Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
การแลกเปลี่ยนก๊าซเกิดจาก ความเข้มข้นที่ต่างกันของก๊าซระหว่่างบรรยากาศและในเส้นเลือด ทำให้เกิดการซึมผ่านเยื่อเลือกผ่านที่ผนังถุงลมและหลอดเลือด และเข้าไปในเลือด
แบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วน
1.
การทำงานของเม็ดเลือดแดง
มีหน้าที่ ขนส่งก๊าซ ในเซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีส่วนประกอบที่เป็น Hemoglobin มีหน้าที่ จับก๊าซเพื่อการขนส่ง
2.
ความดันออกซิเจน
ทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ โดยมีเลือดเป็นตัวกลางในการส่งผ่านออกซิเจนสู่เซลล์ ส่วนเม็ดเลือดแดงจะเป็นถังเก็บออกซิเจนที่จะค่อยๆ ปล่อยออกมาเรื่อยๆ
3.
การหมุนเวียน
เพื่อกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดยใช้ hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
CO2 + H2O = H2CO3 และแตกตัวเป็น H+ กับ HCO3
ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับออกซเจนของบุคคล
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง
การเล่นกีฬาหรือการออกกำลังกายหนักๆ
ความเครียด
อาหารที่มีไขมันมาก
ผู้สูงอายุ
การสูบบุหรี่
การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกาย
: ใช้เทคนิคสังเกต และการประเมินสัญญาณชีพ
ระบบทางเดินหายใจ
หายใจไม่สะดวก หายใจลำบากเมื่อนอนราบ ต้องนั่งหายใจหลังจากนอนหลับไปแล้วระยะหนึ่งต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจ กระสับกระส่าย หายใจไม่สม่ำเสมอ หายใจเข้าลึกกว่าหายใจออก เมื่อหายใจเข้าจะมีเสียงดัง
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นในระยะแรก ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง เจ็บหน้าอก และหัวใจหยุดเต้นในระยะสุดท้าย
ระบบประสาทส่วนกลาง
ความรู้สึกตัวของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะ เพ้อ หมดสติ ชัก
ระบบผิวหนัง
ระยะแรก ผิวหนังเย็น ซีด ต่อมาพบอาการเขียวคล้ำ เห็นชัดบริเวณริมฝีปาก เล็บมือเล็บเท้า และเสียชีวิตในที่สุด
ระบบทางเดินอาหาร
คลื่นไส้ อาเจียนในระยะแรก
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เป็นการเจาะเลือด เพื่อประเมินการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และหลอดเลือด
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG)
: เป็นการตรวจเพื่อหาประสิทธิภาพการทำงานของปอด เพื่่อประเมินความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการหายใจ ค่าเหล่านี้บอกถึงความสามารถของ Hemoglobin ในการจับออกซิเจนเข้าสู่เซลล์และนำคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเซลล์
pH
เป็นตัวชี้วัดความเป็นกรด-ด่างของร่างกาย
PaCO2
เป็นการวัดความดันของ CO2 ในเลือด
PaO2
บ่งชี้ถึงปริมาณของ O2 ในเลือดที่จับกับ Hemoglobin
Mild hypoxemia มีค่าระหว่าง 60-80 mmHg
Moderate มีค่าระหว่าง 40-60 mmHg
Severe hypoxemia มีค่าน้อยกว่า 40 mmHg
HCO3
เป็นการวัดค่าความเข้มข้นไฮโดรเจนไอออน (HCO3-) ในเลือดที่ช่วยบอกการทำงานของไต หรือความเป็นกรดด่างในร่างกายได้
SaO2
เป็นค่าเปรียบเทียบระหว่าง Hemoglobin ที่มี O2 ที่อิ่มตัวกับความสามารถสูงสุดของ Hemoglobin ที่จะจับกับ O2 ได้
การแปลผลภาวะระบบทางเดินหายใจเป็นกรดเฉียบพลัน (Acute respiratory acidosis)
ค่า pH ต่ำกว่าปกติ ค่าPaCO2 ต่ำกว่าปกติ ค่าHCO3 ปกติ
อาการและอาการแสดง
คือ hypoventilation จะมีอาการง่วงเหงาหาวนอน ประสาทสัมผัสดปลี่ยนแปลงไป ระดับความรู้สึกตัวลดลงจนถึงไม่รู้สึกตัว หัวใจเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ
การแปลผลภาวะระบบทางเดินหายใจเป็นด่างเฉียบพลัน (Acute respiratory alkalosis)
ค่า pH สูงกว่าปกติ ค่าPaCO2 ต่ำกว่าปกติ ค่าHCO3 ปกติ
อาการและอากการแสดง
คือ Hyperventilation หัวใจเต้นเร็ว ประสาทสัมผัสเปลี่ยนแปลงไป มีอาการชาตามมือตามหน้า ระดับความรู้สึกตัวลดจนไม่รู้สึกตัว หายใจไม่เป็นจังหวะ
