Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
ความดันออกซิเจนและการขนส่งสู่เนื้อเยื่อ ความเข้มข้นออกซิเจนในเลือดลดลง เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจ านวนมากขึ้นตามล าดับ เพื่อให้ออกซิเจนออกมาอยู่ในกระแสเลือดเพื่อส่งไปสู่เซลล์โดยเลือดเป็นตัวกลางการส่งผ่านออกซิเจนสู่เซลล์ส่วนเม็ดเลือดแดงเป็นถังเก็บออกซิเจนที่จะค่อยๆปล่อยออกซิเจนออกมาเรื่อยๆพบว่า ออกซิเจนในถุงลมยิ่งเยอะ ออกซิเจนในเลือดก็ยิ่งเยอะตาม
การหมุนเวียนเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เมื่อเซลล์เนื้อเยื่อขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกออก จะมีการขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กลับไปที่ปอด เพื่อทำการหายใจระบายออก กลไกการขนส่งมี 2อย่างที่เป็นหลัก
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ำ เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก(H2CO3) และแตกตัวเป็นไฮโดรเจนไออน(H+)กับไบคาร์บอเนต(HCO3)
การท างานของเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่ขนส่งก๊าซเม็ดเลือดแดงเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่ง มีหน้าที่หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน มีอายุขัยประมาณ 120 วัน ร่างกายเรามีการท าลายและการสร้างเม็ดเลือดใหม่ตลอดเวลาแต่ละเซลล์เม็ดเลือดแดง จะมีส่วนประกอบที่เป็นHemoglobin(ฮีโมโกลบิน)อยู่ถึง 97% ซึ่งตัว Hemoglobin(ฮีโมโกลบิน) นี้ท าหน้าที่ในการ“จับกับก๊าซเพื่อการขนส่ง”
ปัจจัยที่มีผลตอการไดรับออกซิเจนของบุคคล
ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาหารที่มีไขมันมาก จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ าลง
การเล่นกีฬาหรือออกก าลังกายหนัก ๆ ขณะออกก าลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติอาจท าให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เป็นสาเหตุท าให้เหนื่อยเร็ว และอ่อนล้า
ผู้สูงอายุ ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ความเสื่อมเกิดขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย เช่น ระบบการหมุนเวียนเลือดและหัวใจ ทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง ภาวะดังกล่าวท าให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง การที่ร่างกายได้รับสารพิษจากอากาศ ท าให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในขบวนการขจัดสารพิษ
การสูบบุหรี่ มีผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ระบบ เช่น กล่องเสียง หลอดเลือดในสมอง ถุงลม และปอดท าให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง ทำให้หลอดเลือดมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก และมีออกซิเจนน้อย
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูงภาวะดังกล่าวจะมีความหนาแน่นของอากาศลดลง มีผลให้ออกซิเจนมีระดับต่ำกว่าปกติ ทำให้ร่างกายได้ออกซิเจนน้อยกว่าปกติ ถ้าร่างกายปรับตัวไม่ได้กับภาวะพร่องออกซิเจน ทำให้เกิดการภาวะพร่องออกซิเจน
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ การดื่มในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกายเกิดผลเสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อตับ สมอง หรือหัวใจและหลอดเลือด
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกาย
ระบบประสาทส่วนกลาง สังเกตและประเมินพบ ความรู้สึกตัวของผู้ปุวยเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะ(เนื่องจากหลอดเลือดสมองขยายตัว)เพ้อ หมดสติ หรือชัก
