Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
การหมุนเวียนเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ า เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก(H2CO3) และแตกตัวเป็นไฮโดรเจนไออน(H+)กับไบคาร์บอเนต(HCO3)
ความดันออกซิเจน
ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
การทำงานของเม็ดเลือดแดง
มีหน้าที่หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน มีอายุขัยประมาณ 120 วัน ร่างกายเรามีการท าลายและการสร้างเม็ดเลือดใหม่ตลอดเวลา
Hemoglobin(ฮีโมโกลบิน)อยู่ถึง 97%
ปัจจัยที่มีผลตอการไดรับออกซิเจนของบุคคล
การเล่นกีฬาหรือออกกeลังกายหนัก ๆ ขณะออกกำลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติอาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เป็นสาเหตุทeให้เหนื่อยเร็ว และอ่อนล้า
ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง ภาวะดังกล่าวทำให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง การที่ร่างกายได้รับสารพิษจากอากาศ ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในขบวนการขจัดสารพิษ
อาหารที่มีไขมันมาก จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูงภาวะดังกล่าวจะมีความหนาแน่นของอากาศลดลง มีผลให้ออกซิเจนมีระดับต่ำกว่าปกติ
ผู้สูงอายุ ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ความเสื่อมเกิดขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย เช่น ระบบการหมุนเวียนเลือดและหัวใจ ท าให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
การสูบบุหรี่ มีผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ระบบ เช่น กล่องเสียง หลอดเลือดในสมอง ถุงลม และปอดทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ การดื่มในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกายเกิดผลเสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อตับ สมอง หรือหัวใจและหลอดเลือด
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกาย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประเมินพบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นในระยะแรก เพื่อปรับชดเชย ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง เจ็บหน้าอก และหัวใจหยุดเต้นในระยะสุดท้าย
ระบบประสาทส่วนกลาง สังเกตและประเมินพบ ความรู้สึกตัวของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะ(เนื่องจากหลอดเลือดสมองขยายตัว)เพ้อ หมดสติ หรือชัก
ระบบทางเดินหายใจระยะแรกของเซลล์พร่องออกซิเจนอย่างอ่อนสังเกตพบผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่สะดวก
ระบบผิวหนัง ระยะแรกพบว่า ผิวหนังผู้ป่วยเย็น ซีดเพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะพร่องออกซิเจน โดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญเช่น สมอง
ระบบทางเดินอาหาร ประเมินและสังเกตพบมีอาการคลื่นไส้อาเจียนในระยะแรก
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG)
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation)
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อยเช่น ภาวะโลหิตจาง
ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติต่าง ๆ
ระบบหัวใจและหลอดเลือดเช่นโรคหัวใจชนิดต่างๆหรือภาวะช็อกจากสาเหตุต่างๆ
ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลายความผิดปกติของกล้ามเนื้อการบาดเจ็บของสมองและได้รับยาที่กดการหายใจ
ระบบทางเดินหายใจเช่น การอุดกั้นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจการมีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลงการบาดเจ็บที่ทรวงอกหรือการหายใจล้มเหลว
ผู้ปุวยที่ได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดส่วนอกและช่องท้อง
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
Hemoptysis
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
การอักเสบ ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ กล่องเสียง หลอดลมใหญ่และในเนื้อปอด
เนื้องอก และมะเร็ง
อุบัติเหตุ
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่างๆ ทำให้เกิดการไอเป็นเลือดได้ เช่น หลอดเลือดที่เลี้ยงปอดอุดตัน วัณโรค และปอดบวม
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิตเพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรงของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมากอาจต้องให้เลือด และพยาบาลจะต้องเฝูาระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ให้ผู้ปุวยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ผู้ปุวยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation) พยาบาลต้องคอยปลอบโยน ให้ก าลังใจ และให้การดูแลจนผู้ป่วยควบคุมตนเองได้เพื่อช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและลดความตกใจ
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดปนออกมาคือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคมะเร็งของหลอดลมหรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือมะเร็งหลอดลม
ไอจนมีเลือดสดออกมาพบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่าๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
Hiccup
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่นน้ำมะนาวเป็นต้น หรือดื่มน้ำเปล่า
