Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 9 การพยาบาลมารดาและทารกที่มีภาวะติดเชื้อขณะตั้งครรภ์…
บทที่ 9
การพยาบาลมารดาและทารกที่มีภาวะติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ (การติดเชื้ออื่น ๆ)
การติดเชื้อไวรัสรับอักเสบชนิดเอ (hepatitis A virus: HAV)
ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อน
เชื้อโรคตับอักเสบเอเข้าไป
อาการและอาการแสดง
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และปวดศีรษะ
มักไม่มีอาการของดีซ่าน
เมื่อตรวจพบน้ำดีในปัสสาวะแสดงว่าตับมีการทำงานผิดปกติ ทำให้มีอาการตับเหลืองตาเหลือง ตรวจพบ alkaline phosphatase เพิ่มขึ้น
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
การตั้งครรภ์ไม่มีผลทำให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้น หากมีการติดเชื้อ HAV ขณะตั้งครรภ์นั้น ร่างกายมารดาจะสร้าง antibody ต่อเชื้อ HAV ซึ่งสามารถผ่านไปยังทารกในครรภ์ได
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติ เกี่ยวกับการรับประทานอาหาร การขับถ่าย การสัมผัสเชื้อโรค
2.การตรวจร่างกาย พบลักษณะอาการของการติดเชื้อ HAV เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหารคลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด อาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจหา antibody-HAV และ IgM-anti HAV และตรวจการทำงานของตับ
การป้องกันและการรักษา
ยังไม่มีวิธีการรักษาการติดเชื้อ HAV ให้หายได้ ส่วนใหญ่เป็นรักษาแบบ
ประคับประคองตามอาการ
การพยาบาล
แนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัว ดังนี้
พักผ่อนอย่างเพียงพอ
รับประทานอาหารที่สุก สะอาด และย่อยง่าย และดื่มน้ำให้เพียงพอ
มาตรวจตามนัดเพื่อประเมินสภาวะของสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อตับ ได้แก่ acetaminophen และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับโรค การรักษา การดูแลตนเองที่เหมาะสม
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี(Hepatitis B virus)
เกิดจากการติดเชื้อ Hepatitis B virus ผ่านทาง
เลือด น้ำลาย อสุจิ สิ่งคัดหลั่งทางช่องคลอด น้ำนม และผ่านทางรก
พยาธิสรีรภาพ
ระยะแรก เมื่อได้รับเชื้อ Hepatitis B virus เข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว จะยังไม่มีอาการแสดงหากตรวจเลือดจะ
พบ HBeAg ให้ผลบวก พบ Hepatitis B virus DNA (viral load) จำนวนมาก
ระยะที่สอง ประมาณ 2-3 เดือนหลังจากได้รับเชื้ออจะมี
อาการอ่อนเพลียคล้ายเป็นหวัด คลื่นไส้อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงจากตับโต ปัสสาวะเข้ม ตัวเหลืองตาเหลือง ตับเริ่มมีการอักเสบ จะพบ anti-HBe ให้ผลบวกและจำนวน Hepatitis B virus DNA ลดลง
ระยะที่สาม เป็นระยะที่ anti-HBe ทำลาย HBeAg จนเหลือน้อยกว่า 105 copies/mL (20,000 IU/mL)เข้าสู่ระยะโรคสงบ (inactive carrier) ตรวจเลือดจะพบ HBeAg ให้ผลลบ anti-HBe ให้ผลบวก และค่าเอนไซม์ ตับปกติ
ระยะที่สี่ เป็นระยะที่เชื้อกลับมามีการแบ่งตัวขึ้นมาใหม่ (re-activation phase) ทำให้เกิดการอักเสบของตับขึ้นมาอีก จะพบ HBeAg ให้ผลลบ และ anti-HBe ให้ผลบวก
อาการและอาการแสดง
ไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้อง อาจปวดทั่วไปหรือปวดบริเวณชายโครงขวา คลำพบตับโต กดเจ็บ ปัสสาวะมีสีเข้มขึ้นเป็นสีชาเริ่มมีตาเหลืองตัวเหลือง ซึ่งเมื่อถึงระยะนี้ไข้จะลดลง
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
จะเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด
ผลต่อทารก
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย ทารกตายในครรภ์ หรือเสียชีวิตแรกเกิด และทารกที่คลอดมามีโอกาสที่จะ
ติดเชื้อได้
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติ การเป็นพาหะของโรคตับอักเสบจากไวรัสบี
2.การตรวจร่างกาย พบอาการและอาการแสดง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ตับโต ตัวเหลืองตาเหลือง
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจการทำงานของตับ และตรวจหา antigen และ antibody ของไวรัส
แนวทางการป้องกันและรักษา
1.คัดกรองสตรีตั้งครรภ์ทุกราย โดยตรวจหา HBsAg เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรก
2.กรณีได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ Hepatitis B virus ให้การรักษาดังนี้
ให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ งดการออกแรงทำงานหนัก หรือออกกำลังกาย
รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารที่ไขมันสูง
ในรายที่มีอาการเบื่ออาหารและอาเจียน อาจให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ให้ยาแก้อาเจียน
แนะนำให้พาสมาชิกในครอบครัวและสามีมาตรวจเลือด เพื่อหา HBsAg และ HBsAb หากผลตรวจเป็นลบ แนะนำให้พาสมาชิกในครอบครัวฉีดวัคซีน
เมื่อ Hepatitis B virus DNA ในกระแสเลือดมากกว่า 20,000 IU/ml ร่วมกับค่าเอนไซม์ตับสูงเกิน 2 เท่าของค่าปกติต้องให้การรักษา ด้วยยา Tenofovir Disoproxil Fumarate (TDF) ขนาด 300 mg รับประทานวันละ 1 ครั้ง เริ่ม
รับประทานเมื่ออายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์ และให้ต่อเนื่องจนครบ 4 สัปดาห์หลังคลอด
หลีกเลี่ยงหัตถการที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เช่น การทำ chorionic sampling และ amniocentesis เป็นต้น
พิจารณาให้คลอดทางช่องคลอด เพราะอัตราการแพร่กระจายเชื้อไวรัสจากมารดาสู่ทารกไม่แตกต่างกับคลอดโดยการผ่าตัด
ทารกที่เกิดจากสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ Hepatitis B virus ควรได้รับการฉีด Hepatitis Bimmunoglobulin (HBIG) ให้เร็วที่สุด และฉีด HB vaccine ภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด ถ้าไม่สามารถฉีด HBIGได้ทันทีจะต้องฉีดภายใน 7 วัน หลังคลอด
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.ตรวจคัดกรองสตรีตั้งครรภ์ทุกคน หากผลการตรวจพบ HBsAg และHBeAg เป็นบวก แสดงว่ามีการติดเชื้อและอยู่ในระยะที่มีอาการ
2.ให้คำแนะนำแก่สตรีตั้งครรภ์เกี่ยวกับสาเหตุ การติดต่อ การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ การดำเนินของโรค แผนการรักษา
อธิบายแก่สตรีตั้งครรภ์เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
ระยะคลอด
1.ให้นอนพักบนเตียงและ ประเมินการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ ติดตามความก้าวหน้าของการคลอด และสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ
2.หลีกเลี่ยงการเจาะถุงน้ำคร่ำ และการตรวจทางช่องคลอดเพื่อป้องกันถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเข้าสู่ระยะที่ 2ของการคลอด
เมื่อศีรษะทารกคลอด ดูดมูก เลือดและสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ ออกจากปากและจมูกของทารกให้มากที่สุด
ทำความสะอาดทารกทันทีที่คลอด เพื่อลดการสัมผัสกับเชื้อที่อยู่ในเลือดและสารคัดหลั่ง
5.ฉีด Hepatitis B immunoglobulin (HBIG) ให้เร็วที่สุดหลังเกิด และให้ Hepatitis B vaccine (HBV) 3 ครั้ง ให้ครั้งแรกภายใน 1 สัปดาห์แรกหลัง คลอด
ระยะหลังคลอด