ระบบผิวหนัง ระยะแรกพบว่า ผิวหนังผู้ปุวยเย็น ซีดเพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะพร่องออกซิเจน โดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะส าคัญเช่น สมอง เป็นต้น และทนต่อการขาดออกซิเจนได้ต่อมาพบอาการเขียวคล้ าโดยเห็นชัดบริเวณริมฝีปาก เล็บมือเล็บเท้าและเสียชีวิตในที่สุด
ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประเมินพบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นในระยะแรก เพื่อปรับชดเชย ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง เจ็บหน้าอก และหัวใจหยุดเต้นในระยะสุดท้าย
ระบบทางเดินอาหาร ประเมินและสังเกตพบมีอาการคลื่นไส้อาเจียนในระยะแรก
ระบบทางเดินหายใจระยะแรกของเซลล์พร่องออกซิเจนอย่างอ่อนสังเกตพบผู้ปุวยมีอาการหายใจไม่สะดวกหายใจลำบากเมื่อนอนราบ ต้องนั่งหายใจหลังจากนอนหลับไปแล้วระยะหนึ่งต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจ มีอาการกระสับกระส่าย การหายใจไม่สม่ าเสมอเวลาหายใจเข้าจะลึกกว่าเวลาหายใจออก เมื่อหายใจเข้ามีเสียงดัง
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG)เป็นการตรวจเพื่อหาประสิทธิภาพการท างานของปอด เพื่อประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการหายใจค่าเหล่านี้บอกถึงความสามารถของ Hemoglobin
PaCO2เป็นการวัดความดันของคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)ในเลือด ถ้าระดับของ CO2ในเลือดสูงเพิ่มขึ้นอัตราการหายใจจะเร็วขึ้นเพื่อให้ปอดสามารถขับ CO2ที่คั่งออก ค่าปกติอยู่ระหว่าง35-45 mmHg
PaO2เป็นตัวบ่งชี้ให้ทราบถึงปริมาณของออกซิเจน (O2)ในเลือดที่จับกับHemoglobinค่าปกติอยู่ระหว่าง80-100 mmHgการแปลผลภาวะขาดออกซิเจน
pH เป็นตัวชี้วัดภาวะความเป็นกรดด่างของร่างกาย ค่าปกติ อยู่ระหว่าง7.35-7.45ถ้าค่าต่ ากว่า 7.35แสดงว่าเกิดภาวะเป็นกรด และถ้าค่าสูงกว่า 7.45แสดงว่าเกิดภาวะเป็นด่าง
HCO3เป็นการวัดค่าความเข้มข้นไฮโดรเจนไอออน(HCO3-) ในเลือดที่ช่วยบอกการท างานของไต หรือความเป็นกรดด่างในร่างกายได้ค่าปกติอยู่ระหว่าง18-25 mEg/L
SaO2เป็นค่าเปรียบเทียบระหว่าง Hemoglobin ที่มี O2ที่อิ่มตัวกับความสามารถสูงสุดของHemoglobin ที่จะจับกับO2ได้ ค่าปกติอยู่ระหว่าง97-100%
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ใช้pulseoximeterเป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน(oxyhemoglobin)ต่อปริมาณฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือดการแปลผลต้องพิจารณาปริมาณเม็ดเลือดแดงและหรือค่าฮีโมโกลบินร่วมด้วยจึงเป็นการวัด arterial oxygen saturation (SPO2)ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดปกติอยู่ระหว่าง98-99%หากวัด SPO2ได้น้อยกว่า 90% จ าเป็นต้องได้รับการรักษา
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน
สาเหตุของhypoxiaและหรือhypoxemia พบความผิดปกติของระบบต่างๆ ผู้ปุวยที่จ าเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยออกซิเจน
โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อยเช่น ภาวะโลหิตจาง
ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติต่าง ๆ
ระบบหัวใจและหลอดเลือดเช่นโรคหัวใจชนิดต่างๆหรือภาวะช็อกจากสาเหตุต่างๆ
ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลายความผิดปกติของกล้ามเนื้อการบาดเจ็บของสมองและได้รับยาที่กดการหายใจ
ระบบทางเดินหายใจเช่น การอุดกั้นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจการมีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลงการบาดเจ็บที่ทรวงอกหรือการหายใจล้มเหลว
ผู้ปุวยที่ได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดส่วนอกและช่องท้อง
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
Chest pain อาการเจ็บหน้าอก
สาเหตุ
