Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกายการเปลี่ยนแก๊สเกิดขึ้นได้อย่างไร
การแลกเปลี่ยนก๊าซ
1.การทำงานของเม้ดเลือกแดง มีหน้าที่ขนส่งก๊าซ
เม็ดเลือดแดง
เป็นเซลล์เม็ดเลือดที่มีหน้าที่หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน มีส่วนประกอบเป็น Hemoglobin 97 เปอร์เซ็น ซึ่งมีหน้าที่จับกับก๊าซเพื่อการขนส่ง สามารถจับแก๊สได้ 4 โมเลกุล ในเซลล์เม้ดเลือดแดงมี Hemoglobin มากถึง 50 ล้านหน่วย
2.ความดันออกซิเจน ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ เลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนในเลือดสูง เพราะมีการปล่อยออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ แต่ถ้าเดินทางไปอวัยวะที่ไกลขึ้น จะมีการปล่อยออกซิเจนออกมามากขึ้น เพื่อมีพอที่จะปล่อยไปสู่เซลล์ เลือดเป้นตัวกลางการส่งผ่านออกซิเจนสู้เซลล์ และเม็ดเลือดแดงเป็นถังเก็บออกซิเจน
3.การหมุนเวียนเพื่อกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเนื้อเยื่อปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจะถูกนำไปยังปอดเพื่อทำการหายใจออก กลไกลการขนส่งมี 2 หลัก คือ
1.การขนส่งโดย hemoglobin ในเม็ดเลือกแดง
ไปรวมตัวกับน้ำ เพื่อเกิด กรดคาร์บอนิก และแตกตัวเป็นไฮดดรเจนไอออน กับคาร์บอเนต
สาเหตุการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
อาการผิดปกติที่พบบ่อย
อาการไอ (Cough) เป็นหารตอลสองต่อสิ่งผิดปกติในทางเดินหายใจและป้องกันในการกำจัดเชื้อโรค เสมหะ ปาการไอเริ่มจากมีสิ่งกระตุ้นตัวรับสัญญาณการไอ หรือมีการรัคายเคืองทางเดินหายใจส่วนบนและกลาง
สาเหตุ
ฝุ่น ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน-เย็นของอากาศ จะทำให้ไอมากขึ้น
1.การอักเสบหรือบวมในทางเดินหายใจ
ลักษณะของการไอ
ไอแห้งไม่มีเสมหะ เช่น ไแเนื่องจากฝุ่นละอองมาก
ไอมีเสมหะ เกิดจากการติดเชื้อในทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดบวม วัณโรคปอด เสมหะที่ไม่เป็นหนอง เช่น โรคหอบหืด
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจำนวน ลักษณะ สี และกลิ่นของเสมหะด้วย
4.ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่ และระยะเวลาของการไอ
กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ และมากๆ เพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
1.ประเมินประสิทธิภาพการไอ ลักาณะการไอแห้ง หรือไอมีเสมหะ
กระตุ้นให้เปลี่ยนท่าบ่อยๆเพื่อให้เสมหพที่ค้างในปอดออกมาง่ายๆ จากการเปลี่ยนท่า
สอนการไออย่ามีประสิทธิภาพ นอนหรือยกสีรษะขึ้นสูงและหายใจเข้าลึกๆ เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง กลั้นหายใจสักครู่แล้วไอออกมาอย่างแรง
2. Hemoptysis อาการไอเป็นเลือด
คือมีเลือดออกจากทางเดินหายใจตั้งแต่กล่องเสียงลงไป ปริมาณมากกว่า 2 มิลลิลิตรขึ้นไป การไอเป็รเลือดถือว่ารุนแรง
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดปนออกมา คือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน พบเป้นโรคมะเร็งหลอดลม หรือวัรดรคปอด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย ปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือมะเร้งหลอดลม
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเสมหะสีคล้าสนิม จากมีเลือดเก่าๆ ปนออกมาด้วย พบในดรควัณโรคปอด
สาเหตุการไอเป็นเลือด
การอักเสบ ทำให้ไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ กล่องเสียง หลอดลมใหญ่ และในเนื้อปอด
เนื้องอกและมะเร็ง
อุบัติเหตุ
ความผิดปกติของของหลอดเลือดและโรคปอดต่างๆ ทำให้ไอเป้นเลือด
การพยาบาลผู้ป่วยที่ไอเป็นเลือด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรงของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมากอาจให้เลือด และพยาบาลต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้น
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้หายฝจเร็วขึ้น พยาบาลต้องคอยปลอบโยน ให้กำลังใจ และให้การดูแล ช่วยเหลือให้เกิดความเชื่อมั่นและลดความตกใจ
3. Hiccup
การสะอึก เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างช่องท้องและปอด เกิดในช่วงสั้นๆและหายไปเอง
สาเหตุของอาการสะอึก
กินอิ่มมากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดแก๊ส สูบบุหรี่จัด
2.ดื่มเครื่องดื่มเย็ยจัด หรือ กินอาหารร้อนจัดเมื่อท้องว่าง กินอาหารรสจัด
3.เกิดจากการได้รับยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง มีก้อนในบริเวณลำคอ เช่น คอพอก อาจสัมพันธ์กับปัญหาทางจิตใจ หรือ อารมณ์
4.เกิดจากพยาธิสภาพขิงโรค เช่น โรคทางสมอง โรคกรดไหลย้อน โรคไต โรคตับวาย หลังใช้ยาสลบ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซดื
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพักๆ
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่น น้ำมะนาว หรือดื่มน้ำเปล่า
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุนเรื่องที่สนุกตื่นเต้น
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
ดูแลความปอลดภัยจากสิ่งแวดล้อม
4.Dyspnea
อาการหายใจลำบาก ผุ้ป่วยต้องใช้แรงในการหายใจ เช่นหายใจเร็วจากการแแกกำลังกาย
สาเหตุของการหายใจลำบาก
หัวใจ เช่น การทำงานของหัวใจไม่ดี เนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจตายหรือลิ้นหัวใจรั่ว
ประสาท เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ
จากทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถุกทำลาย
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
3.เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับช่วยฉุกเฉิน
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลประคับประครองด้านจิตใจ
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย เพื่อให้หายใจได้สะดวก
ให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ฝ฿กให้ผุ้ป่วยหายใจและไออย่างมีประสิทธิภาพ
5. Chest pain
อาการเจ็บหน้าอก
มีลักษณะดังนี้
3.อาการเจ็บหน้าอกจากเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมับเจ้บตรงหัวใจ เจ็บตลอดเวลา
อาการเจ็บหน้าอก จากหัวใจ เช่น ภาวะหลอดเลือดแดงโคโรนารีตีบแคบ มักมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกตรงกระดูก
อาการเจ็บหน้าอกจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงที่อีกเสบและเจ็บมากเมื่อหายใจเข้าลึกๆ
เจ็บหน้าอกจากหลอดลมอักเสบ แน่นหน้าอกตรงหลังกระดูกอาจเจ็บตลอดเวลา
อาการเจ็บหน้าอก จากกล้าเนื้ออักเสบ มักเจ็บเฉพาะที่และเจ็บเมื่อกด
อาการเจ็บหน้าอกจากเส้นประสาท
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือปอด
3.จัดเตรียมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาการให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
1.สังเกตอาการ ถ้าเจ็บที่เยื่อหุ้มปอดให้นอนตะแคงทับด้านที่เป็นและให้ยาแก้ปวด
ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับออกซิเจนของบุคคล
4.ความเครียด ทำให้นอนไม่หลับ หายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากยิ่งขึ้น
อาหารที่มีไขมันมาก การรับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
3.การเล่นกีฬาหรืออกกำลักายหนัก ร่างกายจึงต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติ อาจทำให้ได้รับไม่เพียงพอและไม่ทั่วถึง ทำให้เหนื่อยเร็วและอ่อนล้า
ผู้สูงอายุ เกิดความเสื่อมขึ้น เช่นเดียวกับทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนลดลง
2.อยุ่ในที่มีมลพิษสูง ทำให้อากาศมีออกซิเจนลดลง การที่ร่างกายได้รับสารพิษจากอากาศ ทำให้ร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้น เพื่อใช้ในกระบวนการขจัดสารพิษ
7.การสูบบุหรี่ ทำให้หลอดเลือดมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก และมีออกซิเจนน้อย
1.การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง ความหนาแน่นของอากาศลดลง ออกซิเจนมีระดับต่ำกว่าปกติ ร่างกายจึงได้รับน้อยกว่าปกติ ถ้าร่างกายปรับตัวไม่ได้จะเกิดภสวะพร่องออกซิเจน
การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ปริมาณออกซิเจนในร่างกายลดลง 30 mgเปอร์เซ็น ส่งผลให้สมองได้รับออกซิเจนน้อย
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจนมีอยู่ 2 วิธี
1.การประเมินสภาพร่างกาย
1.3 ระบบประสาทส่วนกลาง
1.4 ระบบผิวหนัง
1.2 ระบบหัวใจและหลอดเลือด
1.5 ระบบทางเดินอาหาร
1.1 ระบบทางเดินหายใจ
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2.2 ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ปกติคือ 98-99 เปอร์เซ็น
2.3 การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน ถ้าโรคที่เกิดความผิดปกติต้องได้รักษาด้วยออกซิเจนมีโรค ดังนี้
ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรตหัวใจชนิดต่างๆ
3.โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อย เช่น ภาวะโลหิตจาง
1.ระบบทางเดินหายใจ เช่นการอุดกั้น การบาดเจ็บที่ทรวงอก
4.ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติ
5.ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย เช่น ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ การบาดเจ็บของสมอง
6.ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดส่วนนอกและช่องท้อง
2.1ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง ตรวจเพื่อประเมินประสิทธิภาพของปอด
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา (Oxygen therapy)
อาการและการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