1.ให้นมมารดาแก่ทารกได้แต่หากมารดาหลังคลอดมีหัวนมแตกและมีการอักเสบติดเชื้อของหัวนม อาจแนะนำให้งดให้บุตรดูดนม
2.เน้นการรักษาความสะอาดของร่างกายการป้องกันการปนเปื้อนของเลือด
หัดเยอรมัน (Rubella/German measles)
เกิดจากการติดเชื้อ rubella virus (german
measles virus) โดยติดต่อผ่านทางเดินหายใจ
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังการรับเชื้อหัดเยอรมันเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะแพร่กระจายไปทางกระแสเลือด เชื้อจะมีผลต่อร่างกายใน2 ลักษณะ คือ กลุ่มไม่มีอาการทางคลินิกและกลุ่มที่มีอาการทางคลินิก
อาการและอาการแสดง
มีไข้ต่ำ ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว เบื่ออาหาร ตาแดง ไอ เจ็บคอ และต่อน้ำเหลือง
บริเวณหลังหูโต ปวดข้อ โดยไข้จะเป็นอยู่ 1-2 วัน มีผื่นเริ่มขึ้นที่ใบหน้าจากนั้นจะแผ่กระจายลงมาตามหน้าอก ลำตัว แขนขา จนทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
อาจรู้สึกไม่สุขสบายเล็กน้อย
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทำให้เกิดการแท้ง ตายคลอด หรือพิการแต่กำเนิด
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นชั่วคราว เช่น ตับม้ามโต ตัวเหลือง โลหิตจาง เกล็ดเลือดต่ำ
ความผิดปกติถาวร ได้แก่ หูหนวก หัวใจพิการ ตาบอด (ต้อกระจก, ต้อหิน) สมองพิการ และปัญญาอ่อน
ความผิดปกติที่ไม่พบขณะแรกเกิด แต่ปรากฏภายหลัง เช่น ภาวะเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์ เป็นต้น
การประเมินและการวินิจฉัย
1.การซักประวัติการสัมผัสผู้ติดเชื้อหัดเยอรมัน หรือผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อ
2.การตรวจร่างกาย อาจพบผื่นสีแดงคล้ายหัด ตาแดง ไอ จาม เจ็บคอ ปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว ต่อมน้ำเหลืองโต บางรายอาจไม่พบอาการผิดปกติใด ๆ
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยตรวจ Hemagglutination inhibition test (HAI) เพื่อหา titer ของ antibody ของเชื้อหัดเยอรมัน หากผล HAI titer น้อยกว่า 1:8 หรือ 1:10 แสดงว่าไม่ติดเชื้อ
การพยาบาล
ให้วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อเยอรมันแก่สตรีวัยเจริญพันธุ์ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนมาก่อน
หากยังไม่มีภูมิคุ้มกันแนะนำให้สตรีตั้งครรภ์หลีกเลี่ยงการเข้าชุมชนในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อหัดเยอรมัน
3.แนะนำให้มาฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ
4.ประเมินสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์เกี่ยวกับการได้รับภูมิคุ้มกันโรคหัดเยอรมัน
เปิดโอกาสให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวได้ระบายความรู้สึกและซักถามข้อสงสัย
สุกใส (Varicella-zoster virus: VZV)
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชื่อ Varicella-zoster virus (HZV) ติดต่อ เช่น โดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง สัมผัสกับของใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ จากตุ่มน้ำของคนที่เป็นสุกใส
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือกบุทางเดินหายใจ ซึ่งเชื้อโรคมีระยะฟักตัวนาน 10-20 วัน ในกรณีที่โรคสุกใสเกิดขึ้นตั้งแต่แรกคลอด จะเรียกว่า congenital varicella syndrome
อาการและอาการแสดง
ไข้ต่ำ ๆ 1-2 วัน มีผื่นขึ้น มักจะขึ้นตามไรผม หรือหลังก่อน จะเป็นตุ่มน้ำใสๆ บนฐานสีแดง เหมือนหยาดน้ำค้างบนกลีบกุหลาบ (dewdrops on a rose petal) แล้วค่อยลามไปบริเวณหน้าลำตัว และแผ่นหลัง
