Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
กลไกการแลกเปลี่ยนก๊าซ
การทำงานของเม็ดเลือดแดง
ขนส่งก๊าซ เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน
มีส่วนประกอบที่เป็น Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน)ทำหน้าที่ในการ“จับกับก๊าซเพื่อการขนส่ง” Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) แต่ละตัว สามารถจับกับแก๊สได้ 4 โมเลกุล
ความดันออกซิเจน ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
ความดันออกซิเจนและการขนส่งสู่เนื้อเยื่อ หลังจากเลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนในเลือดสูงเม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนน้อยสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปหาเซลล์
การเดินทางไปในอวัยวะที่ไกลขึ้น ความเข้มข้นออกซิเจนในเลือดลดลงเม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนมากขึ้นตามลำดับเพื่อให้ออกซิเจนออกมาอยู่ในกระแสเลือดเพื่อส่งไปสู่เซลล์
เลือดเป็นตัวกลางการส่งผ่านออกซิเจนสู่เซลล์ส่วน เม็ดเลือดแดงเป็นถังเก็บออกซิเจนค่อยๆ ปล่อยออกซิเจนออกมาเรื่อย ๆ
การหมุนเวียน เพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เซลล์เนื้อเยื่อขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกออก จะมีการขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กลับไปที่ปอด เพื่อท าการหายใจระบายออก
กลไกการขนส่ง
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ำ เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก (H2CO3) และแตกตัวเป็นไฮโดรเจนไออน (H+) กับไบคาร์บอเนต (HCO3)
ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับออกซิเจนของบุคคล
สภาวะที่ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง
จะมีความหนาแน่นของอากาศลดลง มีผลให้ออกซิเจนมีระดับต่ำกว่าปกติ ทำให้ร่างกายได้ออกซิเจนน้อยกว่าปกติ
ถ้าร่างกายปรับตัวไม่ได้กับภาวะพร่องออกซิเจน ทำให้เกิดการภาวะพร่องออกซิเจน
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง
อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในขบวนการขจัดสารพิษ
การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก ๆ
ขณะออกกำลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติอาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ
ความเครียด
เกิดภาวะนอนไม่หลับ
การหายใจถี่ขึ้นต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาหารที่มีไขมันมาก
มีปริมาณออกซิเจนน้อย
เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
ผู้สูงอายุ
ร่างกายมีความเสื่อมเกิดขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย ทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
การสูบบุหรี่่
มีผลเสียต่อปอดทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลงทำให้หลอดเลือดมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก และมีออกซิเจนน้อย
การสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานาน ๆ ส่งผลให้เกิดอาการพร่องออกซิเจนเป็นมากขึ้น
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์
ปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด 200 mg% จะทำให้เกิดอาการสับสน
ปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดมากกว่า 400mg% ส่งผลต่อระบบสมองทำให้ได้รับออกซิเจนน้อยลง
ปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด 50 mg% จะกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ระบบหัวใจและหลอดเลือดมีการสูบฉีดเลือดลดลง จนเกิดอาการหมดสติ และอาจถึงตายได้
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกาย
ใช้เทคนิคการสังเกต และการประเมินสัญญาณชีพ
อุณหภูมิร่างกาย (Temperature: T)
ชีพจร (Pulse: P)
การหายใจ (Respiration: R)
ความดันโลหิต(Blood pressure: BP)
เทคนิคการสังเกตลักษณะทั่วไป
ระบบทางเดินหายใจ
มีอาการหายใจไม่สะดวก หายใจลำบากเมื่อนอนราบ (Orthopnea)มีอาการกระสับกระส่าย การหายใจไม่สม่ำเสมอเวลาหายใจจะมีเสียงดัง
แสดงอาการหายใจหอบสังเกตจากปีกจมูกบานมีการหายใจแบบอ้าปากเสมือนว่าหิวอากาศ (air hunger)ใช้กล้ามเนื้อซี่โครงและไหล่ช่วยในการหายใจ