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบและมักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึกๆหรือเวลาไอทำ ให้ผู้ป่วยต้องหายใจตื้นๆ
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจาก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บตลอดเวลา อาจมีลักษณะในข้อ2 ร่วมด้วย ถ้าการอักเสบลุกลามถึงเยื่อหุ้มปอด
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่และเจ็บเมื่อใช้มือกดที่บริเวณนั้น
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากหัวใจเช่นภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจโคโรนารี ตีบแคบ
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากหลอดลมอักเสบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูกอาจเจ็บตลอดเวลาและเจ็บมากเมื่อเวลาไอ
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเส้นประสาทเช่นโรครากประสาทสันหลัง จะปวดร้าวไปตามแขนงของประสาทiซึ่งอยู่ตามแนวกระดูกซี่โครงและปวดตลอดเวลา พบในโรคงูสวัดเป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด ถ้าเป็นอาการเจ็บหน้าอกจากหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย(myocardial infarction) จะมีอันตรายกว่าการเจ็บหน้าอกจากระบบหายใจมาก
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ปุวย
สังเกตอาการ ถ้าผู้ปุวยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะนำให้นอนตะแคงทับด้านที่เป็น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น อาจต้องให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
Hiccup การสะอึก
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่นน้ ามะนาวเป็นต้น หรือดื่มน้ าเปล่า
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ห้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนียเป็นต้น
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพักๆ
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น เป็นต้น
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ถือแก้วน้ าแล้วหลุดออกจากมือขณะสะอึก หรือขณะรับประทานอาหารอาจสำลักได้ เป็นต้น
สาเหตุของอาการสะอึก
มีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย เช่นกินอิ่มมากเกินไปดื่มเครื่องดื่มพวกที่ท าให้เกิดแก๊ส (Carbonate)ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูบบุหรี่จัดหรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
การสะอึกต่อเนื่อง หรืออาการสะอึกที่ควบคุมรักษายาก มักเป็นอาการสะอึกที่เกิดจากพยาธิสภาพของโรคโดยโรคที่พบบ่อย เช่นโรคทางสมอง(เช่นโรคเนื้องอกสมองโรคอัมพาต
Hemoptysisอาการไอเป็นเลือด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
การอักเสบ ท าให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ กล่องเสียง หลอดลมใหญ่และในเนื้อปอด
เนื้องอก และมะเร็ง
อุบัติเหตุ
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่างๆ ท าให้เกิดการไอเป็นเลือดได้ เช่น หลอดเลือดที่เลี้ยงปอดอุดตัน วัณโรค และปอดบวม เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิตเพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรงของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมากอาจต้องให้เลือด และพยาบาลจะต้องเฝูาระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ให้ผู้ปุวยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ผู้ปุวยอาจตกใจมาก ท าให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation) พยาบาลต้องคอยปลอบโยน ให้ก าลังใจ และให้การดูแลจนผู้ปุวยควบคุมตนเองได้เพื่อช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและลดความตกใจ
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดปนออกมาคือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคมะเร็งของหลอดลมหรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือมะเร็งหลอดลม
ไอจนมีเลือดสดออกมาพบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่าๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
Dyspneaอาการหายใจลำบาก
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม ทุก 1-2 ชั่วโมง
ตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ส าหรับช่วยเหลือผู้ปุวยฉุกเฉิน เช่นการใส่ท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube: ET)เป็นต้น
ดูแลให้ผู้ปุวยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย (nebulizer)เพื่อให้หายใจสะดวก
ฝึกให้ผู้ปุวยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดอาการหายใจล าบากโดยหายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม (หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องแฟบ) หายใจออกทางปาก โดยห่อริมฝีปาก
สาเหตุของการหายใจลำบาก
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจเช่นการท างานของหัวใจไม่ดีเนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจ
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ท าให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทำลายเป็นต้น
อาการไอ
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะเช่น ไอเนื่องจากมีฝุุนละอองมากเป็นต้น
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนองมักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ เช่นโรคปอดบวม และวัณโรคปอด เป็นต้น และเสมหะที่ไม่เป็นหนอง เช่นโรคหอบหืดเป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่และระยะเวลาของการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจ านวน ลักษณะ สีและกลิ่นของเสมหะด้วย
ประเมินประสิทธิภาพการไอลักษณะไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะโดยการฟังเสียงไอ
ดูแลความสะอาดของปากฟันและสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
กระตุ้นให้ดื่มน้ าอุ่นบ่อยๆ และปริมาณมากเพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่ายจากการเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ โดยการให้ผู้ปุวยนั่งหรือนอนยกศีรษะสูงและหายใจเข้าลึกๆเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง กลั้นหายใจสักครู่ แล้วไอออกมาอย่างแรงโดยเฉพาะผู้ปุวยหลังผ่าตัดที่มักกลัวเจ็บต้องอธิบายให้ทราบถึงความจ าเป็น
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
สาเหตุของการไอ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจมีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากไข้หวัด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง และถ้าไอมากกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากหลอดลมอักเสบ จมูกและไซนัสอักเสบเรื้อรัง หอบหืด
ความร้อน -เย็นของอากาศจะทำให้การไอมากขึ้น
ฝุุน ควัน สารเคมี อาหารหรือน้ าที่สำลักเข้าไป
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง(severe trauma)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน(acute myocardial infarction: MI)
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ปุวยหลังโดนไฟไหม้เป็นต้น
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO2< 60 mmHg หรือ SaO2< 90% เมื่อหายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการท าผ่าตัด เช่น หลังการดมยาสลบ หรือการท าผ่าตัดใหญ่เป็นต้น
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
