Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ, image - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
แบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วน
2.ความดันออกซิเจนทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ หลังจากเลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนในเลือดสูงอยู่ เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนน้อยสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปหาเซลล์ต่างๆ เดินทางไปในอวัยวะที่ไกลขึ้น ความเข้มข้นออกซิเจนในเลือดลดลง เลือดเป็นตัวกลางการส่งผ่านออกซิเจนสู่เซลล์ส่วนเม็ดเลือดแดงเป็นถังเก็บออกซิเจนที่จะค่อยๆปล่อยออกซิเจนออกมา
3.การหมุนเวียนเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
กลไกการขนส่งมี 2 หลัก
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ำ เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก(H2CO3) และแตกตัวเป็นไฮโดรเจนไออน(H+)กับไบคาร์บอเนต(HCO3)
1.การทำงานของเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่ขนส่งก๊าซเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน มีอายุ 120 วัน มีส่วนประกอบที่เป็นHemoglobin ทำหน้าที่ในการ“จับกับก๊าซเพื่อการขนส่ง
สรุป
การแลกเปลี่ยนก๊าซโดยรวมเกิดจาก ความดันออกซิเจน และ คาร์บอนไดออกไซด์ที่แตกต่างกันทำให้เกิดการถ่ายเทก๊าซจากที่ความเข้มข้นสูงสู่ที่ต่ำกว่า โดยมีระบบหมุนเวียนเลือดที่มีเม็ดเลือดแดงเป็นตัวนำพา
ปัจจัยที่มีผลตอการไดรับออกซิเจนของบุคคล
ภาวะที่ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
4.ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
5.อาหารที่มีไขมันมาก จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
3.การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติอาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เป็นสาเหตุทำให้เหนื่อยเร็ว
6.ผู้สูงอายุ ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น
2.อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง ภาวะดังกล่าวท าให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น
7.การสูบบุหรี่ มีผลเสียต่อร่างกาย
1.การเดินทางหรืออาศัยในที่สูงภาวะดังกล่าวจะมีความหนาแน่นของอากาศลดลง มีผลให้ออกซิเจนมีระดับต่ำกว่าปกติ
8.การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ การดื่มในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกายเกิดผลเสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง
30 mg% จะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้
-50 mg%จะกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย
-200 mg%จะทำให้เกิดอาการสับสน
-400 mg%ส่งผลต่อระบบสมองทำให้ได้รับออกซิเจนน้อยลง อาจถึงตาย
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
มี2 วิธี
การประเมินสภาพร่างกาย
การสังเกต และการประเมินสัญญาณชีพ T P R BP
เทคนิคการสังเกตลักษณะทั่วไป
2) ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประเมินพบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นในระยะแรก ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ และหยุดเต้นในระยะสุดท้าย
3) ระบบประสาทส่วนกลาง สังเกตและประเมินพบ ความรู้สึกตัวของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย ชัก
4) ระบบผิวหนัง ผิวหนังผู้ป่วยเย็น ซีดเพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะพร่องออกซิเจน โดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ
5) ระบบทางเดินอาหาร ประเมินและสังเกตพบมีอาการคลื่นไส้อาเจียนในระยะแรก
1) ระบบทางเดินหายใจ มีอาการหายใจไม่สะดวกหายใจลำบากเมื่อนอนราบ ต้องนั่งหายใจหลังจากนอนหลับไปแล้วระยะหนึ่งต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจ
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ประเมินการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจและหลอดเลือด และการแปลผล
1)ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง
เป็นการตรวจเพื่อหาประสิทธิภาพการทำงานของปอด เพื่อประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการหายใจ
pH วัดภาวะความเป็นกรดด่างของร่างกาย
-ค่าปกติ อยู่ระหว่าง7.35-7.45
-ค่าต่ำกว่า 7.35แสดงว่าเกิดภาวะเป็นกรด
-ค่าสูงกว่า 7.45แสดงว่าเกิดภาวะเป็นด่าง
PaCO2เป็นการวัดความดันของคาร์บอนไดออกไซด์ ในเลือดระดับของ CO2ในเลือดสูงเพิ่มขึ้นอัตราการหายใจจะเร็ว
-ค่าปกติอยู่ระหว่าง35-45 mmHg
PaO2เป็นตัวบ่งชี้ให้ทราบถึงปริมาณของออกซิเจน ในเลือดที่จับกับHemoglobin
-ค่าปกติอยู่ระหว่าง80-100 mmHg
แปลผล 3 ระดับ
1.Mild hypoxemia:PaO2มีค่าระหว่าง 60 –80 mmHg
2.Moderate hypoxemia:PaO2มีค่าระหว่าง 40-60mmHg
3.Severe hypoxemia:PaO2มีค่าน้อยกว่า 40 mmHg
HCO3เป็นการวัดค่าความเข้มข้นไฮโดรเจนไอออน
SaO2เป็นค่าเปรียบเทียบระหว่าง Hemoglobin ที่มี O2ที่อิ่มตัวกับความสามารถสูงสุดของHemoglobin ที่จะจับกับO2ได้ ค่าปกติอยู่ระหว่าง97-100%
การแปลผลภาวะระบบทางเดินหายใจเป็นกรดเฉียบพลัน
อาการ
hypoventilation จะมีอาการง่วงเหงาหาวนอน
การแปลผล
pHสูงกว่าปกติ ค่าPaCO2ต่ ากว่าปกติ ส่วนค่าHCO3 ปกติ
การแปลผลภาวะระบบทางเดินหายใจเป็นด่างเฉียบพลัน
อาการ
Hyperventilation หัวใจเต้นเร็ว ประสาทสัมผัสเปลี่ยนแปลงไป ชา
การแปลผล
pHสูงกว่าปกติ ค่าPaCO2ต่ ากว่าปกติ ส่วนค่าHCO3 ปกติ
2)ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ใช้pulseoximeterเป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน
การแปลผลต้องพิจารณาปริมาณเม็ดเลือดแดงและหรือค่าฮีโมโกลบินร่วมด้วยจึงเป็นการวัด arterial oxygen saturation
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดปกติอยู่ระหว่าง98-99%
SPO2ได้น้อยกว่า 90% จำเป็นต้องได้รับการรักษา ยกเว้นผู้ป่วยโรคปอดอุดตันเรื้อรัง
3)การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน
ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยออกซิเจน
3.โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อย
4.ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติต่าง ๆ
2.ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลายความผิดปกติของกล้ามเนื้อ
ระบบทางเดินหายใจเช่น การอุดกั้นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ
6.ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดส่วนอกและช่องท้อง
ปกติในผู้หญิง11.5–16.5gm% และในผู้ชาย 13.0-18 gm%
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
อาการไอ (Cough)
เป็นกลไกการตอบสนองของร่างกายอยางหนึ่งต่อสิ่งผิดปกติในทางเดินหายใจและเป็นกลไกป้องกันที่สำคัญของร่างกายในการกำจัดเชื้อโรค เสมหะ
เริ่มจากการที่มีสิ่งกระตุนตัวรับสัญญาณการไอหรือมีสารระคายเคืองในบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนและล่าง ได้แก่ช่องหูและเยื่อบุแก้วหู
สาเหตุของการไอ
1.การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ
ฝุุน ควัน สารเคมี อาหารหรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน เย็นของอากาศจะทำให้การไอมากขึ้น
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะเช่น ไอเนื่องจากมีฝุ่นละอองมาก
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนองมักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ
การพยาบาลผู้ป่วย
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่และระยะเวลาของการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต จำนวน ลักษณะ สีและกลิ่น
1.ประเมินประสิทธิภาพการไอโดยการฟังเสียงไอ
4.ดูแลความสะอาดของปากฟันและสิ่งแวดล้อม
