Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ - Coggle Diagram
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การตกขาวผิดปกติ
การตกขาวจากการติดเชื้อรา (Vulvovaginal candidiasis)
ปัจจัยและปัจจัยเสี่ยง
การรับประทานยาปฏิชีวนะเพือการรักษาบางชนิดอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการทำลายเชื้อแบคทีเรีย lactobacillus ที่มีหน้าที่ฆ่าเชื้อราในช่องคลอด ทำให้มีโอกาสทำให้เชื้อราในช่องคลอดเจริญเติบโต เกิดการอักเสบในช่องคลอดและปากช่องคลอด
การได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์ และได้รับยากดภูมิต้านทานของร่างกายลดลง
การรับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมาก
การใส่แผ่นอนามัยโดยไม่เปลี่ยนระหว่างวัน หรือไม่สะอาด
อาการและอาการแสดง
มีอาการคันและระคายเคืองมากในช่องคลอดและปากช่องคลอด
ช่องคลอดอักเสบ ปละบวมแดงแต่ปากมดลูกปกติ ตกขาวมีลักณะสีขาวขุ่น อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหมือนมตกตะกอน (curd-liked discharge)
มีอาการปัสสาวะลำบาก และแสบขัดตอนสุด (external dysuria)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ทำให้อาการติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นมากขึ้นเป็น 2 เท่า มีความระคายเคือง คันช่องคลอดมากขึ้น การติดเชื้อราในช่องคลอดทั้งแบบไม่มีอาการและมีอาการ ไม่มีผลเสียต่อการตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อทารก
ทารกที่คลอดทางช่องคลอดจากมารดาที่มีการติดเชื้อราในช่องคลอด จะเป็นเชื้อราในช่องปาก (Oral thrush) ได้มากกว่าปกติ 2-3 เท่า
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติ ประวัติอาการและอาการแสดง ระยะเวลาที่แสดงอาการ
การตรวจร่างาย การตรวจภายใพบช่องคลอดบวมแดง และตกขาวมีลักษณะขุ่นรวมตัวกันเป็นก้อนเหมือนนมตกตะกอน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจด้วยวิธี wet mount smear จะพบเซลล์ของยีสต์และเส้นใยของเซลล์เชื้อรา pH น้อยกว่า 4.5
การตรวจด้วยวิธีแกรมสเตน จะพบลักษณะเป็นเหมือนเส้นด้ายและมีรูปร่างเหมือนยีสต์
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์ เข้าใจสาเหตุของการติดเชื้อ และการดูแลตนเองให้มีอาการสุขสบายขึ้นจากอาการคันในช่องคลอด และปากช่องคลอด
แนะนำการใช้ยาทา และยาเหน็บช่องคลอดตามแพทย์สั่ง
การทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ระยะคลอด
สามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนลดลง อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดจะดีขึ้น
การดูแลมารดาหลังคลอดเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
สามารถเลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยต้องล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ (vaginal trichomoniasis)
อาการและอาการแสดง
ลักษณะของตกขาวมีสีขาวปนเทา หรือสีเหลืองเขียว ตกขาวเป็นฟอง (faomy discharge) มีกลิ่นเหม็น
มีอาการระคายเคืองที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด ปากช่องคลอดบวมแดง และอาจทำให้ปากมดลูกอักเสบมีจุดเลือดออกเป็นหย่อม ๆ (Stawberry spot flea bitten cervix)
อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัดหรือบ่อย ปวดแสบปวดร้อนบริเวณต้นขาด้านใน
เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด มีความสัมพันธ์กับภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกคลอดก่อนกำหนด และทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ
การมีตกขาวจำนวนมาก เป็นฟอง มีกลิ่นเหม็น ร่วมกับอาการคัน
การตรวจร่างกาย การตรวจภายนอกในช่องคลอด พบตกขาวเป็นฟองสีเหลืองเขียว อาจพบจุดเลือดแแกเป็นหย่อม ๆ ที่ผิวปากมดลูก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วย wet mount smear จะพบเม็ดเลือดขาวจำนวนมาก
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ให้คำแนะนำและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
แนะนำการเหน็บยา หรือการรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
แนะนำให้สามีมารับการรักษาพร้อมกัน
ระยะคลอด