ขณะท าผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจ ากัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ าที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟด้วยคุณสมบัติเคมีของออกซิเจนเอง
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบnebulizerสามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้เนื่องจากการสูดดมโดยตรง
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ปุวยที่ได้รับพิษจาก paraquat เช่น ยาฆ่าหญ้า เป็นต้นหรือผู้ปุวยที่ได้รับยาเคมีบำบัดอาจท าให้เสริมฤทธิ์ของสารพิษที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายเร็วขึ้น
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ ออกซิเจนเป็นพิษ หรือกดการท างานของciliaที่ก าลังพัดโบกก าจัดสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาวเพื่อให้ความเข้มข้นของออกซิเจนขณะหายใจเข้า (FiO2) ≥0.5
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะท าให้ขบวนการติดไฟเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง เมื่อค่าPaO2≥ 60 มม.ปรอท โดยที่ค่า PaCO2สูงกว่าภาวะปกติ หมายถึง ค่าความดันบางส่วนของก๊าซออกซิเจนในหลอดเลือดแดง
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ปุวยโรคถุงลมโปุงฟอง
เป็นการช่วยการท างานของระบบทางเดินหายใจหัวใจและระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนท าให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ โดยวิธีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ
ดูดเสมหะที่ค้างตามท่าทางเดินหายใจเป็นระยะๆ เพื่อปูองกันการอุดตัน
สอนการไออย่างถูกวิธี เพื่อให้ระบายเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดท่านอน ท่านั่ง ให้ผู้ปุวยรู้สึกสบาย และปอดขยายได้เต็มที่โดยให้อยู่ในท่าศีรษะสูง
กระตุ้นให้ได้รับน้ าอย่างเพียงพอ เพื่อให้น้ าช่วยละลายเสมหะให้ขับออกได้ง่าย
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก2-3 ชั่วโมง
ทำความสะอาดช่องจมูก
ดูแลความสะอาดบริเวณหน้า โดยเฉพาะในผู้ปุวยที่ได้รับ Oxygen mask จะมีเหงื่อออกมาก ควรเช็ด mask และทาแปูงให้บ่อยๆ หรือทุก2-3 ชั่วโมง เพื่อให้สบายขึ้น
ทาริมฝีปากด้วย กลีเซอรีน บอแรกซ์
ถ้าเจ็บคอ ให้ล้างปากด้วยน้ ายา หรือบ้วนด้วยน้ าสะอาดบ่อยๆ
ให้จิบน้ าบ่อยๆ
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ออกซิเจนไม่รั่วจากขวดท าน้ำกลั่นที่ท าความชื้น
ถ้าเป็นออกซิเจนถัง จะต้องให้มีออกซิเจนอยู่เสมอ โดยดูจากที่หน้าปัดบอกระดับของออกซิเจน ถ้าเหลือ 1/3 ของถัง ควรเตรียมถังใหม่เพื่อเปลี่ยนได้ทันทีและต้องตั้งถังอย่าล้มถังในขณะให้
ขวดท าความชื้นมีน้ าอยู่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
เปลี่ยนและน าอุปกรณ์การใช้ออกซิเจน ไปท าความสะอาดและท าให้ปลอดเชื้อ ถ้าเป็นอุปกรณ์ชนิดพลาสติก อาจขุ่นมีน้ าขัง หรือหยดน้ำเกาะอยู่ ให้เทน้ำออกแล้วสลัดให้แห้ง
ตรวจดูสายยาง ให้อยู่ในต าแหน่งที่ถูกต้อง ไม่เลื่อนหลุดจากที่รอยต่อต่างๆ ต้องคงที่ไม่บิดงอ ไม่อุดตัน
ถ้าให้ออกซิเจนจากระบบ pipeline ที่มีรูเปิด (outlet) ส าหรับเสียบ flow meter จะต้องดูให้ flow meterเสียบเข้าที่
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
ดูแลควบคุมอัตราการไหของออกซิเจนให้เพียงพอ ไม่ให้ผู้ปุวยอึดอัด
สนใจ รับฟังความต้องการของผู้ปุวยอย่างจิงจัง
แนะนำ อธิบายให้ผู้ปุวยรู้จักเครื่องมือต่างๆได้ง่าย
ให้เวลาผู้ปุวยในการพูดคุย สัมผัสผู้ปุวยบ้างและรีบไปดูแลทันทีเมื่อผู้ปุวยขอความช่วยเหลือ
พยาบาลควรมีความช านาญในการใช้เครื่องมือ
บอกประโยชน์ของการได้รับออกซิเจน
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
ระดับความรู้สึกตัว
วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง(Tridal Volume) ในกรณีที่ผู้ปุวยอาการหนักและมีเครื่องมือวัดโดยเฉพาะ