5.กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่น เพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่าย
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
Hemoptysis
การมีเลือดออกจากทางเดินหายใจตั้งแต่กล่องเสียงลงไป มีปริมาณเลือดเห็นได้ชัดเจน
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดปนออกมาคือ พบในโรคมะเร็งของหลอดลม
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย พบในโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง
ไอจนมีเลือดสดออกมาพบในวัณโรคปอด
4.ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม พบในวัณโรคปอด
สาเหตุ
3.เนื้องอก และมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่างๆ
2.การอักเสบ ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง
1.อุบัติเหตุ
การพยาบาลผู้ป่วย
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต
ถ้าเสียเลือดมากอาจต้องให้เลือด
1.ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น
Hiccup
เป็นอาการที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างช่องปอดและช่องท้องที่เกิดขึ้นเองโดยไม่สามารถควบคุมได้ ท าให้เกิดการหายใจเอาอากาศเข้าไปก่อน และจะหยุดหายใจเข้าทันทีทันใด
สาเหตุของอาการสะอึก
กินอิ่มมากเกินไปดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส
มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
ผลข้างเคียงจาก ยาบางชนิด เช่นยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็งมีก้อนในบ
การสะอึกต่อเนื่อง
อาการสะอึกที่ควบคุมรักษายาก มักเป็นอาการสะอึกที่เกิดจากพยาธิสภาพของโรคโดยโรคที่พบบ่อย เช่นโรคทางสมอง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพักๆ
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม
Dyspnea
อาการหายใจลำบาก อาการซึ่งผู้ป่วยต้องใช้ความพยายามหรือใช้แรงในการหายใจการหายใจลำบากไม่มีความสัมพันธ์กับความเร็วของการหายใจอาจเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยหายใจถี่
สาเหตุ
2.สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจเช่นการทำงานของหัวใจไม่ดี
3.สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี
1.สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น
การพยาบาลผู้ป่วย
2.การดูแลด้านจิตใจ
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย เพื่อให้หายใจออก
ฝึกให้ผู้ปุวยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดอาการหายใจลำบากโดยหายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม หายใจออกทางปาก
Chest pain
อาการเจ็บหน้าอก
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ
หัวใจเช่นภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจโคโรนารี ตีบแคบ
เยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบ
หลอดลมอักเสบ มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูกอาจเจ็บตลอดเวลา
กล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่
6) อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเส้นประสาทเช่นโรครากประสาทสันหลัง
การพยาบาลผู้ป่วย
2.ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือ ปอด กล้ามเนื้อหัวใจตาย อันตรายกว่าการเจ็บหน้าอกจากระบบหายใจ
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
1.สังเกตอาการ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด ควรแนะนำให้นอนตะแคงทับด้านที่เป็น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ต้องให้ยาแก้ปวด
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
อาการ
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป
ความดันโลหิตลดลง
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น
มีภาวะซีด
ระดับความรู้สึกตัวลดลง
มีอาการเขียวคล้ำ
ระดับการมีสมาธิลดลง