ให้การพยาบาลผู้คลอดในระยะคลอด โดยให้คลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลเหมทอนมารดาหลังคลอดทั่วไป
แนะนำให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์และดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเสมอ
การตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (bacterial vaginosis)
อาการและอาการแสดง
มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อนทางปากช่องคลอด ในช่องคลอด ถ่ายปัสสาวะลำบาก แสบขัด เจ็บขฯะร่วมเพศ ตกขาวสีขาว สีเทา หรือสีเหลือง ข้นเหนียว มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา (fishy smell)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ถ้าไม่ได้รักษาอาจทำให้มีการติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น
อาจทำให้เกิดการแท้งติดเชื้อ (septic abortion)
มารดาหลังคลอดอาจมีไข้ ปวดท้องมากและมีอาการแสดงของเยื่อบุมดลูกอักเสบ (endometritis)
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย และทารกคลอดก่อนกำหนด ซึ่งอาจตรวจพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียในหลอดลม ทำให้มีภาวะหายใจลำบาก
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ
ประวัติการมีตกขาวจำนวนมาก
ปวดแสบปวดร้อนบริเวณปากช่องคลอดและในช่องคลอด
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางช่องคลอดและทำการ pap smear จะพบเชื้อแบคทีเรีย
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจ Wet smear โดยการหยด 10% Potassium Hydroxide (KOH) ลงไปบนตกขาว 2 หยดแล้วคนให้เข้ากันจะได้กลิ่นเน่าเหมือนปลาคาว
การเพาะเชื้อ (Culture) ตกขาวใน columbia agar ที่มีเลือดเป็นส่วนผสมหรือมี 5%CO2 ใช้เวลา 3 วันเชื้อแบคทีเรียจะโตขึ้นเป็นกลุ่มเล็ก
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ให้คำแนะนำและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ และเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ไม่ให้อับชื้นโดยใช้น้ำธรรมดา หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ซึ่งอาจไปทำลายเชื้อโรคประจำถิ่นได้
ระยะคลอด
ผู้คลอดสามารถคลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ โดยให้การพยาบาลเหมือนผู้คลอดทั่วไป
ระยะหลังคลอด
ให้การดูแลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยเน้นเรื่องการล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
เน้นการทำความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ให้สะอาดและแห้งเสมอ
ซิฟิลิส (Syphilis)
พยาธิสภาพ
ภายหลังได้รับเชื้อสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เป็นแผลถลอก ร่างกายจะสร้าง antibody ต่อเชื้อชนิด IgM และ IgG ขึ้นมา เชื้อจะแบ่งตัวทำให้บริเวณผิวหนังหรือบริเวณเนื้อเยื่อเชื้อผ่านเข้าไปจะเกิดการระคายเคือง lymphocyte และ plasma cell reaction มาล้อมรอบเนื้อเยื่อที่มีการอักเสบทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวและบวม
อาการและอาการแสดง
ซิฟิลิสระยะแรก หรือระยะที่หนึ่ง (primary stage) หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วัน จะเกิดแผล กลม นิ่ม ขอบนูนแข็ง ไม่เจ็บ เรียกว่าแผล chancre บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกหรือในช่องคลอดและปากมดลูก
ซิฟิลิสระยะที่สอง (secondary stage) จากแผลหายจะพบผื่นกระจายทั่วร่างกาย ฝ่ามือฝ่าเท้า โดยผื่นที่พบบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์จะยกนูน ร่วมกับมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ ปวดศีรษะ น้ำหนักลด
ระยะแฝง (latent syphilis) ระยะนี้จะไม่มีอาการใด ๆ เชื้อยังดำเนินอยู่และสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ อาจมีการกำเริบของโรคได้
ซิฟิลิสระยะที่ 3 หรือระยะท้ายของโรคซิฟิลิส (tertiary syphilis) เชื้อจะเข้าไปทำลายระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิด aprtic aneurysm และ aortic insuffciency ถ้าเชื้อเข้าสู่ระบบประสาทจะเกิดผิวหนังอักเสบ กระดูกผุ เยื่อบุสมองอักเสบ และเสียชีวิตในที่สุด
