Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่7 การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน (ต่อ) - Coggle Diagram
บทที่7 การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน (ต่อ)
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การบริหารการหายใจ
การหายใจโดยการห่อปาก (pursed -lip breathing)
ช่วยเหลือผู้ป่วยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย
แนะนำผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก (ปิดปากให้สนิท) และค่อยๆ หยุดหายใจช้าๆ เมื่อหายใจเข้าเต็มที่ ทำติดต่อกัน 3 ครั้ง
แนะนำผู้ป่วยให้หายใจออกทางปากช้าๆ โดยการห่อปาก
อธิบายให้ผู้ป่วยตั้งใจเป่าลมออกทางปากช้าๆ
ใช้วิธีการหายใจ เมื่อผู้ป่วยมีการหายใจสั้น และฝึกการหายใจ 5-10 นาทีวันละ 4ครั้ง
เนื่องจากหายใจลำบาก ถ้าผู้ป่วยฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม
(diaphragmatic breathing)
ตรวจดูให้แน่ใจว่าจมูก หลอดลม ไม่มีนํ้ามูก หรือเสมหะ และไม่มีอาการบวมคั่ง ถ้ามีนํ้ามูกหรือเสมหะให้พ่นละอองไอนํ้า ดูดเสมหะออก กระตุ้นให้ผู้ปุวยไอหรือระบายเสมหะด้วยการจัดท่าเสียก่อน
ช่วยเหลือผู้ปุวยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย อาจอยู่ในท่านั่งหรือนอนศีรษะสูงเล็กน้อย ทำให้หน้าท้องหย่อน งอเข่า และกระดูกข้อตะโพก
สอนผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก (ปิดปากให้สนิท) ขณะผู้ป่วยสูดหายใจให้ดันกระบังลมลงให้ตํ่าและใช้แรงดันผนังหน้าท้องให้ขยายออก ถ้าพยาบาลหรือผู้ป่วยวางมือไว้ที่หน้าท้องต้องปล่อยมือให้ขยายออกตามผนังหน้าท้อง
แนะนำให้ผู้ปุวยหยุดหายใจช้าๆ หลังหายใจเข้าลึกเต็มที่แล้วเป่าลมออกทางปากช้าๆ โดยการห่อปาก (purse –lips)
กระตุ้นให้ผู้ปุวยหดเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องไล่อากาศออกจากปอดให้มากที่สุด
อธิบายให้ผู้ปุวยเป่าลมออกทางปากช้าๆ ประมาณ 2 –3 เท่า ของระบบการหายใจเข้า
หลังจากฝึกปฏิบัติจนชำนาญแล้ว อาจใช้ของหนักประมาณ 5 ปอนด์ วางบนหน้าท้องเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง
ให้ผู้ป่วยฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลมหายใจครั้งละ10–20 นาที ทุกชั่วโมง จนเกิดความเคยชิน
การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing)
จัดท่าให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆและไอได้สะดวก
รวบตรึงบริเวณผ่าตัดด้วยหมอน โดยใช้มือกอดหมอน หรือรวบหมอนกดให้แน่นขณะที่ผู้ป่วยไอ ถ้าผู้ป่วยทำไม่ได้พยาบาลต้องช่วยเหลือ
แนะนำให้ผู้ปุวยหายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ ในกรณีผู้ปุวยหลังการผ่าตัด ควรให้ยาระงับปวดก่อน 20 –30 นาที
แนะนำผู้ป่วยให้กลั้นหายใจและไอออกแรงๆ
เตรียมกระดาษเยื่อและชามรูปไต หรือกระโถนให้ผู้ป่วย
การดูดเสมหะ(suction)
การดูดเสมหะ
การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ(Endotracheal)
หรือทางท่อหลอดคอ (tracheostomy suction)