ความผิดปกติของสีผิว ดูลักษณะบริเวณริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้า ผิวหนังว่ามีอาการเขียวหรือไม่ ในรายที่ให้ออกซิเจนทางกระโจมสังเกตอาการหนาวสั่นด้วย
ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซิเจน(Blood gas)
ตรวจวัดสัญญาณชีพ ดูลักษณะ และอัตราเร็วของการหายใจ ความดันโลหิตและชีพจร
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก ระยะต่อมาจะเปลี่ยนเป็นหายใจสั้นและตื้น
ความดันโลหิตลดลง (blood pressure will decrease)
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้นขั้นรุนแรง และพบ bradycardia
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ (cardiac dysthymias)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
มีภาวะซีด (pallor)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น(increased fatigue)
มีอาการเขียวคล้ า (cyanosis)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง(decreased level of consciousness)
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุูม (clubbing)
ระดับการมีสมาธิลดลง(decreased ability to concentrate)
อาการหายใจล าบาก (dyspnea)
วิตกกังวล (anxiety) กระสับกระส่าย(restlessness)
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่างๆ
อุปกรณ์และวิธีการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
ระบบการให้ออกซิเจน
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system) ผู้ปุวยจะได้รับออกซิเจนทั้งหมดจากอุปกรณ์โดยไม่ต้องดึงอากาศไปผสมความเข้มข้นของออกซิเจนก าหนดได้จากอุปกรณ์
การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนที่ครอบตัวผู้ปุวยลักษณะคล้ายเต็นท์ ประกอบด้วยมุ้งพลาสติก มีซิบเปิด-ปิด ครอบบนโครงโลหะ ด้านหลังกล่องใส่น้ำแข็ง ทำให้อากาศในมุ้งมีความชื้นสูง
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ (Low flow system) ผู้ปุวยจะได้รับออกซิเจนเพียงบางส่วนและได้จากการหายใจเอาออกซิเจนในบรรยากาศไปผสม
การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen boxเป็นอุปกรณ์ใช้ครอบศีรษะและไหล่ผู้ปุวยเด็ก ลักษณะเป็นกระโจมหรือกล่องพลาสติกให้ออกซิเจนมีท่อนำออกซิเจนเข้าภายใน
ารให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ(endotracheal tube: ET) เป็นท่อช่วยหายใจซึ่งแพทย์จะใส่ท่อนี้เข้าไปในหลอดลมของผู้ปุวย แล้วต่อเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ (respirator) ใช้ในผู้ปุวยที่ไม่สามารถหายใจได้ด้วยตนเอง
ระบบให้ความชื้น (Humidification)
ชนิดละอองโต (Bubble)ให้ความชื้นในส่วนต้นของทางเดินหายใจ 30–40%สายให้ก๊าซมีขนาดเล็กน้ าจะปุดเป็นฟองเมื่อเปิดให้กับผู้ปุวย
ชนิดละอองฝอย (Jet)ให้ความชื้นในทางเดินหายใจที่อยู่ลึกเหมาะกับผู้ปุวยที่มีเสมหะเหนียว มักเห็นเป็นหมอก สายให้ออกซิเจนมักมีขนาดใหญ่และเป็นลูกฟูก
แหล่งให้ออกซิเจน (Oxygen source)
ระบบท่อ(Oxygen pipeline)
ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank)
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด ออกซิเจนจะก่อพิษในปอดได้หากได้รับในระยะเวลานาน คือ 24 –48 ชั่วโมง และความเข้มข้นของก๊าซ มากกว่าร้อยละ60อาการเป็นพิษนี้พบได้ตั้งแต่อาการระคายเคืองของหลอดลม เกิดการอักเสบ และมีอาการไอตลอดเวลาซึ่งอาจท าให้เกิดอาการหายใจล าบากได้
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา (retrolental fibroplasias) คือ การได้รับออกซิเจนความเข้มข้นสูงเป็นระยะเวลานานๆ จะเกิดกับหลอดเลือดหลังเลนส์เปลี่ยนแปลง มีผลทำให้ปิดกั้นล าแสงที่พุ่งตรงไปจอตา จึงเกิดความผิดปกติในการเห็น อาการพิษชนิดนี้มักพบได้ในทารกคลอดก่อนกำหนด