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ร้้อยละ 40 จะมีปัญหาภาวะปอดอักเสบ หรือปอดบวม ทำให้ระบบหายใจล้มเหลว เป็นต้น
ผลกระทบต่อทารก
การติดเชื้อในครรภ์ เช่น ความผิดปกติของตา (ต้อกระจก) สมอง (ปัญญาอ่อนศีรษะขนาดเล็ก เนื้อสมองเหี่ยวลีบ) แขนขาลีบเล็ก
การติดเชื้อปริกำเนิด
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติการสัมผัสผู้ติดเชื้อสุกใส หรือผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อ
การตรวจร่างกาย มีไข้มีผื่นตุ่มน้ำใสตามไรผม ตุ่มน้ำใสๆ บนฐานสีแดง เหมือนหยาดน้ำค้างบนกลีบกุหลาบ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ:
การตรวจหาแอนติบอดีชนิด IgM ต่อไวรัสสุกใส ไวรัสงูสวัด (VZV) ด้วยเทคนิค ELISA
การตรวจหาแอนติบอดีชนิด IgG ต่อไวรัสสุกใสไวรัสงูสวัด (VZV) ด้วยเทคนิค ELISA เป็นการตรวจหาภูมิต้านทานต่อโรคสุกใสและงูสวัด
แนวทางการป้องกันและการรักษา
การป้องกันโดยไม่สัมผัสโรค หลีกเลี่ยงคนที่ป่วยเป็นสุกใส
การรักษาแบบประคับประคอง เพื่อบรรเทาอาการ เช่น การพักผ่อนอย่างเพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ
ใช้ยาต้านเชื้อไวรัสสุกใส Acyclovir ซึ่งควรจะให้ในระยะเวลา 24-48 ชั่วโมงหลังมีผื่นขึ้น
การพยาบาล
ระยะก่อนตั้งครรภ์
ฉีดวัคซีนป้องกันสุกใสก่อนการตั้งครรภ์ โดยหลีกเลี่ยงการรับวัคซีนในระยะตั้งครรภ์ หรือการเว้นระยะการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนภายหลังการฉีดวัคซีน
ระยะตั้งครรภ์
แนะนำให้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง วิตามินซีสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2.ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
เปิดโอกาสให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวได้ระบายความรู้สึก
ระยะคลอด
1.เน้นหลัก Universal precaution เพื่อป้องกันการ
แพร่กระจายเชื้อ ในขณะรอคลอด และขณะคลอด
ขณะคลอดควรดูดเมือกออกจากปากและจมูกทารกโดยเร็ว ทำความสะอาดร่างกายทันทีหลังคลอด
ระยะหลังคลอด
1.ให้แยกทารกแรกเกิดจากมารดาในระยะ 5วันแรกหลังคลอด เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากมารดา
ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค โดยการใช้หลัก universal precaution
กรณีพ้นระยะการติดต่อ หรือมารดามีการตกสะเก็ดแล้ว สามารถแนะนำเกี่ยวกับการให้นมมารดาได้
แนะนำการรับประทานอาหารโปรตีนและวิตามินซีสูง พักผ่อนเพียงพอ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ดูแลให้ทารกรับวัคซีน VariZIG แก่ทารกแรกเกิดทันทีหากมารดาการติดเชื้อในช่วง 5 วันก่อนคลอดถึง2 วันหลังคลอด
โรคติดเชื้อไซโทเมกะโรไวรัส (Cytomegalovirus: CMV)
การติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัส (Cytomegalovirus: CMV)
เชื้อทางการให้เลือด การสัมผัสทางปาก หรือทางเพศสัมพันธ์
อาการและอาการแสดง
อาการแสดงของ mononucleosis syndrome คือ ไข้สูงนาน ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการ ปอดบวม ตับอักเสบ และอาการทางสมอง
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
มีการติดเชื้อซ้ำ หรือติดเชื้อใหม่ในขณะตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อทารก
เสี่ยงต่อภาวะ IUGR แท้ง fetal distress คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดน้อย ทารกเสียชีวิตในครรภ์ และตายคลอด
การประเมินและการการวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย มีไข้ คออักเสบ ต่อมน้ำเหลืองโต ข้ออักเสบ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การเจาะเลือดส่งตรวจพบ Atypical Lymphocytes และเอ็นไซน์ตับสูงขึ้น