การแปลผลภาวะการเผาผลาญเป็นกรดเฉียบพลัน (Acute metabolic acidosis)
ค่า pH และค่า HCO3 ต่ำกว่าปกติ PaCO2 ปกติ
อาการและอาการแสดง
ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ประสาทสัมผัสเปลี่ยนไป มีอาการสั่นกระตุก ชัก
การแปลผลภาวะการเผาผลาญเป็นด่างเฉียบพลัน (Acute metabolic alkalosis)
ค่า pH และค่าHCO3 สูงกว่าปกติ ค่าPaCO2 ปกติ
อาการและอาการแสดง
คล้ายกับ metabolic acidosis แต่ไม่มีอาการปวดศีรษะ
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation)
: ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดปกติอยู่ระหว่าง 98-99% หากวัด SPO2 ได้ < 90% จำเป็นต้องได้รับการรักษา
ยกเว้น
ผู้ป่วยCOPD
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin:Hb)
: ค่าปกติใน
ผู้หญิง
11.5-16.5 gm% และใน
ผู้ชาย
13.0-18 mg%
สาเหตุของ hypoxia และหรือ hypoxemia
พบความผิดปกติจากระบบต่างๆ
ระบบทางเดินหายใจ
ระบบกัวใจและหลอดเลือด
โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อย
ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติ
ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ การบาดเจ็บของสมอง และการได้รับยาที่กดการหายใจ
ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดส่วนนอกและช่องท้อง
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
อาการไอ (Cough)
เริ่มจากการที่มีสิ่งกระตุ้นตัวรับสัญญาณการไอ หรือมีการระคายเคืองในบริเวณทางเดินหายใจล่วนบนและส่วนล่าง โดยจะรับการกระตุ้นเส้นประสาทสมองคู่ที่10 ป็นหลักไปยังศูนย์ควบคุมการไอในสมองเมดุลลา ซึ่งจะมีการควบคุมลงมายังกล้ามเนื้อและอวัยวะที่เกี่ยวข้องระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการตีบแคบของหลอดลม ส่งผลให้เกิดการไอขึ้น
สาเหตุ
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ
ฝุ่น ควัน สารเคมี หรืือการสำลักเข้าไป
ความร้อน - ความเย็นของอากาศ
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ
ไอมีเสมหะ
เสมหะเป็นหนอง: เกิดจากการติดเชื่อในทางเดินหายใจ
เสมหะไม่เป็นหนอง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ประเมินประสิทธิภาพการไอ
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่ และระยะเวลาของการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจำนวน ลักษณะ สี และกลิ่นของเสมหะด้วย
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน และสิ่งแวดล้อม
กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ และปริมาณมาก
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
Hmoptysis อาการไอเป็นเลือด
การมีเลือดออกจากทางเดินหายใจตั้งแต่กล่องเสียงลงไป ไม่รวมเลือดกำเดา
ชนิด
ไอจนมีเลือดสดออกมา
ไอจนมีเลือดปนออกมา คือ มีเสมหะและเลือดเป็นเนื้อเดียวกัน
ไอจนมีเลือดออกมาเป็นสาย คือเลือดกันเสมหะไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม
สาเหตุ
อุบัติเหตุ
การอักเสบ หรือมีแผลในคอ กล่องเสียง หลอดลมใหญ่ และเนื้อปอด
เนื้องอก และมะเร็ง
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคต่างๆ
การพยาบาล
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ประเมินชีพจร หายใจ ความดันโลหิต เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรงของการเสียเลือด
ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องให้เลือด และพยาบาลต้องเฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้มีการหายใจเร็วขึ้น พยาบาลต้องคอบปลอบโยน ให้กำลังใจ และให้การดูแลจนผู้ป่วยควบคุมตัวเองได้
Hiccup การสะอึก
เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างช่องปอดและช่องท้อง ทำให้เกิดการหายใจเอาอากาศเข้้าไปก่อนและจะหยุดหายใจเข้าทันทีทันใด
สาเหตุ
กินอิ่มมากเกินไป
ดื่มเครื่องดื่มจำพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส
ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
สูบบุหรี่จัด
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที
หายใจเอาควันต่างๆเข้าไป
ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
มีก้อนในลำคอ
ปัญหาทางจิตใจ หรืออารมณ์
การพยาบาล
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพักๆ
เบี่ยงเบนความสนใจ
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม
Dyspnea อาการหายใจลำบาก
อาการที่ผู้ป่วยต้องใช้ความพยายามหรือใช้แรงในการหายใจ
สาเหตุ
เกี่ยวกับทางเดินหายใจ
เกี่ยวกับหัวใจ
เกี่ยวกับประสาท
การพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
ดูแลประคับประคองด้านจิตใต และประเมินสํญญาณชีพตามความเหมาะสม
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอยเพื่อให้หายใจสะดวก
ฝึกผู้ป่วยหายใจและไออย่างมีประสิทธิภาพ
Chest pain อาการเจ็บหน้าอก
สาเหตุ
กล้ามเนื้ออักเสบ
เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
เยื้อหุ้มหัวใจอักเสบ
หัวใจ
หลอดลมอักเสบ
เส้นประสาท
การพยาบาล
สังเกตอาการ
ประเมินสาเหตุของอาการ
จัดเตรียมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
วิตกกังวล กระสับกระส่าย
ระดับการมีสมาธิลดลง
ระดับความรู้สึกตัวลดลง
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น
เวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น
ช่วงแรกหายใจเร็วลึก ต่อมาหายใจสั้นตื้น
ความดันโลหิตลดลง
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ภาวะซีด
มีอาการเขียวคล้ำ
ภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุ้ม
อาการหายใจลำบาก
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซเจนในเลือดต่ำ
เป็นการลดอาการขาดออกซเจนเรื้อรัง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
ข้อบ่งชี้ในการให้ออกซิเจน
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน
การทำผ่าตัด
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ป่วยที่หายใจเอง
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ ออกซิเจนเป็นพิษ หรือกดการทำงานของ cilia
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่ได้รับพิษจาก paraquat
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจน
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซเจน
การพยาบาล
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
ตรวจวัดสัญญาณชีพ
ความผิดปกติของสีผิว
ระดับความรู้สึกตัว
วัดปริมาณหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง
ติดตามผลค่าก๊าซให้ออกซเจน
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซเจน
ตรวจดูสายยาง
ขวดทำความชื้นมีน้ำอยู่พอเหมาะ
ออกซิเจนไม่รั่ว
ออกซิเจนถัง จะต้องมีออกซิเจนอยู่เสมอ
เปลี่ยนและทำความสะอาดอุปกรณ์ให้ออกซิเจน
ดูให้ flow meter เสียบเข้าที่
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ
การจัดท่านอน ท่านั่ง
ดูดเสมหะที่ต้างเป็นระยะๆ
สอนการไออย่างถูกวิธี
กระตุ้นให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ
จิบน้ำบ่อยๆ
ล้างปากด้วยน้ำยา กรือบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด
ทาริมฝีปากด้วย กลีเซอรีน บอแรกซ์
ทำความสะอาดช่องจมูก
ดูแลความสะอาดบริเวณหน้า
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
บอกประโยชน์ของการรับออกซิเจน
พยาบาลควรมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือ
แนะนำ อธิบายให้ผู้ป่วยรู้จักเครื่องมือต่างๆได้ง่าย
ดูแลควบคุมอัตราการไหลของออกซิเจนนให้เพียงพอ
สนใจ รับฟังความต้องการของผู้ป่วยอย่างจริงจัง
ให้เวลาผู้ป่วยในการพูดคุย สัมผัสผู้ป่วยบ้างและรีบดูแลทันทีที่ผู้ป่วยขอความช่วยเหลือ
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่างๆ
ระบบให้ออกซิเจน
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ
การให้ออกซิเจนชนิดเขี้้ยว (nasal cannula): ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนที่มีความเข้มข้นต่ำ
การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก (mask): มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะจะได้รับออกซิเจนที่มีความเข็มข้นสูง
simple mask
Reservoir bag
Non rebreathing mask
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system)
การให้ออกซิเจนชนิดT-piece
การมห้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม (tracheostomy collar)
การให้ออกซิเจนชนิด Croupette tent
การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box
การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube: ET)
ระบบให้ความชื้น
ชนิดละอองโต (Bubble)
ชนิดละอองฝอย (Jet): เหมาะกับผู้ป่วยที่มีเสมหะเหนียว
แหล่งให้ออกซิเจน (Oxygen source)
ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank)
ระบบท่อ (Oxygen pipeline)
ภาวะบ่งชี้ในการรักษาด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง
โรคฟองแก๊สอุดตันในหลอดเลือดแดง
โรคคาร์บอนมอนน็อคไซด์เป็นพิษ/ การสำลักควันไฟ
การติดเชื้อของเนื้อเยื่อจากแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน
การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อเนื่องจากการถูกบดขยี้
โรคที่เกิดจากความดัน
โรคแผลเรื้อรัง
แผลเบาหวาน
แผลจากการกดทับ
แผลจากการไหลเวียนหลอดเลือดดำหรือหลอดเลือดแดงไม่ดี
โลหิตจางจากเนื่องจากเสียเลือดจำนวนมาก
การติดเชื้อและมีการตายของเนื้อเยื่อ
การติดเชื้อเรื้อรังของเยื่อหุ้มกระดูด
การปลูกถ่ายผิวหนังและกล้ามเนื้อ
การได้รับบาดเจ็บจากรังสี
กระดูกและเนื้อเยื่อตายเนื่องจากได้รับรังสี
เนื้อเยื่อตายเนื่องจากได้รับรังสี
ฟันผุเนื่องจากได้รับรังสี
แผลไหม้จากความร้อน
โรคฝีในสมอง
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
การจัดท่าผู้ป่วย
: ควรจัดอยู่ในท่าศีรษะสูง (high fowler' s position)
การบริหารการหายใจ
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม (diaphragmatic breathing)
การหายใจโดยการห่อปาก (pursed - lip breathing)
การหายใจเข้าลึกๆ (deep breathing)
การดูดเสมหะ
วิธีการดูดเสมหะ
การดูดเสมหะทางจมูก หรือปาก
การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ หรือทางหลอดคอ
อาการแทรกซ้อน
แรงกดหรือการระคายเคืองบริเวณรูจมูกและริมฝีปากปาจทำให้เกิดแผล
มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ
อาจเกิดการสำลัก
ริมฝีปากแห้งเกิดแผลได้ง่าย
อาจเกิดความผิดปกติ เกิดภาวะความดันในสมองสูง
การพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตใจก่อน/ ขณะ/ และหลังการดูดเสมหะ
แสดงท่าทางสุภาพอ่อนโยน
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจในวัตถุประสงค์และความจำเป็นของการดูดเสมหะ
บอกให้ผู้ป่วยทราบก่อนว่า จะทำอย่างเบามือที่สุด ถ้าทนไม่ไหวให้ยกมือขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย และร่วมมือ
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าจะมีการหายใจลำบากในขณะดูด แต่จะดีขึ้นภายหลังเอาสายออก
ทำกรดูดเสมหะด้วยความเบามือ และนุ่มนวล
หลังดูดเสมหะเสร็จเช็ดทำความสะอาด เก็บของใช้ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย
พูดให้กำลังใจก่อนเดินออกจาดเตียงผู้ป่วย
การเก็บเสมหะ
การเก็บเสมหะส่งตรวจ (Sputum examination)
กรณีผู้ป่วยไอขับเสมหะได้เอง
ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆ แล้วไอออกมา
กรณีผู้ป่วยไม่สามารถขับเสมหะออกเองได้
: ใช้การดูดเสมหะลงภาชนะสะอาดปราศจากเชื้อชนิดมีฝาปิด
การตรวจเสมหะแบบเพาะเชื้อ (Sputum culture)
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน
อาจทำให้เยื้อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา
อาจเกิดการหยุดหายใจ
อาจเกิดอุบัติเหตุจากการเกิดไฟ้ไหม้หรือระเบิด