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่ออักเสบ คลอดก่อนกำหนด และแท้งบุตร
ผลกระทบต่อทารก
ทารกคลอดก่อนกำหนด ตายคลอด ทารกแรกเกิดติดเชื้อซิฟิลิส (neonatal syphilis) ทารกพิการแต่กำเนิดโดยอาจพบความพิการของตับม้ามโต ทารกตัวบวมน้ำ ตัวเหลือง
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ
ประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อซิฟิลิส
การตรวจร่างกาย
กรณีมีอาการและอาการแสดงอาจตรวจพบไข้ต่ำๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ตรวจอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกพบแผลที่มีลักษณะขอบแข็ง กดไม่เจ็บ อาจพบผื่นบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระยะที่เป็นแผลสามารถวินิจฉัยโดยการตรวจเลือด
หากไม่มีแผลหรือผื่น การวินิจฉัยทำโดยการตรวจเลือด
การตรวจหา antibody ที่ไม่จำเพาะต่อเชื้อ (nontreponemal test)
การตรวจหา antibody เพื่อยินยันการติดเชื้อซิฟิลิส ที่จำเพาะต่อเชื้อ Treponema pallium โดยตรง
การคัดกรองส่วนใหญ่นิยมใช้การตรวจด้วยวิธี VDRL จะต้องตรวจซ้ำเมื่ออายุ 28-32 สัปดาห์
แนวทางการรักษา
การรักษาเป็นแนวทางเดียวกับสตรีที่ติดเชื้อซิฟิลิสขณะไม่ตั้งครรภ์
ให้ยา Penicillin G ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาซิฟิลิสในสตรีตั้งครรภ์ และป้องกันการติดเชื้อของทารก
การรักษาในระยะ primary, secondary และ early latent syphilis รักษาด้วย Benxathine Penicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกครั้งเดียว
หนองใน (Gonorrhea)
พยาธิสภาพ
เมื่อเชื้อ Neiseria gonorrheae เข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปเกาะติดกับเซลล์เยื่อบุและเซลล์ขับเมือก ส่งผลให้เนื้อเยื่ออักเสบเป็นหนอง ซึ่งตำแหน่งที่มักพบการอักเสบคือ เยื่อเมือกบริเวณปากมดลูก ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ ถ้าเชื้อเข้าสู่เชิงกรานจะไปทำลายถุงน้ำคร่ำทำให้ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด เกิดการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด น้ำคร่ำติดเชื้อ โพรงมดลูกอักเสบ อุ้งเชิงกรานอักเสบ
อาการและอาการแสดง
มีการอักเสบของปากมดลูกและช่องคลอดทำให้ตกขาวเป็นหนองข้มปริมาณมาก อาจพบการกดเจ็บบริเวณต่อบาร์โธลิน (bartholin's gland) หากมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างจะพบอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกระปิดกระปรอย เป็นหนองข้น และปัสสาวะเป็นเลือด
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ไม่มีอาการ มีบุตรยาก กรณีที่มีอาการขณะตั้งครรภ์จะทำให้น้ำคร่ำอักเสบและติดเชื้อ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด แท้งบุตร และการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารก
บริเวณเยื่อเมือกที่ตาของทารก ทำให้เกิดตาอักเสบ (gonococcal ophalmia neonatorum) และอาจเป็นสาเหตุให้ตาบอดได้ หากทารกแรกเกิดกลืนหรือสำลักน้ำคร่ำที่มีเชื้อหนองในเข้าไปจะทำให้ช่องปากอักเสบ หูอักเสบ กระเพาะอาหารอักเสบได้
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ
ประวัติการมีเพศัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อหนองใน
ประวัติเคยป่วยด้วยโรคหนองในมาก่อน
การตรวจร่างกาย
ตรวจทางช่องคลอดจะพบหนองสีขาวขุ่น บางรายอาจพบเลือดปนหนอง หากมีการอักเสบมากขาหนีบจะบวม กดเจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลิน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจขั้นต้นโดยการเก็บน้ำเหลืองหนองจากส่วนที่มีการอักเสบมาย้อมสีตรวจ gram stain smear
แนวทางการรักษา
ตรวจคัดกรองขณะตั้งครรภ์ตามปกติ (VDRL)
หากพบว่ามีเชื้อให้ยา ceftriaxone, azithromycin, penicillin ได้ทั้งรับประทานและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ทารกแรกเกิดทุกรายควรได้รับยาป้ายตาคือ 1% tetracycline หรือ 0.5% erythromycin ointment
การติดเชื้อเริม (Herpes simplex)
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ผิวหนังเป็นตุ่มน้ำใส เล็ก ๆ จำนวนมาก เมื่อตุ่มน้ำแตก หนังกำพร้าจะหลุดพร้อมกับทำให้เกิดแผลตื้น ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่แผล ขณะเดียวกันเชื้อก็จะเดินทางไปแฝงตัวที่ปมประสาท และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ
อาการและอาการแสดง
อาการของการติดเชื้อปฐมภูมิมักเกิด 3-7 วันหลังการสัมผัสเชื้อ มีอาการปวดแสบปวดร้อน และคันบริเวณที่สัมผัสโรค กลายเป็นตุ่มน้ำใส ๆ แล้วแตกกลายเป็นแผลอยู่ 2 สัปดาห์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อครั้งแรกขณะตั้งครรภ์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ส่วนการติดเชื้อซ้ำขณะตั้งครรภ์มีผลกระทบค่อนข้างน้อย
ผลกระทบต่อทารก
ทารกมีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกำหนด หากทารกมีการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ จะทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดสูง ส่งผลให้ทารกเสียชีวิตได้ และหากให้คลอดทางช่องคลอดทารกอาจติดเชื้อขณะคลอดได้
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติ
ประวัติเกี่ยวกับการเคยติดเชื้อเริมมาก่อนหรือไม่
เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นเริมที่อวัยวะสืบพันธ์หรือไม่
การตรวจร่างกาย
จะพบตุ่มน้ำใส หากตุ่มน้ำแตกจะพบแผลอักเสบ แดง ปวดแสบปวดร้อนบริเวณขอบแผลค่อนข้างแข็ง แต่ไม่ติดแน่นกับอวัยวะข้างเคียงเหมือนกับแผลจากการติดเชื้อซิฟิลิส
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การเพาะเชื้อใน Hank's medium โดยนำของเหลวที่ได้จากตุ่มน้ำหรือจากก้นแผลมาทำการติดเชื้อเป็ยวิธีที่มีความแม่นยำสูงและมีความไวมาก
การขูดเนื้อเยื่อจากแผลมาทำการย้อมและดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
การทำให้ตุ่มน้ำแตกแล้วขูดบริเวณก้นแผลมาป้ายสไลด์แล้วย้อมสี (Tzanck's test)
แนงทางการรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษา herpes simplex ให้หาายขาดได้ การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ
ให้ Acyclovir 200 mg รับประทานวันละ 5 ครั้ง นาน 5-7 วัน
การรักษาในระยะคลอด
กรณีที่เคยติดเชื้อเริมมาก่อน แต่ขณะคลอดตรวจไม่พบรอยโรคหรือไม่มีอาการของการติดเชื้อ ให้คลอดทางช่องคลอด และเฝ้าระวังทารก เพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม
กรณีที่พบรอยโรคขณะคลอดไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อครั้งแรก หรือติดเชื้อซ้ำ ให้คลอดโดยการผ่าตัดคลอด และเฝ้าระวังทารกเพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม
หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate)
อาการแและอาการแสดง
มีรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหลอนไก่ ขนาดแตกต่างกัน มักเกิดบริเวณอับชื้น เช่า ปากช่องคลอด หรือในช่องคลอด เป็นต้น การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์รอยโรคจะขยายใหญ่ มีผิวขรุขระคบล้ายดอกกะหล่ำและยุ่ยมาก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
หากเกิดรอยโรคใหญ่อาจต้องขัดขวางช่อทางคลอดหรือทำให้เกิดการตกเลิอดหลังคลอด และมารดาหลังคลอดมีโอดาสเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
ผลกระทบต่อทารก
ทากรอาจติดเชื้อหูดหงอนไก่ระหว่างตั้งครรภ์และขณะคลอด บางรายอาจเกิด laryngeal papillpmatosis ทำให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เสียงเปลี่ยน (voice change) เสียงร้องไห้แหบผิดปกติ (abnormal cry)
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ
ประวัติเคยติดเชื้อหูดหงอนไก่มาก่อน
เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นหูดหงอนไก่
การตรวจร่างกาย
จะพบรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ผิวขรุขระคล้ายดอกกะหล่ำบริเวฯปากช่องคลอด ในช่องคลอด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ควรวินิจฉัยแยกโรคออกจากซิฟิลิสและ genital cancer (CA vulva) โดยการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองและประเมินภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์
แนะนำให้สามีมารับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค
ติดตามผลการปฏิบัติทางห้องปฏิบัติการ
ระยะคลอด
