Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ระบบทางเดินหายใจและกลไกการทำงาน
ระบบทางเดินหายใจมีหน้าที่
ในการเติมก๊าซที่สำคัญ เช่น ออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือด และกาจัดก๊าซของเสียจากร่างกาย เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ และมีการรักษาสมดุล กรด - เบส เพื่อให้เลือดมีสภาวะที่พร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา
กลไกการหายใจของมนุษย์
การหายใจเข้า (Inspiration)
จะเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครงหดตัว ซึ่งจะทำให้กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น กระบังลมก็จะหดตัวและเลื่อนต่ำลง จึงทำให้ปริมาตรของช่องอกมีมากขึ้นความดันภายในช่องอกจะลดต่ำลง ดังนั้น อากาศจากภายนอกจึงสามารถผ่านเข้าสู่ปอดได้
การหายใจออก (Expiration)
จะเกิดขึ้นหลังจากการหายใจเข้า แล้วทาให้กล้ามเนื้อที่ยึดซี่โครง มีการคลายตัว จึงทาให้กระดูกซี่โครงเลื่อนต่าลง โดยกระบังลมที่เลื่อนต่าลงก็จะกลับเลื่อนตัวสูงขึ้นทาให้ ปริมาตรของช่องอกลดลง ความดันอากาศภายในช่องอกก็จะกลับสูงขึ้น ดังนั้น จึงสามารถดันให้อากาศจาก ภายในปอดออกสู่ภายนอกได้
การหายใจในระดับเซลล์
เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นระหว่างก๊าซออกซิเจนกับสารอาหาร ภายในเซลล์ทาให้เกิด (adenosine triphosphate: ATP) ขึ้นเพื่อไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
การแลกเปลี่ยนแก๊ส
การทำงานของเม็ดเลือดแดง
เม็ดเลือดแดงเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่ง มีหน้าที่หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียนมีแต่ละเซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีส่วนประกอบที่เป็น Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) อยู่ถึง 97 % ซึ่งตัว Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) นี้ ทำหน้าที่ในการ“จับกับก๊าซเพื่อการขนส่ง”
ความดันออกซิเจน
ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อหลังจากเลือดที่ออกอกจากปอดมีความดันออกซิเจนใน
เลือดสูงอยู่ เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนน้อยสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปหาเซลล์ต่างๆ แต่เมื่อการเดินทางไปในอวัยวะที่ไกลขึ้นความเข้มข้นออกซิเจนในเลือดลดลง เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนมากขึ้นเพื่อให้ออกซิเจนออกมาอยู่ในกระแสเลือดเพื่อส่งไปสู่เซลล์
การหมุนเวียน
เพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เมื่อเซลล์เนื้อเยื่อขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกออก จะมีการขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กลับไปที่ปอด กลไกการขนส่งมี 2 อย่างคือ
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้า เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก (H2CO3) และแตกตัว เป็นไฮโดรเจนไออน (H+) กับไบคาร์บอเนต (HCO3)
ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับออกซิเจนของบุคคล
ภาวะที่ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย อาจเนื่องมาจากสภาวะต่างๆ ได้แก่
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง จะมีความหนาแน่นของอากาศลดลงมีผลให้ออกซิเจนมี ระดับต่ำกว่าปกติ ทำให้ร่างกายได้ออกซิเจนน้อยกว่าปกติ
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง การที่ร่างกายได้รับสารพิษจากอากาศ ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในขบวนการขจัดสารพิษ
การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ขณะออกกาลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติ อาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เป็นสาเหตุทำให้เหนื่อยเร็ว และอ่อนล้า
ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาหารที่มีไขมันมาก เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้ ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
ผู้สูงอายุ ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย เช่น ระบบการหมุนเวียนเลือดและหัวใจ ทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
การสูบบุหรี่ มีผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ระบบ เช่น กล่องเสียง หลอดเลือดในสมอง ถุงลม และ ปอดทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง ทำให้หลอดเลือดมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก และมี ออกซิเจนน้อย
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกายเกิดผลเสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อตับ สมอง หรือหัวใจและหลอดเลือด
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกาย
ใช้เทคนิคการสังเกตและการประเมินสัญญาณชีพ
ระบบทางเดินหายใจ
ระยะแรกของเซลล์พร่องออกซิเจนอย่างอ่อน สังเกตพบ ผู้ป่วยมีอาการ หายใจไม่สะดวก หายใจลำบากเมื่อนอนราบ (Orthopnea) ต้องนั่งหายใจหลังจากนอนหลับไปแล้วระยะหนึ่ง ต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจ (paroxysmal nocturnal dyspnea) มีอาการกระสับกระส่าย การหายใจไม่สม่ำเสมอ เวลาหายใจเข้าจะลึกกว่าเวลาหายใจออก เมื่อหายใจเข้ามีเสียงดัง และแสดงอาการหายใจหอบ สังเกตจากปีกจมูกบาน มีการหายใจแบบอ้าปากเสมือนว่าหิวอากาศ (air hunger) และใช้กล้ามเนื้อซี่โครงและไหล่ช่วยในการหายใจเมื่อเกิดการขาดออกซิเจนระดับรุนแรงผู้ป่วยจะหยุดหายใจในที่สุด