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุ้ม
วิตกกังวล กระสับกระส่าย
อาการหายใจลำบาก
วัตถุประสงค์
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโปุงฟอง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจ
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ โดยวิธีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
ข้อชี้บ่ง
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการทำผ่าตัด
1.มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO2< 60 mmHg หรือ SaO2< 90% เมื่อหายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
ข้อควรระวัง
3.ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่ได้รับพิษจาก paraquat
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ำที่สุด
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบnebulizerสามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ป่วยที่หายใจเอง
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทำให้ขบวนการติดไฟเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
การพยาบาลผู้ป่วย
1.หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
ความผิดปกติของสีผิว
ระดับความรู้สึกตัว
ตรวจวัดสัญญาณชีพ
วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง
ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซิเจน
2.หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ตรวจดูสายยาง ให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
ขวดทำความชื้นมีน้ำอยู่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
ออกซิเจนไม่รั่วจากขวดทำน้ำกลั่นที่ทำความชื้น
ถ้าเป็นออกซิเจนถัง จะต้องให้มีออกซิเจนอยู่เสมอ
เปลี่ยนและนำอุปกรณ์การใช้ออกซิเจน ไปทำความสะอาดและทำให้ปลอดเชื้อ
ถ้าให้ออกซิเจนจากระบบ pipeline ที่มีรูเปิด สำหรับเสียบ flow meter จะต้องดูให้ flow meterเสียบเข้าที่
3.ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ
ดูดเสมหะที่ค้างตามท่าทางเดินหายใจเป็นระยะๆ เพื่อปูองกันการอุดตัน
สอนการไออย่างถูกวิธี เพื่อให้ระบายเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดท่านอน ท่านั่ง ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย
กระตุ้นให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อให้น้ำช่วยละลายเสมหะให้ขับออกได้ง่าย
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก2-3 ชั่วโมง
ถ้าเจ็บคอ ให้ล้างปากด้วยน้ำยา
ทาริมฝีปากด้วย กลีเซอรีน บอแรกซ์
ให้จิบน้ำบ่อยๆ
ท าความสะอาดช่องจมูก
ดูแลความสะอาดบริเวณหน้า
5.ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
พยาบาลควรมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือ
แนะนำ อธิบายให้ผู้ป่วยรู้จักเครื่องมือต่างๆได้ง่าย
บอกประโยชน์ของการได้รับออกซิเจน
ดูแลควบคุมอัตราการไหของออกซิเจนให้เพียงพอ
สนใจ รับฟังความต้องการของผู้ปุวยอย่างจิงจัง
ให้เวลาผู้ป่วยในการพูดคุย
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่างๆ
ระบบการให้ออกซิเจน
1) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ
ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนเพียงบางส่วน
(1) การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว
เป็นการให้ออกซิเจนทางจมูก วิธีนี้ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนที่มีความเข้มข้นต่ำ
ข้อดี
ผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องปลดสายออก
ข้อเสีย
การระคายเคืองช่องจมูกทั้งสองข้าง ทำให้เยื่อบุจมูกบวมและมีน้ำมูกออกมาอุดท าให้ท่อตันได้
(2) การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก
เป็นการให้ออกซิเจนทางหน้ากากครอบปากและจมูกผู้ป่วย โดยเปิดออกซิเจนเข้าในหน้ากาก วิธีนี้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