Amniocentesis for CMV DNA PCR เพื่อยืนยันการติดเชื้อของทารก
ในครรภ์
การตรวจ Plasma specimen for culture หรือ quantitative real-time PCR ในสตรีตั้งครรภ์ที่สงสัยว่าจะมีการติดเชื้อ
แนวทางการป้องกันและการรักษา
1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีการติดเชื้อ
2.สตรีที่เคยมีประวัติการติดเชื้อ CMV ควรวางแผนเว้นระยะการมีบุตรไปก่อนอย่างน้อย 2 ปี
3.ล้างมือด้วยสบู่
4.ให้ immunoglobulin ของ anti-cytomegalo viral human เป็นการให้ยาที่มีแอนติบอดีต่อ CMV
5.ให้ยาต้านไวรัส เช่น Valtrex, Ganciclovil, Valavir เป็นต้น
การติดเชื้อโปรโตซัว (Toxoplasmosis)
เกิดจากเชื้อโปรโตซัว Toxoplasma gondii
มีพาหะหลักคือ
แมว หนูกระต่าย แกะ รวมทั้งคน การติดต่อเกิดขึ้นได้โดยการรับประทานผักหรือผลไม้ที่ปนเปื้อนดินที่มีoocyte ของเชื้อ
อาการและอาการแสดง
อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ แต่อาจมีกลุ่มอาการของ
Mononucleosis รายที่รุนแรงจะมีพยาธิที่สมอง Chorioretinitis ปอดบวม กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็นต้น
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การแท้ง คลอดก่อนกำเนิด ถุงน้ำคร่ำและเยื่อหุ้มทารกอักเสบ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด รกลอกตัวก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกติดเชื้อในครรภ์ ไข้ ชัก
ทารกหัวบาตร microcephaly, chorioretinitis, หินปูนจับในสมอง (Cerebral calcification) ตับและม้ามโต ตาและตัวเหลือง ทารกมักเสียชีวิตหลังคลอดและทารกที่ติดเชื้อ สมองและตาจะถูกทำลาย
การประเมินและการวินิจฉัย
1.การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการสัมผัสสัตว์ที่เป็นโรค เช่น แมว เป็นต้น
การตรวจร่างกาย มักไม่แสดงอาการ หรือมีอ่อนเพลียเล็กน้อย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจเลือดหา DNA ของเชื้อ ทดสอบน้ำเหลืองดู titer IgG และ IgM
ตรวจเลือดสายสะดือทารกหรือน้ำคร่ำ พบ IgA และ IgM
การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อประเมินลักษณะสุขภาพของทารก ในครรภ์
แนวทางการป้องกันและการรักษา
1.ให้ผู้อื่นเป็นผู้ดูแลแมวแทนในช่วงที่ตั้งครรภ์
2.หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ปรุงสุก ผักผลไม้ที่ไม่ผ่านการล้าง ไข่ดิบ นมสดที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์
3.เมื่อต้องดูแลสวนหญ้า แนะนำให้สวมถุงมือยาง และล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
ถ้าพบ IgM ในมารดา อนุมานว่ามีการติดเชื้อ และรักษาด้วย spiramycin จะช่วยลดการติดเชื้อในครรภ์ได้
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเปิดโอกาสให้ซักถาม
2.ติดตามผลการตรวจเลือด
3.รักษาอย่างต่อเนื่อง การรับประทานยา และการสังเกตอาการข้างเคียงของยา
ระยะคลอด
1.ให้การพยาบาลโดยเน้นหลัก Universal precaution เพื่อป้องกันการ
แพร่กระจายเชื้อ ในขณะรอคลอด และขณะคลอด
2.ภายหลังทารกคลอดเช็ดตาด้วย 0.9%NSS เช็ดตาทันทีจากนั้นป้ายตาด้วย 1% tetracycline ointment
ระยะหลังคลอด
เฝ้าระวังการตกเลือดและการติดเชื้อหลังคลอด
แนะนำการปฏิบัติตนหลังคลอด เน้นเรื่องการรักษาความสะอาด การมาตรวจตามนัด
การติดเชื้อไวรัสซิก้า (Zika)
เกิดจากเชื้อฟลาวิไวรัส
(Flavivirus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค
สามารถติดต่อได้โดยการถูกยุงลายที่มี