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นใน ระยะแรก เพื่อปรับชดเชย ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง เจ็บหน้าอก
และหัวใจหยุดเต้นในระยะสุดท้าย
ระบบประสาทส่วนกลาง
ความรู้สึกตัวของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะ (เนื่องจากหลอดเลือดสมองขยายตัว) เพ้อ หมดสติ หรือชัก
ระบบผิวหนัง
ระยะแรกผิวหนังผู้ป่วยเย็น ซีด เพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะพร่องออกซิเจน โดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ เลือดที่เลี้ยงผิวหนัง ไต ปอด เพราะต้องการออกซิเจนน้อยกว่า และทนต่อการขาดออกซิเจนได้ ต่อมาพบอาการเขียวคล้ำ โดยเห็นชัดบริเวณริมฝีปาก เล็บมือเล็บเท้า และเสียชีวิตในที่สุด
ระบบทางเดินอาหาร
มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนในระยะแรก
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ประเมินการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และหลอดเลือด และการแปลผล
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง(Arterial blood gas: ABG)
ค่าเหล่านี้ บอกถึงความสามารถของ Hemoglobin ในการจับออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ และนำคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเซลล์
pH เป็นตัวชี้วัดภาวะความเป็นกรดด่างของร่างกาย ค่าปกติ อยู่ระหว่าง 7.35-7.45
PaCO2 เป็นการวัดความดันของคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด ค่าปกติอยู่ระหว่าง 35-45 mmHg
PaO2 เป็นตัวบ่งชี้ให้ทราบถึงปริมาณของออกซิเจนในเลือดที่จับกับ Hemoglobin
ค่าปกติอยู่ระหว่าง 80-100 mmHg
Mild hypoxemia : PaO2 มีค่าระหว่าง 60 – 80 mmHg
Moderate hypoxemia :PaO2 มีค่าระหว่าง40-60mmHg
Severe hypoxemia : PaO2 มีค่าน้อยกว่า 40 mmHg
HCO เป็นการวัดค่าความเข้มข้นไฮโดรเจนไอออนในเลือดที่ช่วยบอกการทางานของไตหรือความเป็นกรดด่างในร่างกายได้ ค่าปกติอยู่ระหว่าง 18-25 mEg/L
SaO2 เป็นค่าเปรียบเทียบระหว่าง Hemoglobin ที่มี O2 ที่อิ่มตัวกับความสามารถสูงสุดของHemoglobin ที่จะจับกับ O2 ได้ ค่าปกตอิ ยู่ระหว่าง 97-100 %
การแปลผล
ภาวะระบบทางเดินหายใจเป็นกรดเฉียบพลัน(Acute respiratoryacidosis)
ค่า pHต่ำกว่าปกติ ค่า PaCO2 สูงกว่าปกติ ส่วนค่า HCO3 ปกติ
อาการและอาการแสดงที่พบ คือ hypoventilation จะมีอาการง่วงเหงาหาวนอน ประสาทสัมผัสเปลี่ยนแปลงไป ระดับความรู้สึกลดลงจนไม่รู้สึกตัว หัวใจเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ
ภาวะระบบทางเดินหายใจเป็นด่างเฉียบพลัน(Acute respiratoryalkalosis)
ค่า pH สูงกว่าปกติ ค่าPaCO2 ต่ำกว่าปกติ ส่วนค่า HCO3 ปกติ
อาการและอาการแสดงที่พบ คือ Hyperventilation หัวใจเต้นเร็ว ประสาท เปลี่ยนแปลง ชา หมดความรู้สึก มีอาการชาตามมือตามหน้า ระดับความรู้สึกลดลงจนไม่รู้สึกตัว ไม่เป็นจังหวะ สัมผัสเปลี่ยนแปลง
ภาวะการเผาผลาญเป็นกรดเฉียบพลัน (Acute metabolic acidosis)
ค่า pH และ ค่าHCO3 ต่ำกว่าปกติ ส่วนค่า PaCO2 ปกติ
อาการและอาการแสดงที่พบ คือ อาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ประสาทสัมผัสเปลี่ยนไป มีอาการสั่นกระตุก (tremor) ชัก (convulsion)
ภาวะการเผาผลาญเป็นด่างเฉียบพลัน (Acute metabolic alkalosis)
ค่า pHและค่า HCO3 สูงกว่าปกติ ส่วนค่า PaCO2 ปกติ
อาการและอาการแสดงที่พบคล้ายกับ metabolic acidosis แต่ไม่มีอาการปวดศีรษะ
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation)
ใช้ pulse oximeter เป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน (oxyhemoglobin) ต่อปริมาณ ฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือด
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
สาเหตุของ hypoxia และหรือ hypoxemia พบความผิดปกติของระบบต่าง ๆ ต้องได้รับการรักษาด้วยออกซิเจน ดังนี้
ระบบทางเดินหายใจ เช่น การอุดกั้น การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ การมีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจชนิดต่าง ๆ หรือภาวะช็อกจากสาเหตุต่าง ๆ
โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อย เช่น ภาวะโลหิตจาง เป็นต้น
ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติต่าง ๆ
ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ การบาดเจ็บของสมอง
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดส่วนอกและช่องท้อง
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มี
อาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
อาการไอ (Cough)
สาเหตุอาการไอ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ
มีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจาก ไข้หวัด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง และถ้าไอมากกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากหลอดลม อักเสบ จมูกและไซนัสอักเสบเรื้อรัง หอบหืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดอักเสบเรื้อรัง จากการติดเชื้อ หรือ มะเร็งหลอดลม