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ถือแก้วน้ำแล้วหลุดออกจากมือขณะสะอึก หรือขณะรับประทานอาหารอาจสำลักได้
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่างๆ ทำให้เกิดการไอเป็นเลือดได้ เช่น หลอดเลือดที่เลี้ยงปอดอุดตัน วัณโรค และปอดบวม
อาการไอ (Cough)
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะเช่น ไอเนื่องจากมีฝุุนละอองมาก
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนองมักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ เช่นโรคปอดบวม และวัณโรคปอด
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ดูแลความสะอาดของปากฟันและสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ และปริมาณมากเพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจำนวน ลักษณะ สีและกลิ่นของเสมหะด้วย
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่ายจากการเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่และระยะเวลาของการไอ
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
ประเมินประสิทธิภาพการไอลักษณะไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะโดยการฟังเสียงไอ
สาเหตุของการไอ
ฝุุน ควัน สารเคมี อาหารหรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน -เย็นของอากาศจะทำให้การไอมากขึ้น
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจมีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากไข้หวัด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง และถ้าไอมากกว่า 2 สัปดาห์
Dyspnea
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม ทุก 1-2 ชั่วโมง
ดูแลให้ผู้ปุวยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน เช่นการใส่ท่อช่วยหายใจ
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer)เพื่อให้หายใจสะดวก
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดอาการหายใจลำบากโดยหายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม
สาเหตุของการหายใจลำบาก
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจเช่นการทำงานของหัวใจไม่ดีเนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจ
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ ผู้ป่วยที่หายใจลำบากอาจมีเสียง wheeze ร่วมด้วยอาการนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อรอบหลอดลมทำให้ผู้ป่วยหายใจเข้าออกไม่สะดวก เวลาหายใจอาจมีเสียงwheezeดังได้ยินชัดเจนอาการนี้พบได้ในโรคหืดหรือหลอดลมอักเสบ
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทำลาย
Chest pain
มีลักษณะแตกต่างกันตามสาเหตุดังนี้
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจาก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บตลอดเวลา อาจมีลักษณะในข้อ2 ร่วมด้วย ถ้าการอักเสบลุกลามถึงเยื่อหุ้มปอด
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากหัวใจเช่นภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจโคโรนารี (coronary artery)ตีบแคบมักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณกระดูกsternumโดยเฉพาะจะเจ็บหรือปวดมากเมื่อเวลาออกก าลังกายเช่นเดินขึ้นบันได
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบและมักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึกๆหรือเวลาไอท าให้ผู้ปุวยต้องหายใจตื้นๆ
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากหลอดลมอักเสบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูกอาจเจ็บตลอดเวลาและเจ็บมากเมื่อเวลาไอ
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่และเจ็บเมื่อใช้มือกดที่บริเวณนั้น
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเส้นประสาทเช่นโรครากประสาทสันหลัง (posterior nerve root) จะปวดร้าวไปตามแขนงของประสาทintercostalnerveซึ่งอยู่ตามแนวกระดูกซี่โครงและปวดตลอดเวลา พบในโรคงูสวัด(herpes zoster)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
สังเกตอาการ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะน าให้นอนตะแคงทับด้านที่เป็น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น อาจต้องให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด ถ้าเป็นอาการเจ็บหน้าอกจากหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย(myocardial infarction) จะมีอันตรายกว่าการเจ็บหน้าอกจากระบบหายใจมาก
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุูม (clubbing)
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก (increase rate and depth respiration) ระยะต่อมาจะเปลี่ยนเป็นหายใจสั้นและตื้น (shallow and slow respiration)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
ความดันโลหิตลดลง (blood pressure will decrease)
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น (increase pulse rate) ขั้นรุนแรง และพบ bradycardia
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ (cardiac dysthymias)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
มีภาวะซีด (pallor)
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น(increased fatigue)
มีอาการเขียวคล้ า (cyanosis)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง(decreased level of consciousness)
