Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ปัจจัยที่มีผลตอการไดรับออกซิเจนของบุคคล
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง
การเล่นกีฬาหรือออกกําลังกายหนัก ๆ
ความเครียด
อาหารที่มีไขมันมาก
ผู้สูงอายุ
การสูบบุหรี่
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกาย
1) ระบบทางเดินหายใจ ระยะแรกของเซลล์พร่องออกซิเจนอย่างอ่อน สังเกตพบ ผู้ป่วยมีอาการ หายใจไม่สะดวก หายใจลําบากเมื่อนอนราบ (Orthopnea) ต้องนั่งหายใจหลังจากนอนหลับไปแล้วระยะหนึ่ง ต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจ (paroxysmal nocturnal dyspnea) มีอาการกระสับกระส่าย การหายใจไม่สม่ําเสมอ เวลาหายใจเข้าจะลึกกว่าเวลาหายใจออก เมื่อหายใจเข้ามีเสียงดัง และแสดงอาการหายใจหอบสังเกตจากปีก จมูกบาน มีการหายใจแบบอ้าปากเสมือนว่าหิวอากาศ (air hunger) และใช้กล้ามเนื้อซี่โครงและไหล่ช่วยใน การหายใจเมื่อเกิดการขาดออกซิเจนระดับรุนแรงผู้ป่วยจะหยุดหายใจในที่สุด
2) ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประเมินพบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นใน ระยะแรก เพื่อปรับชดเชย ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง เจ็บหน้าอก และหัวใจหยุดเต้นในระยะ สุดท้าย
3) ระบบประสาทส่วนกลาง สังเกตและประเมินพบ ความรู้สึกตัวของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย สับสน มีนศีรษะ ปวดศีรษะ (เนื่องจากหลอดเลือดสมองขยายตัว) เพ้อ หมดสติ หรือชัก
4) ระบบผิวหนัง ระยะแรก พบว่า ผิวหนังผู้ป่วยเย็น ซีด เพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะ พร่องออกซิเจน โดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสําคัญ เช่น สมอง เป็นต้น เลือดที่เลี้ยงผิวหนัง ไต ปอด เพราะต้องการออกซิเจนน้อยกว่า และทนต่อการขาดออกซิเจนได้ ต่อมาพบอาการเขียวคล้ํา โดยเห็นชัด บริเวณริมฝีปาก เล็บมือเล็บเท้า และเสียชีวิตในที่สุด
5) ระบบทางเดินอาหาร ประเมินและสังเกตพบมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนในระยะแรก
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1) ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง
2) ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
อาการไอ (Cough)
สาเหตุของการไอ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ มีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจาก ไข้หวัด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง และถ้าไอมากกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากหลอดลม อักเสบ จมูกและไซนัสอักเสบเรื้อรัง หอบหืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดอักเสบเรื้อรัง จากการติดเชื้อ หรือ มะเร็งหลอดลม
ฝุ่น ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ําที่สําลักเข้าไป
ความร้อน เย็นของอากาศ จะทําให้การไอมากขึ้น
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ เช่น ไอเนื่องจากมีฝุ่นละอองมาก เป็นต้น
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนอง มักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ เช่น โรคปอด บวม และวัณโรคปอด เป็นต้น และเสมหะที่ไม่เป็นหนอง เช่น โรคหอบหืด เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ประเมินประสิทธิภาพการไอ ลักษณะไอแห้ง ๆ หรือไอแบบมีเสมหะ โดยการฟังเสียงไอ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่ และระยะเวลาของการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจํานวน ลักษณะ สี และกลิ่นของเสมหะด้วย
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
กระตุ้นให้ดื่มน้ําอุ่นบ่อย ๆ และปริมาณมาก เพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่าย จากการ เปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ (effective Cough) โดยการให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนยกศีรษะ สูง (Fowler's position) และหายใจเข้าลึก ๆ เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง กลั้นหายใจสักครู่ แล้วไอออกมาอย่าง แรงโดยเฉพาะผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่มักกลัวเจ็บต้องอธิบายให้ทราบถึงความจําเป็น
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
Hemoptysis
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดปนออกมา คือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคมะเร็งของ หลอดลม หรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรค หลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือมะเร็งหลอดลม
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่า ๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อุบัติเหตุ
การอักเสบ ทําให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ กล่องเสียง หลอดลมใหญ่ และ ในเนื้อปอด