ขาดออกซิเจนระดับรุนแรงผู้ปุวยจะหยุดหายใจ
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
พบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นในระยะแรก เพื่อปรับชดเชย
ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง เจ็บหน้าอก และหัวใจหยุดเต้นในระยะ
สุดท้าย
ระบบประสาทส่วนกลาง
พบ ความรู้สึกตัวของผู้ปุวยเปลี่ยนแปลงกระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะเพราะหลอดเลือดสมองขยายตัว
เพ้อ หมดสติ หรือชัก
ระบบผิวหนัง
ระยะแรก พบว่า ผิวหนังผู้ปุวยเย็น ซีด เพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะ
พร่องออกซิเจนเพราะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ
ระยะต่อมาพบอาการเขียวคล้ำโดยเห็นชัดบริเวณริมฝีปาก เล็บมือเล็บเท้า และเสียชีวิตในที่สุด
ระบบทางเดินอาหาร
พบมีอาการคลื่นไส้อาเจียนในระยะแรก
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG)
ตรวจเพื่อหาประสิทธิภาพการทำงานของปอด เพื่อประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการหายใจ
การแปลผลภาวะขาดออกซิเจน
ระดับการแปลผลภาวะขาดออกซิเจน
Mild hypoxemia : PaO2 มีค่าระหว่าง 60 – 80 mmHg
Moderate hypoxemia : PaO2 มีค่าระหว่าง 40 - 60 mmHg
Severe hypoxemia : PaO2 มีค่าน้อยกว่า 40 mmHg
การแปลผลภาวะระบบทางเดินหายใจเป็นกรดเฉียบพลัน (Acute respiratory acidosis)
ค่าpHต่ำกว่าปกติ ค่า PaCO2 สูงกว่าปกติ ส่วนค่า HCO3 ปกติ
อาการและอาการแสดงที่พบ
hypoventilation
มีอาการง่วงเหงาหาวนอน ประสาทสัมผัสเปลี่ยนแปลงไประดับความรู้สึกลดลงจนไม่รู้สึกตัว หัวใจเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ
การแปลผลภาวะระบบทางเดินหายใจเป็นด่างเฉียบพลัน (Acute respiratory alkalosis)
ค่าpH สูงกว่าปกติ ค่าPaCO2 ต่ำกว่าปกติ ส่วนค่า HCO3 ปกติ
อาการและอาการแสดงที่พบ คือ
Hyperventilation
หัวใจเต้นเร็ว ชา หมดความรู้สึก มีอาการชาตามมือตามหน้า ระดับความรู้สึกลดลงจนไม่รู้สึกตัว ไม่เป็นจังหวะ
การแปลผลภาวะการเผาผลาญเป็นกรดเฉียบพลัน
(Acute metabolic acidosis)
ค่า pH และค่าHCO3 ต่ ากว่าปกติ ส่วนค่า PaCO2 ปกติ
อาการและอาการแสดงที่พบ คือ อาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียมีอาการสั่นกระตุก (tremor) ชัก (convulsion)
การแปลผลภาวะการเผาผลาญเป็นด่างเฉียบพลัน
(Acute metabolic alkalosis)
ค่า pHและค่า HCO3 สูงกว่าปกติ ส่วนค่า PaCO2 ปกติ
อาการและอาการแสดงที่พบ คล้ายกับ metabolic acidosis
แต่ไม่มีอาการปวดศีรษะ
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation)
การแปลผลต้องพิจารณาปริมาณเม็ดเลือดแดงและหรือค่าฮีโมโกลบินร่วมด้วย
เป็นเป็นการวัด arterial oxygen saturation (SPO2)ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดปกติอยู่ระหว่าง 98 - 99%
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
ในเลือดค่าฮีโมโกลบินปกติในผู้หญิง11.5 – 16.5 gm % (กรัมเปอร์เซนต์) และในผู้ชาย 13.0 - 18 gm % (กรัมเปอร์เซนต์)
สาเหตุของ hypoxia และหรือ hypoxemia
ระบบทางเดินหายใจ
การอุดกั้น การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจการมีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อย
ภาวะโลหิตจาง
ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติต่าง ๆ
ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดส่วนอกและช่องท้อง
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
อาการไอ (Cough)
สาเหตุของการไอ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ
อาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจาก
ไข้หวัด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง
ไอมากกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากหลอดลม
อักเสบ จมูกและไซนัสอักเสบเรื้อรัง หอบหืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดอักเสบเรื้อรัง
ฝุุน ควัน สารเคมี อาหาร หรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน - เย็นของอากาศ จะท าให้การไอมากขึ้น
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ เนื่องจากมีฝุุนละอองมาก