ระดับการมีสมาธิลดลง(decreased ability to concentrate)
อาการหายใจลำบาก (dyspnea)
วิตกกังวล (anxiety) กระสับกระส่าย(restlessness)
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโปุงฟอง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจหัวใจและระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนท าให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ โดยวิธีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง(severe trauma)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน(acute myocardial infarction: MI)
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ปุวยหลังโดนไฟไหม้
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการท าผ่าตัด เช่น หลังการดมยาสลบ หรือการท าผ่าตัดใหญ่
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO2< 60 mmHg หรือ SaO2< 90% เมื่อหายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ปุวยที่ได้รับพิษจาก paraquat เช่น ยาฆ่าหญ้า เป็นต้นหรือผู้ปุวยที่ได้รับยาเคมีบำบัด
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่่ำที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟ
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis) ออกซิเจนเป็นพิษ (oxygen toxicity) หรือกดการท างานของciliaที่ก าลังพัดโบกกำจัดสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบnebulizerสามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้เนื่องจากการสูดดมโดยตรง
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง เมื่อค่าPaO2≥ 60 มม.ปรอท โดยที่ค่า PaCO2สูงกว่าภาวะปกติ
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทำให้ขบวนการติดไฟเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ(Clear air way)
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก2-3 ชั่วโมง
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ ควรดูแลดังนี้
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การจัดท่าผู้ป่วย
ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง (high fowler’s position) ในท่านี้จะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น โดยกระบังลมจะหย่อนลง ทำให้ปอดขยายตัวเต็มที่และมีปริมาณอากาศเพิ่มมากขึ้น
การบริหารการหายใจ
การหายใจโดยการห่อปาก (pursed -lip breathing)
การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing)
การดูดเสมหะ(suction)
การดูดเสมหะทางปากการใช้กระบวนการพยาบาล
อาการแทรกซ้อน
เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ ในขณะดูดเสมหะต้องทำการดูดเสมหะอย่างเบามือและนุ่มนวล
อาจเกิดการสำลักจากการกระตุ้น gag reflex หรือจัดท่าผู้ป่วยไม่ถูกต้อง
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น โพรงจมูกอักเสบ (sinusitis) ภาวะหูอักเสบ (otitis) ต้องทำความสะอาดช่องปากทุกครั้งหลังดูดเสมหะ และเปลี่ยน airway ทุกวัน
ริมฝีปากแห้งเกิดเป็นแผลได้ง่าย ให้ทาครีมทุกครั้งหลังทำความสะอาดปาก
แรงกดหรือการระคายเคืองบริเวณรูจมูกและริมฝีปากอาจทำให้เกิดแผลหรือเกิดแผลจากการดูดเสมหะหลาย ๆ ครั้ง
อาจเกิดความผิดปกติในผู้ปุวยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และเกิดภาวะความดันในสมองสูง
วิธีการดูดเสมหะ
การดูดเสมหะทางจมูก(Nasopharygeal) หรือปาก (oropharyngealsuction)
การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ(Endotracheal) หรือทางท่อหลอดคอ (tracheostomy suction)
การเก็บเสมหะ มี 2 วิธี คือ
การเก็บเสมหะส่งตรวจ(Sputum examination)
การตรวจเสมหะแบบเพาะเชื้อ(Sputum culture)
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
อาจเกิดความผิดปกติในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และเกิดภาวะความดันในสมองสูง
ใส่flow meter กับแหล่งที่มาของออกซิเจนที่มาจากชนิดผนัง (wall type) จากถังใช้high-pressure gas regulatorให้ถูกต้องและแน่นพอดี
ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ ากลั่นปลอดเชื้อ ให้ระดับน้ าอยู่ตรงต าแหน่งขีดที่กำหนดข้างกระบอกปูองกันไม่ให้ flow meter เสียหรือน้อยกว่าขีด
ประเมินสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัว เพื่อประเมินอาการผู้ป่วย
ปรับระดับลูกลอยใน flow meter จะได้ปริมาณของออกซิเจนมีหน่วยเป็นลิตรต่อนาทีตามที่ต้องการ สวมท่อสายยางของอุปกรณ์ให้ออกซิเจน กับท่อflow meter
ล้างมือให้สะอาด สวมmask เพื่อปูองกันการนำเชื้อเข้าสู่ผู้ป่วย
หมุนปุุมเปิด flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนทิ้งไว้ 1–2 นาที
กรณีให้ nasal cannulaให้ปฏิบัติ ดังนี้
ทำความสะอาดช่องจมูกทั้งสองข้างและทุก 8 ชั่วโมง
สวมเขี้ยวเข้าในช่องจมูกทั้ง 2 ข้างโดยให้ส่วนโค้งแนบไปกับโพรงจมูก
กรณีให้ maskให้ปฏิบัติ ดังนี้
simple mask ครอบหน้ากากบริเวณสันจมูกและปากให้แนบสนิท
ชนิดมีถุง เปิดออกซิเจนไหลผ่านถุง 10 -20 ลิตร/นาที
กรณีให้ oxygen hood (oxygen box) ให้ปฏิบัติ ดังนี้
ต่อท่อออกซิเจนเข้ากับกล่อง
วางครอบเฉพาะศีรษะและไหล่ ระวังไม่ให้สายอยู่ใกล้หน้าเด็ก
กรณีให้ T-pieceให้ปฏิบัติ ดังนี้
ควรดูดเสมหะออกก่อนเพื่อให้ออกซิเจนไหลผ่านหลอดลมคอได้สะดวก
ต่อสาย T –piece ครอบท่อหลอดลมคอ
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)