เป็นการดูดเสมหะผ่านท่อช่วยหายใจEndotrachealหรือทางท่อเจาะคอที่เจาะผ่านหลอดลมออกมาภายนอก (tracheostomy tube) ซึ่งเป็นหัตถการโดยแพทย์ช่วยให้สามารถดูด
การดูดเสมหะทางจมูก(Nasopharygeal) หรือปาก (oropharyngealsuction)
เป็นการดูดเสมหะผ่านทางจมูกหรือ nasal airway ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อยาวภายในกลวง ลักษณะของท่อโค้ง และมีความยืดหยุ่นให้สามารถสอดใส่เข้าทางรูจมูกผ่านไปถึงโพรงจมูกด้านหลัง (nasophgryngeal) ได้สะดวกหรือดูดเสมหะผ่านทางปาก (oral airway) ซึ่งเป็นท่อขนาดใหญ่กว่าสอดใส่เข้าทางปากผ่านช่องปากไปถึงโคนลิ้น
วิธีการปฏิบัติการดูดเสมหะทางปาก
อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจเพื่อลดความวิตกกังวลและให้ความร่วมมือ
ล้างมือให้สะอาดใส่mask เพื่อลดการแพร่ของเชื้อโรค
สวมถุงมือ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปื้อนเสมหะ
จัดท่าผู้ปุวยให้นอนตะแคงศีรษะตํ่าเล็กน้อย เพื่อช่วยให้เสมหะออกได้สะดวกไม่เกิดการสําลักเข้าปอด
หยิบสายดูดเสมหะต่อกับเครื่องดูดเสมหะแล้ว ปรับแรงดันเครื่องดูดเสมหะให้เหมาะสมตามประเภทของผู้ปุวย ตรวจสอบแรงดันโดยใช้นิ้วปิดปลายของสายดูดเสมหะ
ให้ผู้ป่วยอ้าปาก กรณีไม่รู้ตัวใช้ไม้กดลิ้นช่วยในการอ้าปากผู้ป่วย จากนั้นใส่สายดูดเสมหะในบริเวณที่ต้องการจะดูดเสมหะ อาจเป็นแก้ม ใต้ลิ้น และบริเวณด้านหลังของปาก โดยพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณคอหอยด้านหลัง (posterior pharynx) จะทำให้เกิดรีเฟลกซ์ส่งผลให้ผู้ป่วยจะมีอาการขย้อน
ขณะทำการดูดเสมหะ พบว่า ดูดไม่ขึ้นหรือดูดไม่ออกให้หยุดทำการดูดเสมหะไว้ก่อน เพราะปลายสายดูดเสมหะอาจดูดติดบริเวณเยื่อบุช่องปาก อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือเลือดออกบริเวณเนื้อเยื่อนั้น
การดูดเสมหะแต่ละครั้งไม่ควรนานเกิน 10วินาที หรือประมาณเวลาเท่ากับการกลั้นหายใจของผู้ดูดเสมหะ เพราะการดูดเสมหะนานอาจทำให้กล่องเสียงหดเกร็ง (laryngospasm) การเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติหรือเต้นไม่เป็นจังหวะจากการกระตุ้นที่ประสาทเวกัส และสูญเสียออกซิเจนอีกทั้งทำให้ผู้ป่วยเจ็บทรมาน
9.ล้างสายดูดโดยการดูดผ่านนํ้าเกลือใช้ภายนอกเป็นการทำความสะอาดสายดูดเสมหะ 1-2ครั้ง
10.เช็ดทำความสะอาดบริเวณที่มีน้ าเปียก เช็ดนํ้าตาผู้ป่วยที่อาจไหลขณะดูดเสมหะ จัดท่าให้ผู้ป่วยสุขสบาย เพื่อให้หายใจได้สะดวก
ถอดสายดูดเสมหะ เก็บของให้เข้าที่เรียบร้อย ถอดถุงมือออกทิ้ง
อาการแทรกซ้อน
อาจเกิดการสำลักจากการกระตุ้น gag reflex หรือจัดท่าผู้ปุวยไม่ถูกต้อง
เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ ในขณะดูดเสมหะ
ต้องทําการดูดเสมหะอย่างเบามือและนุ่มนวล
ริมฝีปากแห้งเกิดเป็นแผลได้ง่าย ให้ทาครีมทุกครั้งหลังทำความสะอาดปาก
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น โพรงจมูกอักเสบ (sinusitis)
ภาวะหูอักเสบ (otitis) ต้องทำความสะอาดช่องปากทุกครั้ง
