่านเข้าในระบบทางเดินหายใจจะทำให้เยื่อบุแห้ง เกิดความบกพร่องในหน้าที่ของเซลล์ขนกวัด (cilia) ทำให้มีน้ำคัดหลั่งหนา และเกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ การป้องกันทำได้โดยต้องให้ออกซิเจนผ่านน้ำเสมอก่อนเข้าสู่ผู้ป่วย
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา (retrolental fibroplasias) คือ การได้รับออกซิเจนความเข้มข้น สูงเป็นระยะเวลานาน ๆ จะเกิดกับหลอดเลือดหลังเลนส์เปลี่ยนแปลง มีผลทำให้ปิดกั้นลาแสงที่พุ่งตรงไปจอตา จึงเกิดความผิดปกติในการเห็น อาการพิษชนิดนี้มักพบได้ในทารกคลอดก่อนกำหนด
อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด เพราะการสันดาป (combustion) เป็นขบวนการที่เชื้อเพลิงทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนเกิดเป็น oxide มีความร้อนและพลังงานเกิดขึ้น
อาจเกิดการหยุดหายใจ ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ศูนย์การหายใจจะไม่เป็นตัวควบคุม การหายใจ แต่ใช้ chemoreceptor reflex เป็นตัวควบคุมแทน โดยใช้ภาวะการขาดออกซิเจน เป็นตัวเร่งให้เกิดการหายใจ