เชื้อกัด และโรคนี้ยังสามารถติดต่อ จากคนสู่คนได้โดยผ่านทางการมี
เพศสัมพันธ์
อาการและอาการแสดง
ไข้ ผื่นแดง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ไข้ หนาวสั่นรู้สึกไม่สุขสบาย ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อตึงตัว อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ตัวตาเหลือง เป็นต้น
ผลกระทบต่อทารก
ความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท ตาและการมองเห็น ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า ทารกตายในครรภ์ และตายหลังคลอด
การประเมินและการวินิจฉัย
1.ซักประวัติอาการของผู้ป่วย
2.การตรวจร่างกาย มีไข้ อ่อนแรง เยื่อบุตาอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองโต ตัวเหลือง เป็นต้น
3.การทดสอบทางห้องปฏิบัติการ โดยใช้สิ่งส่งตรวจ เช่น เลือด ปัสสาวะ น้ำลาย เป็นต้น
การพยาบาล
ให้คำแนะนำในการป้องกันสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อไวรัสซิกา
ใช้ยากำจัดแมลงหรือยาทาป้องกันยุงกัด
นอนในมุ้ง และปิดหน้าต่าง ปิดประตู
กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
หากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดควรใช้ถุงยางอนามัย
อธิบายเกี่ยวกับการดำเนินของโรค สาเหตุ อาการและอาการแสดง ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ประเมินสัญญาณชีพโดยเฉพาะอุณหภูมิ และประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
ตรวจร่างกายทารกแรกเกิด ประเมินสภาพร่างกายทั่วไปโดยเฉพาะการวัดขนาดของศีรษะ
8.โรคโควิด-19 กับการตั้งครรภ์ (COVID-19 during Pregnancy)
เกิดจากเชื้อไวรัสตระกูล Corona ชื่อ SARS-CoV-2 การติดต่อส่วนใหญ่ผ่านทางสัมผัสละอองฝอยจากการไอหรือจาม
อาการและอาการแสดง
อุณหภูมิร่างกายสูงไอ น้ามูก เจ็บคอ
หายใจติดขัด หรือหายใจลำบาก
ผลกระทบต่อการสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
คลอดก่อนกำหนด มีการติดเชื้อของเยื่อหุ้มเด็ก ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนดรกเสื่อม และรกลอกตัวก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกในครรภ์พัฒนาการล่าช้า คลอดน้ำหนักตัวน้อย คลอดก่อนกำหนด
การประเมินและการวินิจฉัย
1.การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการสัมผัสผู้ที่การติดเชื้อ ประวัติการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง
การตรวจร่างกาย มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ไอแห้ง
หายใจติดขัด เป็นต้น
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจเลือดจะพบเม็ดเลือดขาวต่ำ
ตรวจหา viralnucleic acid ด้วยวิธี real-time polymerase chain
reaction (RT-PCR) จากสารคัดหลั่ง
การตรวจพิเศษ ได้แก่ การตรวจเอกซเรย์ปอดหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องอกพบมีปอดอักเสบ
การดูแลรักษา
สตรีตั้งครรภ์ที่สงสัยจะติดเชื้อโควิด-19
ถ้ามีไข้ห้ามใช้ยากลุ่ม NSAIDsให้เลื่อนการนัดผ่าตัดคลอดหรือการกระตุ้นคลอดออกไปอย่างน้อย 14 วันหรือจนกว่าผลตรวจเชื้อไวรัสเป็นลบ
สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อแต่อาการไม่รุนแรง ให้ยาต้านไวรัส
สตรีตั้งครรภ์ที่มีอาการรุนแรง
ไม่ให้ออกซิเจนทาง face mask หรือ face mask with bag
On EFM ถ้าอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป
ให้ยาต้านไวรัสและ/หรือยาอื่น ๆ เช่น Lopinavir/Ritonavir, remdesivir เป็นต้น
เน้นให้บุคลากรใส่ชุด PPE การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในรพ.และไปกับรถพยาบาล
บุคลากรต้องใส่ full PPE