หลังดูดเสมหะ และเปลี่ยน airway ทุกวัน
แรงกดหรือการระคายเคืองบริเวณรูจมูกและริมฝีปากอาจทำให้เกิดแผลหรือเกิดแผลจากการดูดเสมหะหลาย ๆครั้ง
อาจเกิดความผิดปกติในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
และเกิดภาวะความดันในสมองสูง
การใช้กระบวนการพยาบาลในขั้นตอนการประเมินสภาพผู้ป่วย
สังเกตอาการซึมลงของผู้ปุวย
สังเกตลักษณะสีผิว เล็บ และริมฝีปาก มีอาการ cyanosis
ประเมินอาการไอมีประสิทธิภาพที่จะขับเสมหะออกได้ลดลง
สังเกตอาการเหนื่อย หายใจลำบาก ได้ยินเสียงดังขณะหายใจเข้าและออก
สังเกตลักษณะเสมหะ เหนียว และมีจำนวนมาก
ฟังเสียงปอดได้ยินเสียงเสมหะ (adventitions sound)
สังเกตอาการอาเจียนหรือขย้อนอาหารอยู่ในปาก
สังเกตแบบแผนและลักษณะการหายใจค่อนข้างแรงมาก
อัตราการหายใจเร็ว
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ขณะ/และหลังการดูดเสมหะ
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าจะมีการหายใจลำบากในขณะดูด
แต่จะดีขึ้นภายหลังเอา สายออกและดูดเสมหะ
ออกแล้วทางเดินหายใจโล่งจะรู้สึกสบายขึ้น
ทำการดูดเสมหะด้วยความเบามือ และนุ่มนวล
บอกให้ผู้ป่วยทราบก่อนว่า “จะทำการดูดเสมหะอย่างเบามือที่สุด
ถ้าเจ็บหรือทนไม่ไหวให้ยกมือขึ้น” เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย
และให้ความร่วมมือ
หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดท าความสะอาด เก็บของใช้
และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าในถึงวัตถุประสงค์และความจำเป็นของการดูดเสมหะ
พูดให้กำลังใจก่อนเดินออกจากเตียงผู้ป่วย
แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน บ่งบอกถึงความเป็นมิตร
และช่วยลดภาวะตื่นกลัว
เครื่องดูดเสมหะ
ชนิดติดฝาผนัง (wall suction)
เครื่องดูดเสมหะชนิดเคลื่อนที่ (mobile suction)
การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนในเซลล์ตํ่า (hypoxia)
ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง (high fowler’s position)
ในท่านี้จะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น โดยกระบังลมจะหย่อนลง
ทำให้ปอดขยายตัวเต็มที่และมีปริมาณอากาศเพิ่มมากขึ้น
ผู้ป่วยที่หายใจลำบากทำให้นอนราบไม่ได้ควรจัดท่า orthopnea position
เป็นท่าศีรษะสูง ต้องอยู่ในท่านั่งหรือฟุบหลับบนเก้าอี้
โดยใช้หมอน 3 –4 ใบ วางซ้อนกันและตัวผู้ปุวยฟุบพาดโต๊ะ
ท่านี้จะช่วยทำให้ช่องอกขยายและทำให้ผู้ปุวยรู้สึกสบายขณะพักและนอนหลับได้
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
ข้อควรปฏิบัติและต้องคำนึงถึง
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา (retrolental fibroplasias)
คือ การได้รับออกซิเจนความเข้มข้นสูงเป็นระยะเวลานานๆ
จะเกิดกับหลอดเลือดหลังเลนส์เปลี่ยนแปลง
อาจเกิดการหยุดหายใจ ในผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
ศูนย์การหายใจจะไม่เป็นตัวควบคุมการหายใจ
แต่ใช้ chemoreceptor reflex เป็นตัวควบคุมแทน