ดูแลผู้คลอดดดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
หลีกเลี่ยงการทำหัตการทางช่องคลอด
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
แนะนำมารดาหลังคลอดเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดร่างกาย เครื่องใช้ส่วนตัว การกำจัดสิ่งปนเปื้อนสารคัดหลั่งอย่างถูกต้อง
การติดเชื้อเอชไอวีในสตรีตั้งครรภ์ (Human Immunodeficiency Virus (HIV) during pregnancy)
พยาธิสภาพ
ภายหลังการติดเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย เชื้อ HIV จะใช้ส่วน GP120 ที่ผิวของเชื้อ HIV จับกับ CD4 receptor ของเซลล์เม็ดเลือดขาว ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง เกิดภาวะ seroconversion
อาการและอาการแสดง
ระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อ HIV มีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ระยะนี้ร่างกายจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป ตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และ antibody ต่อเชื้อ HIV และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
ระยะติดเชื้อที่มีอาการ มีอุณหภูมิร่างกายสูงมากกว่า 37.8 องศาเซลเซียส หรือติดต่อกันทุกวัน ท้องเดินเรื้อรัง อุจจาระร่าง น้ำหนักลดเกิน 10% ของน้ำหนักตัว
ระยะป่วยเป็นเอดส์ มีไข้ ผอม ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง ซีด อาจพบลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อรา แผลเริมเรื้อรัง ผิวหนังเป็นแผลพุพอง ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันจะเสื่อมเต็มที่ ทำให้เชื้อโรคฉวยโอกาสเข้ามาในร่างกาย ทำให้เกิดวัณโรคปอด ปอดอักเสบ สมองอักเสบ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV และมีปริมาณ CD4 ต่ำ มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อฉวยโอกาส
ผลกระทบต่อทารก
มีโอกาสที่ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย ทารกมีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ และทารกตายคลอด
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติ
เกี่ยวกับการมีเพศมันพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
ประวัติการใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
การตรวจร่างกาย
หากเป็นระยะที่แสดงอาการอาจพบว่ามีไข้ ไอ ต่อมน้ำเหลืองโต มีแผลในปาก มีฝ้าในปาก ติดเชื้อราในช่องคลอด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจเชื้อ HIV
การตรวจ antibody
การตรวจนับเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 lymphocyte
การตรวจพิเศษ
ตรวจเสมหะและเอกซเรย์
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองสตรีตั้งครรภ์และสามีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ให้ข้อมูลแก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับการดำเนินโรค
แนะนำให้มาฝากครรภ์ตามนัดทุครั้ง
ระยะคลอด
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ พร้อมทั้งอธิบายให้ผู้คลอดที่ติดเชื้อ HIV ทราบถึงวิธีการแพร่กระจายเชื้อ
ให้การดูแลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป
ทำคลอดด้วยวิธีที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้คลอดและทารกน้อยที่สุด
ระยะหลังคลอด
ดูแลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัง universal precaution
ให้คำแนะนำแก่มารดาหลังคลอด เพื่อป้องการแพร่กระจายเชื้อ
หลักเลี่ยงการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
แนะนำให้ใส่เสื้อชั้นในที่คับเพื่อยับยั้งการสร้างและหลั่งน้ำนม
แนะนำวิธีการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่บุคคลอื่น
แนะนำการวางแผนครอบครัว โดยสามารถใช้วิธีคุมกำเนิดได้ทุกวิธีโดยต้องใช้ร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยเสมอ
หารใช้ห่วงอนามัยไม่เหมาะสำหรับรายที่ CD4 ต่ำ และ viral load ในเลือดสูง เพราะเสี่ยงต่อการอักเสบของอุ้งเชิงกราน
ไม่แนะนำให้ใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ (spermicides) เพราะจะทำให้เยื่อบุปากมดลูก และช่องคลอดเกิดการระคายเคือง