7.อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น
8.ในช่วงแรกการหายใจเร็วลึกและอาจเป็นเป็นสั้นตื้น
6.แสงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง
9.ความดันโลหิตลดลง
5.มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน
10.หัวใจเต้นไม่เป้นจังหวะ
4.ความอ่อนเพลียเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น
11.มีภาวะซีด
3.ระดับความรู้สึกลดลง
12.มีอาการเขียวคล้ำ
2.ระดับการมีสมาธิลดลง
13.กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรังพบนิ้วปุ้ม
1.วิตกกังวล กระสับกระสส่าย
14.อาการหายใจลำบาก
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
ลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง
3.ช่วยในการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และระบบไหลเวียนโลหิต
1.เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ โดยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในปอดและกระแสเลือด
ข้อบ่งชี้ของการให้ออกซิเจน
3..เกิดภาวะบาดเจ็บรุนแรง
4.ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน
2.เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia
5.การให้ออกซิเจนเป็นเวลาสั้นๆในการทำผ่าตัด
1.มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
3.ควรระวังในการให้ออกซิเจนผู้ป่วยที่ได้รับพิษจาก paraquat
4.ขณที่ทำการผ่าตัดด้วยเลเซอร์
2.อาจเกิดภาวะปอดแฟบ
5.ควรระวังในการให้ความชุ่มชื้นร่วมกับออกซิเจน
1.อาจเกิดภาวะกดการหายใจของผู้ป่วยเอง
6.การมีออกซิเจนมากในที่เกิดไฟไหม้จะทำห้การติดไฟเพิ่มมากขึ้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
3.ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ
4.ดูแลความสะอาดของจมูกแลพปากบ่อยๆ
2.หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
5.ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
1.หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับการวัดชีพจร ความผิดปกติของสีผิว ระดับความรู้สึกตัว ปริมาตรการหายใจเข้าออก
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่างๆ
ระบบการให้ออกซิเจน
1.ระบบการไหลเวียนของออกซิเจนต่ำ
1.การให้ออกวิเจนชนิดเขี้ยว
2.การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก
2.ระบบไหลเวียนของออกซิเจนชนิดสุง
2.การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม
3.การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent
1.การให้ออกซิเจนชนิด T-piece
การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box
5.การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ
ระบบให้ความชื้น
1.ชนิดละอองโต
2.ชนิดละอองฝอย
แหล่งให้ออกซิเจน
1.ถังบรรจุออกซิเจน
2.ระบบท่อ
บทบาทพยบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
1.การจัดท่าผู้ป่วย
2.การบริหารการหายใจ
2.2การหายใจโดยการห่อปาก
2.3การหายใจเข้าลึกๆ
2.1การหายใจดดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม
3.การดูดเสมหะ
3.2เพิ่มความสามารถในการขยายทรวงอกและปอด
3.3 เพิ่มปริมาณออกซิเจนที่เข้าปอด
3.1ช่วยให้หายใจโล่ง
3.4ลดความต้องการปริมาณออกซิเจนในร่างกาย
3.5 การผ่อนคลายความวิตกกังวล
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
ข้อควรปฏิบีติดังนี้
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา
2.อาจทำให้เยื่อบุหายใจแห้งและเกิดการละคายเคืองด้วย
อาจเกิดการหยุดหายใจ
1.อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน
อาจเกิดอุบัติเหตุจากการไฟไหม้หรือการระเบิด
หลักปฏิบัติในการให้ออกซิเจนชนิดต่างๆ
ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อ
5.ปรับระดับลุกลอยใน flow meter ให้ได้ปริมาณออกซิเจนตามที่ต้องการสวมท่อสายยางของอุปกรณ์ให้ออกซิเจน กับท่อ flow meter
ใส่ flow meter กับแหล่งที่มาของออกซิเจนที่มาจากชนิดผนังจากถังใช้ให้ถูกต้องและแน่นพอดี
หมุนปุ่มเปิดปิด flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนทิ้งไว้ 1-2 นาที
ประเมินสัญยาณชีพและระดับความรู้สึกตัว เพื่อประเมินอาการผู้ป่วย
7.ให้ nasal cannula
1.ล้างมือให้สะอาด สวมแมสเพื่อป้องกันการนำเชื้อเข้าสู่ผู้ป่วย
ให้ simple mask
ให้ oxygen hood
10.ให้ T-piece
11.ลงบันทึกการพยาบาล
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
3.วางแผนการพยาบาล
เกรณฑ์การประเมิน
การวางแผน
วัตถุประสงค์
4.การปฏิบัติการพยาบาล
2.การวินิจฉัยทางการพยาบาล ข้อมูลทีสนับสนุน
5.การประเมินผลการพยาบาล
ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
ประเมินผลคุณภาพการพยาบาล
ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
1.การประเมินภาวะสุขภาพ