Simple maskเป็นชนิดที่ให้ออกซิเจนความเข้มข้นร้อยละ 40-50การปรับอัตราไหลของออกซิเจน5 –8 ลิตร/นาที
Reservoir bag ให้ความเข้มข้นสูงกว่าร้อยละ60–90 ซึ่งสูงกว่าชนิดไม่มีถุงชนิดนี้ออกซิเจนจากเครื่องจะไหลเข้าถุง
Non rebreathing mask อากาศส่วนหน้ากากลักษณะเป็นลิ้นไหลทางเดียว ทั้ง2 ข้าง เพื่อให้อากาศไหลออกสู่ภายนอกอย่างเดียวไหลเข้าไม่ได้ ระหว่างหน้ากากกับถุงมีลิ้นกั้นไม่ให้คาร์บอนไดออกไซด์จากลมหายใจออกเข้าถุงสำรอง และถูกผลักออกทางรูระบายอากาศด้านข้าง
2) ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง
(1)การให้ออกซิเจนชนิดT-piece
เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนผู้ป่วยที่มีท่อทางเดินหายใจทำด้วยพลาสติกเบา เพื่อไม่ให้ดึงรั้งท่อเจาะหลอดลมคอ ลักษณะเป็นท่อสายลูกฟูกเรียกว่า corrugated tube
(2) การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม เป็นอุปกรณ์คล้ายหน้ากากคล้องไว้กับคอ ครอบบนท่อเจาะหลอดลมคอ ออกซิเจนจะไหลเข้าทางรูเปิดขณะหายใจเข้ามีcorrugated tube
(3) การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนที่ครอบตัวผู้ปุวยลักษณะคล้ายเต็นท์ ประกอบด้วยมุ้งพลาสติก มีซิบเปิด-ปิด ครอบบนโครงโลหะ
(4) การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen boxเป็นอุปกรณ์ใช้ครอบศีรษะและไหล่ผู้ป่วยเด็ก ลักษณะเป็นกระโจมหรือกล่องพลาสติกให้ออกซิเจนมีท่อนำออกซิเจนเข้าภายใน
5) การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจเป็นท่อช่วยหายใจซึ่งแพทย์จะใส่ท่อนี้เข้าไปในหลอดลมของผู้ปุวย แล้วต่อเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ
ระบบให้ความชื้น
1) ชนิดละอองโต (Bubble)
ให้ความชื้นในส่วนต้นของทางเดินหายใจ 30–40%สายให้ก๊าซมีขนาดเล็กน้ำจะปุดเป็นฟองเมื่อเปิดให้กับผู้ป่วย
2) ชนิดละอองฝอย (Jet)
ให้ความชื้นในทางเดินหายใจที่อยู่ลึกเหมาะกับผู้ป่วยที่มีเสมหะเหนียว มักเห็นเป็นหมอก สายให้ออกซิเจนมักมีขนาดใหญ่และเป็นลูกฟูก
แหล่งให้ออกซิเจน
1) ถังบรรจุออกซิเจน ก่อนใช้ออกซิเจนจากถังบรรจุออกซิเจน ต้องมีอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการไหลของออกซิเจนออกจากแหล่งจัดเก็บออกซิเจน
2) ระบบท่อก่อนใช้ออกซิเจนจากระบบท่อ ต้องมีอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการไหลของออกซิเจนออกจากแหล่งจัดเก็บออกซิเจนมาตามระบบท่อ
ภาวะบ่งชี้ในการรักษาด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง
5.โรคที่เกิดจากความดัน
6.โรคแผลเรื้อรัง
4.การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อเนื่องจากการถูกบดขยี้
7.โลหิตจางเนื่องจากเสียเลือดจำนวนมาก
3.การติดเชื้อของเนื้อเยื่อจากแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน
8.การติดเชื้อและมีการตายของเนื้อเยื่อ
2.โรคคาร์บอนมอนน็อคไซด์เป็นพิษ/ การสำลักควันไฟ
9.การติดเชื้อเรื้อรังของเยื่อหุ้มกระดูก
1.โรคฟองแก๊สอุดตันในหลอดเลือดแดง
10.การปลูกถ่ายผิวหนังและกล้ามเนื้อ
11.การได้รับบาดเจ็บจากรังสี
12.แผลไหม้จากความร้อน
13.โรคฝีในสมอง
ชนิดและลักษณะของห้องปรับบรรยากาศ
สามารถจุผู้ปุวยนอนได้ครั้งละ 1 คน เท่านั้น
ผู้ป่วยสามารถผ่อนคลาย นอนพัก หรืดูโทรทัศน์ ขณะเข้ารับการรักษา
สามารถทนความกดบรรยากาศได้สูงสุด 3 บรรยากาศ
เพิ่มความกดบรรยากาศด้วยออกซิเจนผู้ปุวยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยในการหายใจ
ลักษณะคล้ายหลอดแก้วใหญ่ทำด้วยพลาสติกอะครีลิคใส ขนาด 0.7 X 2.2 เมตร
มีระบบสื่อสาร ผู้ป่วยสามารถพูดคุยติดต่อกับบุคคลภายนอกได้ขณะเข้ารับการรักษา
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การจัดท่าผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนในเซลล์ต่ำควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง
ผู้ป่วยที่หายใจลำบากทำให้นอนราบไม่ได้ควรจัดท่า orthopnea position เป็นท่าศีรษะสูง