อาจท าให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากออกซิเจนเป็นก๊าซแห้ง เมื่อผ่านเข้าในระบบทางเดินหายใจจะท าให้เยื่อบุแห้ง เกิดความบกพร่องในหน้าที่ของเซลล์ขนกวัด (cilia) ทำให้มีน้ำคัดหลั่งหนา และเกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ การปูองกันทำได้โดยต้องให้ออกซิเจนผ่านน้ าเสมอก่อนเข้าสู่ผู้ปุวย
อาจเกิดการหยุดหายใจ ในผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ศูนย์การหายใจจะไม่เป็นตัวควบคุมการหายใจ แต่ใช้ chemoreceptor reflex เป็นตัวควบคุมแทน โดยใช้ภาวะการขาดออกซิเจน เป็นตัวเร่งให้เกิดการหายใจ
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนการให้ออกซิเจนอุปกรณ์ที่ใช้มีโอกาสก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ เช่น น้ำกลั่นในขวด humidifier สายที่นำออกซิเจนมาสู่ผู้ปุวยเป็นต้นอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน เช่นmask,cannula,tent,tracheostomy tube เป็นต้น
อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิดเพราะการสันดาป (combustion) เป็นขบวนการที่เชื้อเพลิงท าปฏิกิริยากับออกซิเจนจนเกิดเป็น oxide มีความร้อนและพลังงาน เกิดขึ้น เช่น การเผาไหม้และการระเบิด explosionคือขบวนการสันดาปที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การดูดเสมหะ
วิธีการดูดเสมหะ
เครื่องดูดเสมหะชนิดเคลื่อนที่
ชนิดติดฝาผนัง
วิธีการดูดเสมหะ
การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ หรือทางท่อหลอดคอ
การดูดเสมหะทางจมูก หรือปาก
การบริหารการหายใจ
การหายใจโดยการห่อปาก (pursed -lip breathing)การหายใจวิธีนี้จะช่วยลดการคั่งของอากาศในถุงลม โดยการรักษาความดันบวกในการหายใจ ท าให้หลอดลมขยายตัวนานกว่าปกติ ช่วยให้อากาศออกจากถุงลมปอดได้มากขึ้น
การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing) การหายใจเข้าลึกๆ ช่วยขยายหลอดลมกระตุ้นการสร้างสารเคลือบภายในปอด และช่วยขยายพื้นที่การแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ปอด
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม (diaphragmatic breathing)สามารถท าได้ในผู้ปุวยที่มีความผิดปกติของการหายใจเรื้อรังและเฉียบพลัน
การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ปุวยที่อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนในเซลล์ต่e (hypoxia) ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง (high fowler’s position) ในท่านี้จะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น โดยกระบังลมจะหย่อนลง ทำให้ปอดขยายตัวเต็มที่และมีปริมาณอากาศเพิ่มมากขึ้น
การดูดเสมหะทางปาก
สังเกตลักษณะสีผิว เล็บ และริมฝีปาก มีอาการ cyanosis
สังเกตอาการซึมลงของผู้ปุวย
สังเกตอาการเหนื่อย หายใจล าบาก ได้ยินเสียงดังขณะหายใจเข้าและออก
ประเมินอาการไอมีประสิทธิภาพที่จะขับเสมหะออกได้ลดลง
ฟังเสียงปอดได้ยินเสียงเสมหะ
สังเกตลักษณะเสมหะ เหนียว และมีจำนวนมาก
สังเกตแบบแผนและลักษณะการหายใจค่อนข้างแรงมาก อัตราการหายใจเร็ว
สังเกตอาการอาเจียนหรือขย้อนอาหารอยู่ในปาก
อาการแทรกซ้อน
เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ ในขณะดูดเสมหะต้องทำการดูดเสมหะอย่างเบามือและนุ่มนวล
อาจเกิดการส าลักจากการกระตุ้น gag reflex หรือจัดท่าผู้ปุวยไม่ถูกต้อง
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น โพรงจมูกอักเสบ (sinusitis) ภาวะหูอักเสบ (otitis) ต้องท าความสะอาดช่องปากทุกครั้งหลังดูดเสมหะ และเปลี่ยน airway ทุกวัน
ริมฝีปากแห้งเกิดเป็นแผลได้ง่าย ให้ทาครีมทุกครั้งหลังทำความสะอาดปาก