เนื้องอก และมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่าง ๆ ทําให้เกิดการไอเป็นเลือดได้ เช่น หลอด เลือดที่เลี้ยงปอดอุดตัน วัณโรค และปอดบวม เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรง ของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด และพยาบาลจะต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทําให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation) พยาบาลต้องคอย ปลอบโยน ให้กําลังใจ และให้การดูแลจนผู้ป่วยควบคุมตนเองได้ เพื่อช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและลดความ ตกใจ
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
Hiccup
สาเหตุของอาการสะอึก
โดยทั่วไป อาการสะอึกเป็นอาการปกติทั่วไป ไม่ได้เกิดจากโรค โดยมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบ บ่อย เช่น กินอิ่มมากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทําให้เกิดแก๊ส (Carbonate) ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ จัด หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย เป็นต้น
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่น น้ํามะนาว เป็นต้น หรือดื่มน้ําเปล่า
แนะนําให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แนะนําให้กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น เป็นต้น
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ถือแก้วน้ําแล้วหลุดออกจากมือขณะสะอึก หรือ ขณะรับประทานอาหารอาจสําลักได้ เป็นต้น
Dyspnea
สาเหตุของการหายใจลําบาก
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทําลาย เป็นต้น
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทํางานของหัวใจไม่ดี เนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจ
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทําให้การควบคุมการหายใจไม่ดี
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลําบาก
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม ทุก 1 - 2 ชั่วโมง
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สําหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน เช่น การใส่ท่อช่วย หายใจ (endotracheal tube: ET) เป็นต้น
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer) เพื่อให้หายใจสะดวก
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ
Chest pain
มีลักษณะแตกต่างกันตามสาเหตุดังนี้
1) อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่ และเจ็บเมื่อใช้มือ กดที่บริเวณนั้น
2) อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบ และ มักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึก ๆ หรือเวลาไอ ทําให้ผู้ป่วยต้องหายใจตื้น ๆ
3) อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจาก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บ ตลอดเวลา อาจมีลักษณะในข้อ 2 ร่วมด้วย ถ้าการอักเสบลุกลามถึงเยื่อหุ้มปอด
4) อาการเจ็บหน้าอก สาเหตุจากหัวใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
สังเกตอาการ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะนําให้นอนตะแคงทับด้านที่ เป็น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น อาจต้องให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด ถ้าเป็นอาการเจ็บ หน้าอกจากหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial infarction) จะมีอันตรายกว่าการเจ็บหน้าอกจาก ระบบหายใจมาก
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา (Oxygen therapy)
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทําให้ออกซิเจนในเลือดต่ํา โดยวิธีการเพิ่มปริมาณ ออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งฟอง
เป็นการช่วยการทํางานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และระบบการไหลเวียนโลหิตและ หลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ป่วยที่หายใจเอง
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่ได้รับพิษจาก paraquat
ขณะทําผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจํากัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ํา ที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟ ด้วยคุณสมบัติเคมีของออกซิเจนเอง
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบ nebulizer สามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้ เนื่องจากการสูดดมโดยตรง
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทําให้ขบวนการติดไฟ เพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วย
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ(Clear air way) ให้โล่งตลอดเวลา
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก 2 - 3 ชั่วโมง
