ยารักษาวัณโรค (Antituberculotic drug)
Second-line drug
4. Kanamycin/กานามัยซิน (KM)
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์โดยจับกับ ribosome ส่วน 30S ของเชื้อแบคทีเรียและรบกวนการสร้างโปรตีนใช้รักษาแบคทีเรียชนิดแกรมลบชนิด aerobic ฤทธิ์ยาจะลดลงในสภาวะที่ขาดออกซิเจนและไม่มีผลต่อแบคทีเรียพวก anaerobic ถ้ายามีความเข้มข้นสูงจะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ความเข้มข้นต่ำมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ
ข้อบ่งใช้
รักษาอาการติดเชื้อ Escherichia coli, Proteus, Enterobacter aerogenes, Klebsiellapneumoniae, Serratia marcescens และ Acinetobacter
ผลข้างเคียง
ต่อหู: ทำให้ระบบทรงตัวผิดปกติ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน ทำลายประสาทหูเกี่ยวกับการได้ยิน เริ่มจากได้ยินเสียงสูง หูอื้อ หูหนวก
ต่อตา: ตากระตุก นัยน์ตาปรับสภาพไม่ดี
ต่อไต: อาจเกิดภาวะไตวาย
อาการแพ้: เป็นผื่นขึ้นตามผิวหนัง มีไข้ ความดันโลหิตต่ำ ตามัว ปวดข้อ
การทำงานของกล้ามเนื้ออ่อนแรง
4. Kanamycin/กานามัยซิน (KM)
ข้อควรระวัง
ควรใช้ยาด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เพราะเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้สูง
แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติแพ้ซัลไฟต์ เป็นโรคไต โรคทางระบบประสาทและสมอง โรคทางการได้ยิน เพราะยาอาจทำให้อาการของโรคแย่ลงได้
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอในหญิงมีครรภ์หรืออยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
ข้อห้ามใช้
ไม่ควรใช้ยานานเกิน 7-10 วัน ยกเว้นในกรณีที่ติดเชื้ออย่างรุนแรง
ข้อแนะนำ
- ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ระหว่างที่ใช้ยานี้ ควรดื่มน้ำเปล่าให้มาก นอกจากแพทย์จะแนะนำให้ดื่มน้ำน้อย
- หากลืมใช้ยา ให้ไปปรึกษาแพทย์
- หากรับยาฉีดมาใช้เองที่บ้าน ผู้ป่วยต้องศึกษาขั้นตอนการเตรียมยาและวิธีใช้ยาจากแพทย์หรือเภสัชกรให้ดีก่อน เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา
- ระหว่างที่ใช้ยา ผู้ป่วยต้องรับการตรวจติดตามผลการรักษาเป็นระยะ
5. Ofloxacin/ออฟลอกซาซิน (O,OF)
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ DNA gyrase ทำให้เชื้อแบคทีเรียไม่สามารถสร้าง DNA เพื่อใช้ในการแบ่งตัวได้ ยาถูกดูดซึมจากทางเดินอาหาร และกระจายไปยังเนื้อเยื่อต่างๆได้อย่างรวดเร็วในความเข้มข้นที่สูง ในระดับยาสูงสุดภายใน 1-2 ชม. ยานี้ส่วนใหญ่จะถูกขับออกทางปัสสาวะในรูปเดิมมีค่าครึ่งชีวิตประมาณ 5-8 ชม.
ข้อบ่งใช้
เป็นยาต้านเชื้อแบคทีเรียชนิด ซึ่งมีspectum ในการต้านเชื้อที่กว้าง
ผลข้างเคียง
สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมลบ E. coli, K. pneumoniae, Serratin sp, Peoteus sp. P. aevuginosa และ H. influenzae
สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรีย ชนิดแกรมบวก เช่น Staphylococcus, Hlemolytic – Streptococci และ Enterococci
อาการการแพ้ยา: ผื่นแดงและคัน เมื่อเกิดแล้วควรหยุดยา
ต่อการทำงานของไต: ทำให้ระดับของ BUN และ Serum creatinine เพิ่มขึ้น
ต่อการทำงานของตับ: ทำให้ SGOT, alkaline phosphatase และ bilirubin มีปริมาณเพิ่มขึ้นชั่วคราว
ต่อกระเพาะอาหารและลำไส้: คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อุจจาระเหลว ท้องเสีย เบื่ออาหาร เรอเปรี้ยว และอาการปากอักเสบขึ้นได้บ้างเล็กน้อย
ต่อระบบโลหิต: อาจทำให้มีการลดลงของ Leukocytes, erythrocyte, hemohlobin, hematocrit, platelets ได้ชั่วคราว และบางครั้งอาจทำให้ปริมาณ eosinophils เพิ่มขึ้นได้
ต่อระบบประสารทส่วนกลาง: นอนไม่หลับ เวียนศีรษะ
อาจเกิดอาการที่คล้ายกับอาการช็อค (Shock-like symptoms) ได้บ้างในบางครั้ง
เมื่อเกิดอาการเหมือนกับการไม่สบาย มีเหงื่อออก หายใจขัดหรือความดันโลหิตต่ำ จะต้องหยุดยาและให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป
5. Ofloxacin/ออฟลอกซาซิน (O,OF)
ข้อควรระวัง
- ควรใช้ยาด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยที่ไตทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่
- ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ การใช้เครื่องจักรหรือกิจกรรมที่เสี่ยงอันตรายหากท่านมีอาการมึนงงหรือไม่ตื่นตัว
- หยุดรับประทาน (ofloxacin) หากปวดเส้นเอ็นเฉียบพลัน (เช่น ปวดบริเวณข้อเท้า, หลังหัวเข่าหรือขา, ไหล่, ข้อศอกหรือข้อมือ)
ข้อห้ามใช้
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้
- ไม่ควรใช้ยานี้หากมีประวัติเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis)
- ไม่ควรใช้ยานี้กับหญิงมีครรภ์และควรงดการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาในระหว่างการใช้ยานี้
- ไม่ควรใช้ยากับเด็กเนื่องจากยังไม่มีการยืนยันความปลอดภัยในการใช้ยานี้กับเด็ก
- ห้ามรับประทานยานี้ร่วมกับยาลดกรดที่มีส่วนผสมของอะลูมินัม (aluminum) หรือแมกนีเซียม (magnesium) หรือซูคราลเฟต (sucralfate)
ข้อแนะนำ
- ควรกลืนยาทั้งเม็ดพร้อมกับน้ำ
- รับประทานยาชนิดนี้พร้อมอาหารหรือไม่ก็ได้ แต่ควรเป็นเวลาเดียวกันในแต่ละวัน
- ควรรับประทานยาพร้อมกับน้ำปริมาณ 240 มิลลิลิตรต่อแก้ว และควรดื่มน้ำให้มากในแต่ละวัน หรือตามที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- ไม่ควรดื่มนมหรือใช้ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาไดดาโนซีน ยาซูคราลเฟต หรือวิตามิน ในช่วงเวลา 2 ชั่วโมง ก่อนและหลังที่ใช้ยา Ofloxacin
- ในกรณีที่ลืมรับประทานยาตามเวลาที่กำหนด ให้รับประทานยาได้ทันที แต่หากใกล้ถึงเวลาการรับประทานยาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาในรอบถัดไป ไม่ควรเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
- หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์ทันที