แรงกดหรือการระคายเคืองบริเวณรูจมูกและริมฝีปากอาจท าให้เกิดแผลหรือเกิดแผลจากการดูดเสมหะหลาย ๆ ครั้ง ดังนั้นจึงควรหล่อลื่นสายดูดเสมหะทุกครั้ง และเลือกขนาดของสายให้เหมาะสมกับผู้ปุวย
อาจเกิดความผิดปกติในผู้ปุวยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และเกิดภาวะความดันในสมองสูง
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ขณะ/และหลังการดูดเสมหะ
อธิบายให้ผู้ปุวยเข้าใจว่าจะมีการหายใจล าบากในขณะดูด แต่จะดีขึ้นภายหลังเอา สายออกและดูดเสมหะออกแล้วทางเดินหายใจโล่งจะรู้สึกสบายขึ้น
ท าการดูดเสมหะด้วยความเบามือ และนุ่มนวล
บอกให้ผู้ปุวยทราบก่อนว่า “จะทำการดูดเสมหะอย่างเบามือที่สุด ถ้าเจ็บหรือทนไม่ไหวให้ยกมือขึ้น” เพื่อให้ผู้ปุวยผ่อนคลาย และให้ความร่วมมือ
หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดท าความสะอาด เก็บของใช้ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
อธิบายให้ผู้ปุวยเข้าในถึงวัตถุประสงค์และความจ าเป็นของการดูดเสมหะ
พูดให้ก าลังใจก่อนเดินออกจากเตียงผู้ปุวย
แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน บ่งบอกถึงความเป็นมิตร และช่วยลดภาวะตื่นกลัว
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
วางแผนให้การผู้ปุวยได้รับออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 2 lit/min ตามแผนการรักษาและมีความปลอดภัยขณะได้รับการออกซิเจนและจัดเตรียมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนชนิด cannula
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
จัดสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย ติดปูายห้ามสูบบุหรี่ หรือห้ามน าวัตถุไวไฟเข้าใกล้บริเวณเตียงผู้ปุวยและดูแลให้น้ ากลั่นในhumidifier ในระดับปกติ
จัดท่านอนศีรษะสูงเพื่อท าให้กระบังคมเคลื่อนต่ าลง ปอดขยายตัวได้เต็มที่เพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซมากขึ้น
ปรับออกซิเจนให้ได้ 2 lit/min แล้วจัดให้สายcannula อยู่ในต าแหน่งที่เหมาะสมคล้องสายกับหูทั้งสองข้างให้พอดี
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพการไออย่างมีประสิทธิภาพจะท าให้ลดการคั่งค้างของเสมหะที่ปอดท าให้ปอดขยายตัวได้เพิ่มขึ้น
ประเมินสภาพผู้ปุวยก่อนได้รับออกซิเจน ประเมินภาวะพร่องออกซิเจน ประเมินอัตราการหายใจ ชีพจร สีของเล็บ ปลายมือปลายเท้า เยื่อบุผิวหนัง ลักษณะการซีด และเขียว
วัดvital signsทุก 4 ชมเพื่อการประเมินสัญญาณชีพจะช่วยให้ทราบความรุนแรงของภาวะพร่องออกซิเจน
ประเมิน O2saturation ทุก 2 ชม.เพื่อเป็นการวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ติดตามผลเลือดHb,Hct และ Chest X-Ray เพื่อทราบค่าแสดงถึงความเข้มข้นของเลือในร่างกายและ Chest X-ray เป็นการประเมินความก้าวหน้าของการรักษาเพื่อติดตามผลการรักษา อาการ infiltration ในปอดลดลง คงที่ หรือเพิ่มขึ้น
ดูแลส่งเสริมการพักผ่อนและการนอนหลับผู้ปุวยให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพราะการพักผ่อนบนเตียงจะช่วยลดการใช้ออกซิเจนในการท ากิจกรรม ท าให้อาการเหนื่อยอ่อนเพลียลดลง
ให้การพยาบาลด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เพื่อลดความวิตกกังวลและความกลัว
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
ข้อมูลสนับสนุนผู้ปุวยมีเสมหะสีเหลืองข้น
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
ประเมินผลคุณภาพการบริการ
ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)
S : “ผู้ปุวยบอกว่าหายใจไม่สะดวก”
O : หญิงไทยสูงอายุ ปุวยเป็นโรคชราและความจ าเสื่อมนอนติดเตียงอ่อนเพลียซีดเล็กน้อยรูปร่างผอมบาง ช่วยเหลือตนเองได้น้อยon O2 cannula2 lit/min
การตรวจร่างกาย: พบfine Crepitation at Right lower lobe
ผล Chest X-ray ปอดพบ: infiltration Right upper lobe