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด ออกซิเจนจะก่อพิษในปอดได้
หากได้รับในระยะเวลานาน
อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิดเพราะการสันดาป (combustion) เป็นขบวนการที่เชื้อเพลิงทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนเกิดเป็น oxide มีความร้อนและพลังงานเกิดขึ้น
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากออกซิเจนเป็นก๊าซแห้ง เมื่อผ่านเข้าในระบบทางเดินหายใจจะทำให้เยื่อบุแห้ง
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนการให้ออกซิเจนอุปกรณ์ที่ใช้มีโอกาสก่อให้เกิดการติดเชื้อได้
หลักปฏิบัติในการให้ออกซิเจนชนิดต่าง ๆ
การเตรียมอุปกรณ์ และทดสอบปริมาณออกซิเจนจากแหล่งที่มา
ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ ากลั่นปลอดเชื้อ ให้ระดับนํ้าอยู่ตรงตำแหน่งขีดที่กำหนดข้างกระบอกปูองกันไม่ให้ flow meter เสียหรือน้อยกว่าขีด
ใส่flow meter กับแหล่งที่มาของออกซิเจนที่มาจากชนิดผนัง (wall type) จากถังใช้high-pressure gas regulatorให้ถูกต้องและแน่นพอดี
ปรับระดับลูกลอยใน flow meter จะได้ปริมาณของออกซิเจนมีหน่วยเป็นลิตรต่อนาทีตามที่ต้องการ สวมท่อสายยางของอุปกรณ์ให้ออกซิเจน
กับท่อflow meter
ประเมินสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัว
หมุนปุุ่มเปิด flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนทิ้งไว้ 1–2 นาทีเพื่อทดสอบว่ามีออกซิเจนไหลผ่าน และได้ปริมาณตามแผนการรักษาทุกครั้งก่อนสวมอุปกรณ์ให้ผู้ป่วย
ล้างมือให้สะอาด สวมmask
กรณีให้ nasal cannula
สวมเขี้ยวเข้าในช่องจมูกทั้ง 2 ข้างโดยให้ส่วนโค้งแนบไปกับโพรงจมูก คล้องสายกับใบหู2ข้าง ปรับสายให้พอดีไว้ใต้คาง หรืออ้อมรอบศีรษะ
เพื่อให้อยู่ในตําแหน่งปูองกันเลื่อนหลุด
ทำความสะอาดช่องจมูกทั้งสองข้างและทุก 8 ชั่วโมงเพื่อให้ช่องจมูกโล่งทำให้ได้รับออกซิเจนปริมาณถูกต้อง
กรณีให้ maskให้ปฏิบัติ
ชนิดมีถุง
เปิดออกซิเจนไหลผ่านถุง 10 -20 ลิตร/นาที จนถุงโปุงเต็มที่เพื่อไล่ก๊าซอื่นที่ค้างในถุงออกรวมทั้งทดสอบถุงไม่รั่วแล้วจึงใส่เหมือน simple mask
simple mask
ครอบหน้ากากบริเวณสันจมูกและปากให้แนบสนิทปรับสายคล้องทัดเหนือใบหูรอบศีรษะ จัดให้พอดีปูองกันการรั่วของออกซิเจน
กรณีให้ oxygen hood (oxygen box)
วางครอบเฉพาะศีรษะและไหล่ ระวังไม่ให้สายอยู่ใกล้หน้าเด็ก
ให้ออกซิเจนในปริมาณพอเพียงและไม่ให้ออกซิเจนระคายเคืองตาเด็ก
ต่อท่อออกซิเจนเข้ากับกล่อง
กรณีให้ T-piece
ต่อสาย T –piece ครอบท่อหลอดลมคอ จัดสายไม่ให้เกิดภาวะดึงรั้งกรณีผู้ป่วยที่ได้รับยาในรูปการสูดละอองยาเข้าทางเดินหายใจโดยตรง (aerosol therapy) ควรปรับอัตราการไหลของออกซิเจน 6 –8 ลิตร/นาที โดยหลักการอัตราการไหลของก๊าซสูงขึ้นทําให้ aerosol มีอนุภาคขนาดเล็ก
ควรดูดเสมหะออกก่อนเพื่อให้ออกซิเจนไหลผ่านหลอดลมคอได้สะดวก
ลงบันทึกทางการพยาบาล
ได้แก่ อาการ สัญญาณชีพปริมาณออกซิเจนที่ให้อุปกรณ์ที่ใช้และปฏิกิริยาผู้ป่วยเมื่อได้รับออกซิเจน