การบริหารการหายใจ
1) การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม
วิธีการปฏิบัติ
แนะนำให้ผู้ปุวยหยุดหายใจช้าๆ
กระตุ้นให้ผู้ปุวยหดเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องไล่อากาศออกจากปอดให้มากที่สุด
สอนผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก
อธิบายให้ผู้ป่วยเป่าลมออกทางปากช้าๆ ประมาณ 2 –3 เท่า
ช่วยเหลือผู้ป่วยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย
หลังจากฝึกปฏิบัติจนชำนาญแล้ว อาจใช้ของหนักประมาณ 5 ปอนด์
ตรวจดูให้แน่ใจว่าจมูก หลอดลม ไม่มีน้ำมูก หรือเสมหะ
ให้ผู้ป่วยฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลมหายใจครั้งละ10–20 นาที ทุกชั่วโมง จนเกิดความเคยชิน
2) การหายใจโดยการห่อปาก
วิธีการปฏิบัติ
แนะนำผู้ป่วยให้หายใจออกทางปากช้าๆ โดยการห่อปาก
อธิบายให้ผู้ป่วยตั้งใจเป่าลมออกทางปากช้าๆ
แนะนำผู้ป่วยให้หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก
ใช้วิธีการหายใจ เมื่อผู้ป่วยมีการหายใจสั้น
ช่วยเหลือผู้ป่วยจัดท่าให้อยู่ในท่าที่สบาย
เนื่องจากหายใจลำบาก ถ้าผู้ป่วยฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
3)การหายใจเข้าลึกๆ
วิธีการปฏิบัติ
3.แนะนำให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ
4.แนะนำผู้ป่วยให้กลั้นหายใจและไอออกแรงๆ
2.รวบตรึงบริเวณผ่าตัดด้วยหมอน
5.เตรียมกระดาษเยื่อและชามรูปไต หรือกระโถนให้ผู้ป่วย
1.จัดท่าให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆและไอได้สะดวก
การดูดเสมหะ(suction)
การได้รับออกซิเจนให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
การช่วยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
จัดท่านอนให้เหมาะสม
กระตุ้นให้ไอบ่อยๆ
การดูดเสมหะออก
การทำpostural drainage
การเพิ่มความสามารถในการขยายตัวของทรวงอกและปอด
จัดให้มีการออกกำลังกายตามความสามารถของผู้ป่วย
ป้องกันอาการท้องอืดที่อาจเกิดขึ้น
กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจลึกๆ บ่อยๆ
ใส่เสื้อผ้าที่สวมสบายให้แก่ผู้ป่วย
จัดท่านอนศีรษะสูง
การเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่เข้าปอด โดยอาจมีการให้ออกซิเจน อาจให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว
การลดความต้องการปริมาณออกซิเจนในร่างกาย เมื่อการเผาผลาญสารอาหารภายในเซลล์มากขึ้นร่างกายจะต้องการออกซิเจนมากขึ้น
การผ่อนคลายความวิตกกังวลโดยแนะนำการทำสมาธิ หรือการนอนใส่หูฟัง ให้ฟังเพลง
วิธีการดูดเสมหะ
2 ชนิด
1.เครื่องดูดเสมหะชนิดเคลื่อนที่
ชนิดติดฝาผนัง
วิธีการดูดเสมหะ
1.การดูดเสมหะทางจมูก
2.การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ
การดูดเสมหะทางปาก
สังเกตลักษณะสีผิว
สังเกตอาการซึมลงของผู้ป่วย
สังเกตอาการเหนื่อย หายใจลำบาก
ประเมินอาการไอมีประสิทธิภาพที่จะขับเสมหะออกได้ลดลง
ฟังเสียงปอดได้ยินเสียงเสมหะ
สังเกตลักษณะเสมหะ เหนียว และมีจำนวนมาก
สังเกตแบบแผนและลักษณะการหายใจค่อนข้างแรงมาก อัตราการหายใจเร็ว
สังเกตอาการอาเจียนหรือขย้อนอาหารอยู่ในปาก
การเตรียมเครื่องใช้
สายดูดเสมหะที่สะอาดปราศจากเชื้อ
ท่อต่อ
สายหล่อลื่นหรือน้ำกลั่น
ไม้กดลิ้นที่สะอาด
เครื่องดูดเสมหะ
ถุงมือสะอาด
oral airway หรือ nasal airway
ขวดน้ำเกลือใช้ภายนอก
วิธีการปฏิบัติการดูดเสมหะทางปาก
หยิบสายดูดเสมหะต่อกับเครื่องดูดเสมหะแล้ว ปรับแรงดันเครื่องดูดเสมหะให้เหมาะสมตามประเภทของผู้ป่วย
ให้ผู้ป่วยช่วยอ้าปาก กรณีไม่รู้ตัวใช้ไม้กดลิ้นช่วยในการอ้าปากผู้ป่วย
จัดท่าผู้ป่วยให้นอนตะแคงศีรษะต่ำเล็กน้อย
ขณะทำการดูดเสมหะ พบว่า ดูดไม่ขึ้นหรือดูดไม่ออกให้หยุดทำการดูดเสมหะไว้ก่อน
สวมถุงมือ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปื้อนเสมหะ
การดูดเสมหะแต่ละครั้งไม่ควรนานเกิน 10วินาที
ล้างมือให้สะอาดใส่mask
การดูดเสมหะแต่ละครั้งไม่ควรนานเกิน 10วินาที
อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจ
9.ล้างสายดูดโดยการดูดผ่านน้ำเกลือใช้ภายนอกเป็นการทำความสะอาดสายดูดเสมหะ 1-2ครั้ง
10.เช็ดทำความสะอาดบริเวณที่มีน้ำเปียก เช็ดน้ำตาผู้ป่วยที่อาจไหลขณะดูดเสมหะ จัดท่าให้ผู้ป่วยสุขสบาย เพื่อให้หายใจได้สะดวก
ถอดสายดูดเสมหะ เก็บของให้เข้าที่เรียบร้อย ถอดถุงมือออกทิ้ง
อาการแทรกซ้อน
3.เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ
อาจเกิดการสำลักจากการกระตุ้น gag reflex หรือจัดท่าผู้ป่วยไม่ถูกต้อง
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
5.ริมฝีปากแห้งเกิดเป็นแผลได้ง่าย
1.แรงกดหรือการระคายเคืองบริเวณรูจมูกและริมฝีปากอาจทำให้เกิดแผล
6.อาจเกิดความผิดปกติในผู้ป่วยโรคหัวใจ
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ขณะ/และหลังการดูดเสมหะ
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าจะมีการหายใจลำบากในขณะดูด
ทำการดูดเสมหะด้วยความเบามือ และนุ่มนวล
บอกให้ผู้ป่วยทราบก่อนว่า “จะทำการดูดเสมหะอย่างเบามือที่สุด ถ้าเจ็บหรือทนไม่ไหวให้ยกมือขึ้น”
หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดทำความสะอาด เก็บของใช้ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าในถึงวัตถุประสงค์และความจำเป็นของการดูดเสมหะ
พูดให้กำลังใจก่อนเดินออกจากเตียงผู้ป่วย
มี 2 วิธี
การเก็บเสมหะส่งตรวจ
การเก็บเสมหะส่งตรวจ
แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
ข้อควรปฏิบัติและต้องคำนึงถึง
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด ออกซิเจนจะก่อพิษในปอดได้หากได้รับในระยะเวลานาน คือ 24 –48 ชั่วโมง และความเข้มข้นของก๊าซ มากกว่าร้อยละ60อาการเป็นพิษนี้พบได้ตั้งแต่อาการระคายเคืองของหลอดลม
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา คือ การได้รับออกซิเจนความเข้มข้นสูงเป็นระยะเวลานานๆ จะเกิดกับหลอดเลือดหลังเลนส์เปลี่ยนแปลง
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากออกซิเจนเป็นก๊าซแห้ง เมื่อผ่านเข้าในระบบทางเดินหายใจจะทำให้เยื่อบุแห้ง
5.อาจเกิดการหยุดหายใจ ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ศูนย์การหายใจจะไม่เป็นตัวควบคุมการหายใจ แต่ใช้ chemoreceptor reflex เป็นตัวควบคุมแทน โดยใช้ภาวะการขาดออกซิเจน เป็นตัวเร่งให้เกิดการหายใจ
1.อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนการให้ออกซิเจนอุปกรณ์ที่ใช้มีโอกาสก่อให้เกิดการติดเชื้อได้
6.อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิดเพราะการสันดาป
หลักปฏิบัติในการให้ออกซิเจนชนิดต่าง ๆ
1.ล้างมือให้สะอาด สวมmask เพื่อปูองกันการนำเชื้อเข้าสู่ผู้ป่วย
2.ประเมินสัญญาณชีพ
ใส่flow meter กับแหล่งที่มาของออกซิเจนที่มาจากชนิดผนัง
ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อ ให้ระดับน้ำอยู่ตรงตำแหน่งขีดที่กำหนดข้างกระบอกป้องกันไม่ให้ flow meter เสียหรือน้อยกว่าขีด
ปรับระดับลูกลอยใน flow meter จะได้ปริมาณของออกซิเจนมีหน่วยเป็นลิตรต่อนาทีตามที่ต้องการ
หมุนปุ่มเปิด flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนทิ้งไว้ 1–2 นาทีเพื่อทดสอบว่ามีออกซิเจนไหลผ่าน และได้ปริมาณตามแผนการรักษาทุกครั้งก่อนสวมอุปกรณ์ให้ผู้ป่วย
กรณีให้ nasal cannula
ทำความสะอาดช่องจมูกทั้งสองข้างและทุก 8 ชั่วโมงเพื่อให้ช่องจมูกโล่งทำให้ได้รับออกซิเจนปริมาณถูกต้อง
สวมเขี้ยวเข้าในช่องจมูกทั้ง 2 ข้างโดยให้ส่วนโค้งแนบไปกับโพรงจมูก คล้องสายกับใบหู2ข้าง ปรับสายให้พอดีไว้ใต้คาง หรืออ้อมรอบศีรษะ เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งป้องกันเลื่อนหลุด
กรณีให้ mask
simple mask ครอบหน้ากากบริเวณสันจมูกและปากให้แนบสนิทปรับสายคล้องทัดเหนือใบหูรอบศีรษะ จัดให้พอดีป้องกันการรั่วของออกซิเจน