ฝุ่น ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน - เย็นของอากาศ จะทำให้การไอมากขึ้น
ลักษณะอาการไอ
ไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ เช่น ไอเนื่องจากมีฝุ่นละอองมาก
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนอง มักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ประเมินประสิทธิภาพการไอ ลักษณะไอแห้ง ๆ หรือไอแบบมีเสมหะ โดยการฟังเสียงไอ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่ และระยะเวลาของการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจำนวน ลักษณะ สี และกลิ่นของเสมหะด้วย
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
กระตุ้นให้ดื่มน้าอุ่นบ่อย ๆ และปริมาณมาก เพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่าย จากการ เปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ (effective cough) โดยการให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนยกศีรษะ สูง (Fowler’s position) และหายใจเข้าลึก ๆ เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง กลั้นหายใจสักครู่ แล้วไอออกมาอย่าง แรงโดยเฉพาะผู้ปุวยหลังผ่าตัดที่มักกลัวเจ็บต้องอธิบายให้ทราบถึงความจำเป็น
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
Hemoptysis อาการไอเป็นเลือด
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดปนออกมา คือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคมะเร็งของหลอดลม หรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือมะเร็งหลอดลม
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่า ๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อุบัติเหตุ
การอักเสบ ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ
กล่องเสียง หลอดลมใหญ่ และในเนื้อปอด
เนื้องอก และมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่าง ๆ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต
เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรงของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด
และพยาบาลจะต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation) พยาบาลต้องคอย ปลอบโยน ให้กำลังใจ และให้การดูแลจนผู้ป่วยควบคุมตนเองได้
Hiccup การสะอึก
สาเหตุของอาการสะอึก
อาการสะอึกเป็นอาการปกติทั่วไป ไม่ได้เกิดจากโรค โดยมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย
เช่น กินอิ่มมากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทาให้เกิดแก๊ส (Carbonate) ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่จัด หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย เป็นต้น
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่น น้ำมะนาว เป็นต้น หรือดื่มน้ำเปล่า
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น เป็นต้น
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ
Dyspnea อาการหายใจลำบาก
สาเหตุของการหายใจลำบาก
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทำลาย
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ เช่น การทพงานของหัวใจไม่ดี
เนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจ ตายหรือลิ้นหัวใจรั่ว
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer) เพื่อให้หายใจสะดวก
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดอาการหายใจลำบาก
Chest pain อาการเจ็บหน้าอก
ลักษณะตามสาเหตุ
1) สาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ
มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่ และเจ็บเมื่อใช้มือกดที่บริเวณนั้น
3) สาเหตุจากเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
มักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บ ตลอดเวลา
อาจมีลักษณะในข้อ 2 ร่วมด้วย ถ้าการอักเสบลุกลามถึงเยื่อหุ้มปอด
2) สาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบ และ
มักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึก ๆ หรือเวลาไอ ทำให้ผู้ป่วยต้องหายใจตื้น ๆ
4) สาเหตุจากหัวใจ เช่น ภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจโคโรนารีตีบแคบ
มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณกระดูก sternum โดยเฉพาะจะเจ็บหรือปวดมากเมื่อเวลาออกกาลังกาย
5) สาเหตุจากหลอดลมอักเสบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูก อาจเจ็บตลอดเวลา และเจ็บมากเมื่อเวลาไอ
6) สาเหตุจากเส้นประสาท เช่น โรครากประสาทสันหลัง (posterior nerve root)
จะปวดร้าวไปตามแขนงของประสาทintercostalnerve ซึ่งอยู่ตามแนวกระดูกซี่โครง
และปวดตลอดเวลา พบในโรคงูสวัด (herpes zoster)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
สังเกตอาการ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะนำให้นอนตะแคงทับด้านที่เป็น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น อาจต้องให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือปอด
ถ้าเป็นอาการเจ็บหน้าอกจากหัวใจ จะมีอันตรายกว่าการเจ็บหน้าอกจากระบบหายใจมาก
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
วิตกกังวล(anxiety)กระสับกระส่าย(restlessness)
ระดับการมีสมาธิลดลง (decreased ability to concentrate)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง (decreased level of consciousness)
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น (increased fatigue)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น (increase pulse rate) ขั้นรุนแรง และพบ bradycardia
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก ระยะต่อมาจะเปลี่ยนเป็นหายใจสั้นและตื้น
ความดันโลหิตลดลง (blood pressure will decrease)
มีภาวะซีด (pallor)
มีอาการเขียวคล้ำ(cyanosis)
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุ้ม (clubbing)
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ (cardiac dysthymias)
อาการหายใจลำบาก (dyspnea)
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำโดยวิธีการเพิ่มปริมาณ ออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งฟอง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ
และระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO2 < 60 mmHg หรือ SaO2 < 90 % เมื่อหายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ป่วยหลังโดนไฟไหม้
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง (severe trauma)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน (acute myocardial infarction: MI)
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการทำผ่าตัด เช่น หลังการดมยาสลบ
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง เมื่อค่า PaO2 ≥ 60 มม.ปรอท
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis) ออกซิเจนเป็นพิษ (oxygen toxicity) หรือกดการทำงานของ cilia เพื่อให้ความเข้มข้นของออกซิเจนขณะหายใจเข้า (FiO2) ≥ 0.5
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากparaquat เช่น ยาฆ่าหญ้า
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ำที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟ
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบ nebulizer
สามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้ เนื่องจากการสูดดมโดยตรง
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทำให้ขบวนการติดไฟ เพิ่มความรุนแรง
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
1.1 ตรวจวัดสัญญาณชีพ ดูลักษณะ และอัตราเร็วของการหายใจ ความดันโลหิตและชีพจร
1.2 ความผิดปกติของสีผิว ดูลักษณะบริเวณริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้า ผิวหนังว่ามีอาการเขียวหรือไม่
1.3 ระดับความรู้สึกตัว
1.4 วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง (Tridal Volume)
1.5 ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซิเจน (Blood gas)
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ(Clear air way) ให้โล่งตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ขาดออกซิเจน
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก 2 - 3 ชั่วโมง
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
โดยมีข้อควรปฏิบัติและต้องคำนึงถึง
1. อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน
การให้ออกซิเจนอุปกรณ์ที่ใช้มีโอกาสก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ เช่น น้ำกลั่นในขวด humidifier
อุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน เช่น mask, cannula, tent, tracheostomy tube เป็นต้น
2. อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้
เนื่องจากออกซิเจนเป็นก๊าซแห้ง เมื่อผ่านเข้าในระบบทางเดินหายใจจะทำให้เยื่อบุแห้ง เกิดความบกพร่องในหน้าที่ของเซลล์ขนกวัด (cilia) ทำให้มีน้ำคัดหลั่งหนา และเกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ
3. อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด
ออกซิเจนจะก่อพิษในปอดได้หากได้รับในระยะเวลานาน คือ 24 – 48 ชั่วโมง และความเข้มข้นของก๊าซ มากกว่าร้อยละ 60
4. อาจเกิดอันตรายกับดวงตา
การได้รับออกซิเจนความเข้มข้น สูงเป็นระยะเวลานาน ๆ จะเกิดกับหลอดเลือดหลังเลนส์เปลี่ยนแปลง มีผลให้ปิดกั้นลาแสงที่พุ่งตรงไปจอตา จึงเกิดความผิดปกติในการเห็น อาการพิษชนิดนี้มักพบในทารกคลอดก่อนกำหนด
5. อาจเกิดการหยุดหายใจ
ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ศูนย์การหายใจจะไม่เป็นตัวควบคุมการหายใจ แต่ใช้ chemoreceptor reflex เป็นตัวควบคุมแทน โดยใช้ภาวะการขาดออกซิเจน เป็นตัวเร่งให้ เกิดการหายใจ
ดังนั้นถ้าให้ออกซิเจนความเข้มข้นสูงจะทำให้การเร่งจากภาวะการขาดออกซิเจนหายไปทำให้ ผู้ปุวยหยุดหายใจได้ เรียกว่า เกิดภาวะง่วงงันจากการคั่งของคาร์บอนได้ออกไซด์ (CO2 narcosis)
6. อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด เพราะการสันดาป
เป็นขบวนการที่เชื้อเพลิงทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนเกิดเป็น oxide มีความร้อนและพลังงานเกิดขึ้น