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่าง ๆ
ระบบการให้ออกซิเจน
1) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ํา (Low flow System) ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนเพียง บางส่วน และได้จากการหายใจเอาออกซิเจนในบรรยากาศไปผสม
(1) การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว
(2) การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก (mask)
2) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system)
ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนทั้งหมดจากอุปกรณ์โดยไม่ต้องดึงอากาศไปผสม ความเข้มข้นของออกซิเจน กําหนดได้จากอุปกรณ์
(1) การให้ออกซิเจนชนิดT- piece
(2) การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม (tracheostomy collar)
(3) การให้ออกซิเจนชนิด Croupette tent
(4) การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box
(5) การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube: ET)
ระบบให้ความชื้น (Humidification)
1) ชนิดละอองโต (Bubble)
2) ชนิดละอองฝอย (Jet)
แหล่งให้ออกซิเจน
1) ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank)
2)ระบบท่อ
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนในเซลล์ต่ํา (hypoxia) ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง (high fowler's position) ในท่านี้จะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น โดยกระบังลมจะหย่อนลง ทําให้ปอดขยายตัวเต็มที่ และมีปริมาณอากาศเพิ่มมากขึ้น
การบริหารการหายใจ
วิธีการหายใจจะช่วยให้การระบายอากาศหายใจดีขึ้น มีประโยชน์ทั้งในผู้ป่วยที่มีปัญหาการ หายใจชนิดปอดถูกกําจัด และชนิดปอดถูกอุดกั้น เพราะเทคนิคการหายใจจะช่วยเพิ่มปริมาตรอากาศที่เข้า ออกจากปอด
การดูดเสมหะ
การดูดเสมหะทางจมูก (Nasopharygeal) หรือปาก (oropharyngeal suction) เป็น การดูดเสมหะผ่านทางจมูก หรือ nasal airway
การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ (Endotracheal) หรือทางท่อหลอด คอ (tracheostomy Suction) เป็นการดูดเสมหะผ่านท่อช่วยหายใจ Endotracheal หรือทางท่อเจาะคอที่ เจาะผ่านหลอดลมออกมาภายนอก (tracheostomy tube)
อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการดูดเสมหะ
แรงกด หรือการระคายเคืองบริเวณรูจมูกและริมฝีปากอาจทําให้เกิดแผล หรือเกิดแผล จากการดูดเสมหะหลาย ๆ ครั้ง ดังนั้นจึงควรหล่อลื่นสายดูดเสมหะทุกครั้ง และเลือกขนาด ของสายให้ เหมาะสมกับผู้ป่วย
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น โพรงจมูกอักเสบ (Sinusitis) ภาวะหูอักเสบ (otitis) ต้อง ทําความสะอาดช่องปากทุกครั้งหลังดูดเสมหะ และเปลี่ยน airway ทุกวัน
เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ ในขณะดูดเสมหะ ต้องทําการดูดเสมหะ อย่างเบามือและนุ่มนวล
อาจเกิดการสําลักจากการกระตุ้น gas reflex หรือจัดท่าผู้ป่วยไม่ถูกต้อง
อาจเกิดความผิดปกติในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และเกิดภาวะความดัน ในสมองสูง
ริมฝีปากแห้งเกิดเป็นแผลได้ง่าย ให้ทาครีมทุกครั้งหลังทําความสะอาดปาก
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ ขณะ/ และหลังการดูดเสมหะ
แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน บ่งบอกถึงความเป็นมิตร และช่วยลดภาวะตื่นกลัว
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าในถึงวัตถุประสงค์และความจําเป็นของการดูดเสมหะ
บอกให้ผู้ป่วยทราบก่อนว่า “จะทําการดูดเสมหะอย่างเบามือที่สุด ถ้าเจ็บหรือทนไม่ไหวให้ยก มือขึ้น” เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย และให้ความร่วมมือ
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าจะมีการหายใจลําบากในขณะดูด แต่จะดีขึ้นภายหลังเอา สายออก และดูดเสมหะออกแล้ว ทางเดินหายใจโล่งจะรู้สึกสบายขึ้น
ทําการดูดเสมหะด้วยความเบามือ และนุ่มนวล
หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดทําความสะอาด เก็บของใช้ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
พูดให้กําลังใจก่อนเดินออกจากเตียงผู้ป่วย
การเก็บเสมหะส่งตรวจ (Sputum examination)
การเก็บเสมหะส่งตรวจมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งวิเคราะห์โรค วิธีเก็บเสมหะส่งตรวจ ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึก ๆ แล้วไอออกมา เพื่อให้ได้เสมหะแล้วบ้วนลงภาชนะสะอาดชนิดมีฝาปิด ควรตรวจดูให้แน่ใจว่าเป็นเสมหะ ไม่ใช่น้ําลาย โดยเสมหะควรมีลักษณะเป็นเมือก เหนียว ขุ่นข้น มีสีเหลือง สีเขียว หรือสีแดงปน ปิดฝาให้สนิท นําส่งห้องปฏิบัติการ
การตรวจเสมหะแบบเพาะเชื้อ (Sputum culture)
การเก็บเสมหะแบบเพาะเชื้อ มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบว่าผู้ป่วยติดเชื้อชนิดใด และมีปฏิกิริยา ต่อยาปฏิชีวนะตัวใด และเพื่อปรับเปลี่ยนแผนการรักษา