ชนิดมีถุง เปิดออกซิเจนไหลผ่านถุง 10 -20 ลิตร/นาที จนถุงโปุงเต็มที่เพื่อไล่ก๊าซอื่นที่ค้างในถุงออกรวมทั้งทดสอบถุงไม่รั่วแล้วจึงใส่เหมือน simple mask
กรณีให้ oxygen hood (oxygen box)
ต่อท่อออกซิเจนเข้ากับกล่อง
วางครอบเฉพาะศีรษะและไหล่ ระวังไม่ให้สายอยู่ใกล้หน้าเด็ก ให้ออกซิเจนในปริมาณพอเพียงและไม่ให้ออกซิเจนระคายเคืองตาเด็ก
กรณีให้ T-piece
ควรดูดเสมหะออกก่อนเพื่อให้ออกซิเจนไหลผ่านหลอดลมคอได้สะดวก
ต่อสาย T –piece ครอบท่อหลอดลมคอ จัดสายไม่ให้เกิดภาวะดึงรั้งกรณีผู้ปุวยที่ได้รับยาในรูปการสูดละอองยาเข้าทางเดินหายใจโดยตรง
ลงบันทึกทางการพยาบาล ได้แก่ อาการ สัญญาณชีพปริมาณออกซิเจนที่ให้อุปกรณ์ที่ใช้และปฏิกิริยาผู้ป่วยเมื่อได้รับออกซิเจน
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การประเมินภาวะสุขภาพ
S : “ผู้ป่วยบอกว่าหายใจไม่สะดวก”
O : หญิงไทยสูงอายุ ป่วยเป็นโรคชราและความจำเสื่อมนอนติดเตียงอ่อนเพลียซีดเล็กน้อยรูปร่างผอมบาง ช่วยเหลือตนเองได้น้อยon O2 cannula2 lit/min
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
ข้อมูลสนับสนุนผู้ป่วยมีเสมหะสีเหลืองข้น
การวางแผนการพยาบาล
วัตถุประสงค์
เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย2 lit/min ตามแผนการรักษาและไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
เกณฑ์การประเมินผล
อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16-24 ครั้ง/นาทีลักษณะการหายใจปกติ
ผลเลือด Hb = 12 -16 g/dl และHct = 37 -47 %
ไม่มีพบอาการของภาวะพร่องออกซิเจน เช่น หายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียวและค่า O2 sat ≥ 95%
ฟังปอด พบ ทางเดินหายใจโล่งไม่มีเสมหะ
ผู้ป่วยได้รับO2cannula2 lit/min และปลอดภัย
การวางแผน
การวางแผนวางแผนให้การผู้ป่วยได้รับออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 2 lit/min ตามแผนการรักษาและมีความปลอดภัยขณะได้รับการออกซิเจนและจัดเตรียมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนชนิด cannula
การปฏิบัติการพยาบาล
ประเมินสภาพผู้ป่วยก่อนได้รับออกซิเจน
ปรับออกซิเจนให้ได้ 2 lit/min แล้วจัดให้สายcannula อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมคล้องสายกับหูทั้งสองข้างให้พอดี
จัดสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย
จัดท่านอนศีรษะสูงเพื่อทำให้กระบังคมเคลื่อนต่ำลง ปอดขยายตัวได้เต็มที่เพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซมากขึ้น
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ
วัดvital signsทุก 4 ชมเพื่อการประเมินสัญญาณชีพจะช่วยให้ทราบความรุนแรงของภาวะพร่องออกซิเจน
7.ประเมิน O2saturation ทุก 2 ชม.เพื่อเป็นการวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ติดตามผลเลือด
ดูแลส่งเสริมการพักผ่อนและการนอนหลับผู้ป่วยให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
ให้การพยาบาลด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เพื่อลดความวิตกกังวลและความกลัว
5.การประเมินผลการพยาบาล
ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
3) ไม่มีพบอาการของภาวะพร่องออกซิเจน และค่า O2sat ไม่น้อยกว่า 95%
4) อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16-24 ครั้ง/นาทีลักษณะการหายใจปกติ
2) ผู้ป่วยได้รับO2 cannula2 lit/min และปลอดภัย
5) ผลเลือด Hb = 12 -16 g/dl และHct = 37 -47 %
1) ประเมินความสุขสบายของผู้ป่วย
6) ฟังปอด พบ fine Crepitation at Right lower lobeลดลง
ประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
1) ประเมินการปฏิบัติถูกต้องครบและเป็นไปตามขั้นตอนของการปฏิบัติ
2) ประเมินการจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ครบถ้วนเพียงพอหรือไม่
ประเมินผลคุณภาพการบริการ
ประเมินคุณภาพของการให้บริการข้อ5.2 และข้อ 5.3 ทุกข้ออยู่ในระดับใด(โดยการให้คะแนนระดับดีมาก–ดี–ปานกลาง-ปรับปรุง)