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนอง มักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ประเมินประสิทธิภาพการไอ ลักษณะไอแห้ง ๆ หรือไอแบบมีเสมหะ โดยการฟังเสียงไอ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี ระยะเวลาของการไอ
ไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจำนวน ลักษณะ สีและกลิ่นของเสมหะ
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อมช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ และปริมาณมาก เพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
Hemoptysis อาการไอเป็นเลือด
การมีเลือดออกจากทางเดินหายใจตั้งแต่กล่องเสียงลงไป
มีปริมาณเลือดเห็นได้ชัดเจน คือ มากกว่า 2 มิลลิลิตรขึ้นไป
ต้องแยกออกจากการอาเจียนเป็นเลือด (hematemesis) ซึ่งมีเลือดออกมาจากทางเดินอาหาร
ไอเป็นเลือดที่ถือว่ารุนแรง คือ การมีเลือดออกครั้งละเกิน 200 มิลลิลิตร ในระยะเวลา 24 –48 ชั่วโมง
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดสดออกมา พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดปนออกมา มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่า ๆ ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อุบัติเหตุ
การอักเสบ ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง มีแผลในคอ กล่องเสียงในเนื้อปอด
เนื้องอก และมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอด ทำให้เกิดการไอเป็นเลือดได้
ลักษณะของเลือดที่เกิดจากการไอเป็นเลือด (hemoptysis)
สีแดงสด
มีฤทธิ์เป็นด่าง
. มีฟองปน
มีีประวัติเป็นโรคปอด
มีอาการเจ็บหน้าอกร่วมด้วย
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิตประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรงของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด จะต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือด
พยาบาลต้องคอยปลอบโยน ให้กำลังใจ และให้การดูแลจนผู้ปุวยควบคุมตนเองได้เพื่อช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและลดความตกใจ
Hiccup การสะอึก
สาเหตุของอาการสะอึก
กินอิ่มมากเกินไป
ดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส (Carbonate)ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
สูบบุหรี่จัด
มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
ดื่่มเครื่องดื่มเย็นจัด หรือ กินอาหารร้อนจัดเมื่อท้องว่าง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าคาร์บอนไดออกไซด์
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม
Dyspnea อาการหายใจลำบาก
อาการซึ่งผู้ป่วยต้องใช้ความพยายามหรือใช้แรงในการหายใจ
การหายใจลำบากไม่มีความสัมพันธ์กับความเร็วของการหายใจ
เกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยหายใจถี่ หรือหายใจช้า
สาเหตุของการหายใจลำบาก
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
ทางเดินหายใจอุดกั้น
ปอดถูกทำลาย
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจ การทำงานของหัวใจไม่ดีเนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจตายหรือลิ้นหัวใจรั่ว
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ ประเมินสัญญาณชีพตามความเหมาะสม ทุก 1 - 2ชั่วโมง
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดอาการหายใจล าบากโดยหายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม
Chest pain อาการเจ็บหน้าอก
ลักษณะแตกต่างกันตามสาเหตุ
กล้ามเนื้ออักเสบ มีอาการเจ็บเฉพาะที่ และเจ็บเมื่อใช้มือกดที่บริเวณนั้น
จากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบ และมักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึก ๆ หรือเวลาไอ
จากเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บตลอดเวลา
จากหลอดลมอักเสบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูกอาจเจ็บตลอดเวลา และเจ็บมากเมื่อเวลาไอ
สาเหตุจากเส้นประสาท
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
สังเกตอาการ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะนำให้นอนตะแคงทับด้านที่เป็น
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย