Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
9.3 การติดเชื้ออื่น ๆ ขณะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
9.3 การติดเชื้ออื่น ๆ ขณะตั้งครรภ์
การติดเชื้อไวรสัรับอักเสบชนิดเอ (hepatitis A virus: HAV)
อาการและอาการแสดง
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และปวดศีรษะ มักไม่ มีอาการของดีซ่าน แต่เมื่อใดที่ตรวจพบน้ำดีในปัสสาวะแสดงว่าตับมีการทำงานผิดปกติ ซึ่งทำให้มีอาการตับเหลือง ตาเหลือง ตรวจพบ alkaline phosphatase เพิ่มขึ้น อาการจะมีอยู่ 10-15 วัน จากนั้นจะเข้าสู่ระยะพักฟื้น และ หายจากการเป็นโรค
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
การตั้งครรภ์ไม่มีผลทำให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้น หากมีการติดเชื้อ HAV ขณะตั้งครรภ์นั้น ร่างกาย มารดาจะสร้าง antibody ต่อเชื้อ HAV ซึ่งสามารถผ่านไปยังทารกในครรภ์ได้ และมีผลคุ้มกันทารกไปจนถงึหลัง คลอดประมาณ 6-9 เดือนจากนั้นจะหมดไป
การป้องกันและการรักษา
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาการติดเชื้อ HAV ให้หายได้อย่างเด็ดขาด ส่วนใหญ่เป็นการรักษาแบบ ประคับประคองตามอาการที่ปรากฏ ถึงแม้ว่าเชื้อ HAV จะไม่ผ่านรก แต่หากสตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อในระยะใกล้คลอด ทารกมีโอกาสติดเชื้อหลังคลอดได้
ส่วนทารก ที่คลอดจากสตรีตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อในระยะใกล้คลอดควรได้รับ ISG ขนาด 0.5 mg แก่ทารกทันทีหลังคลอด
ตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบเอ (hepatitis A virus: HAV) เกิดจากการติดเชื้อ hepatitis A virus ซึ่งเชื้อ ไวรัสสามารถทำให้ตับเกิดการอักเสบ ไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อน เชื้อโรคตับอักเสบเอเข้าไป เชื้อไวรัสจะผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ จากนั้นประมาณ 15-50 วัน (เฉลี่ย 28 วัน) เชื้อจะ กระจายเข้าสู่ตับทำให้ตับเกิดการอักเสบเฉียบพลัน
หัดเยอรมัน (Rubella/German measles)
หัดเยอรมัน (Rubella หรือ German measles) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ rubella virus (german measles virus) โดยติดต่อผ่านทางเดินหายใจ มีระยะฟักตัว 14-21 วัน ระยะติดเชื้อ 7 วันก่อนผื่นขึ้นและ 4 วัน หลังผื่นขึ้น หากสตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อหดัเยอรมันในระยะ 3-4 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เชื้อไวรัสจะสามารถผ่านไป ยังทารก ทำให้ทารกเกิดความพิการแต่กำเนิดที่รุนแรงได้
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังการรับเชื้อหัดเยอรมันเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะแพร่กระจายไปทางกระแสเลือด เชื้อจะมีผลต่อร่างกายใน 2 ลักษณะ
กลุ่มไม่มีอาการทางคลินิก
กลุ่มที่มีอาการทางคลินิก คือมีผื่นที่ใบหน้า ลามไปที่ลำตัวและแขนขา ลักษณะของผื่นจะเป็นตุ่ม เกิดได้ ตั้งแต่วันที่ 7-10 หลังได้รับเชื้อ และจะคงอยู่ 4 สัปดาห์ อาจมีอาการปวดข้อ ปวดเข้า พบต่อมน้ำเหลืองโต ทั้งสอง กลุ่มสามารถทำให้ทารกเกิดการติดเชื้อได้
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดงได้แก่ มีไข้ต่ำ ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว เบื่ออาหาร ตาแดง ไอ เจ็บคอ และต่อน้ำเหลือง บริเวณหลังหูโต อาจมีอาการปวดข้อ โดยไข้จะเป็นอยู่ 1-2 วันก็จะหายไป หลังจากนั้นจะมีผื่นขึ้นเป็นตุ่มเล็ก ๆ สี แดง (maculopapular) มองเห็นเป็นปื้นหรือจดุกระจดักระจาย โดยจะเริ่มขึ้นที่ใบหน้าจากนั้นจะแผ่กระจายลงมา ตามหน้าอก ลำตัว แขนขา จนทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว อาการจะเกิดขัดเจนในวันที่ 7-10 และจะคงอยู่ 4 สัปดาห์ จากนั้นผื่นจะจางหายไป แต่ในบางรายที่ไม่มีอาการข้างต้น จะมีเพียงอาการคล้ายเป็นหวัด แต่เมื่อตรวจเลือดจะ พบภูมิคุ้มกันเชื้อหัดเยอรมัน
ผลกระทบ
ทารก
ทำให้เกิดการแท้ง ตายคลอด หรือ พิการแต่กำเนิด
ความรุนแรงของความพิการแต่กำเนิดในทารกขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ขณะที่สตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อ หากมีการติด เชื้อใน 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์มักจะพบความพิการที่รุนแรงและพิการหลายระบบ แต่หากติดเชื้อเมื่ออายุ ครรภ์มากกว่า 16 สัปดาห์มักไม่พบความพิการที่รุนแรง
สตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ไม่ทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น และไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เพิ่มขึ้น จึงไม่เกิดผลกระทบต่อมารดา แต่อาจรู้สึกไม่สุขสบายเล็กน้อยเท่านั้น
การพยาบาล
ให้วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อเยอรมันแก่สตรีวัยเจริญพันธุ์ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนมาก่อนโดยก่อนฉีดวัคซีน จะต้องแน่ใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ และหลังจากให้วัคซีนจะต้องคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน
ในสตรีที่มาฝากครรภ์ควรตรวจดูว่ามีภูมิคุ้มกันหรือไม่ หากยังไม่มีภูมิคุ้มกันแนะนำให้สตรีตั้งครรภ์หลีกเลยี่ง การเข้าชุมชนในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อหัดเยอรมนั หรือหลีกเลยี่งการสัมผัสกับผู้ที่สงสยัว่าจะเป็นพาหะของเชอื้ หัดเยอรมัน โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
กรณีที่ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ เตรียมร่างกายและจิตใจของสตรีตั้งครรภ์ให้พร้อมสำหรับการทำแท้งเพื่อ การรักษา
รายที่ตัดสินใจดำเนินการตั้งครรภ์ต่อ และคลอดทารกที่มีความพิการ ดูแลด้านจิตใจของมารดาและ ครอบครัวโดยเปิดโอกาสให้มารดาหลังคลอดและครอบครัวได้ระบายความรู้สึกและซักถามเกี่ยวกับอาการของ ทารก เพื่อลดความวิตกกังวล
การป้องกันและการรักษา
ให้ภูมิคุ้มกันเนื่องจากเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง คุ้มกับค่าใช้จ่าย และควรเน้นการฉีดวัคซีนใน เด็กหญิง สตรีวัยเจริญพันธุ์ และคัดกรองหารายที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพื่อให้วัคซีน
ทารกแรกเกิดที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมัน ภายหลังคลอดต้องเก็บเลือดจากสายสะดือส่งตรวจเพื่อ ยืนยันการติดเชื้อและตรวจร่างกายอย่างละเอียด
การติดเชื้อไวรสัตับอักเสบชนิดบี (Hepatitis B virus)
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดงไม่แตกต่างกบัสตรีที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ เมื่อได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะฟักตัว 50-150 วัน (เฉลี่ย 120 วัน) ดังนั้นในระยะแรกผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ แต่ถ้ามีอาการจะเริ่มด้วยมีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้อง อาจปวดทั่วไปหรือปวดบริเวณชายโครงขวา คลำพบตับโต กดเจ็บ ปัสสาวะมีสีเข้มขึ้นเป็นสีชา แก
พยาธิสรีรภาพ
ระยะที่สอง
หลังจากได้รับเชื้อ Hepatitis B virus จะเข้าสู่ระยะที่สองผู้ติดเชื้อจะมี อาการอ่อนเพลียคล้ายเป็นหวัด คลื่นไส้อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงจากตับโต ปัสสาวะเข้ม ตัวเหลืองตาเหลือง ตับ เริ่มมีการอักเสบชัดเจน ตรวจพบเอนไซม์ตับสูงขึ้น ในระยะนี้ร่างกายจะสร้าง anti-HBe ขึ้นมาเพื่อทำลาย HBeAg ดังนั้นหากตรวจเลือดจะพบ anti-HBe ให้ผลบวกและจำนวน Hepatitis B virus DNA ลดลง
ระยะที่สาม
เป็นระยะที่ anti-HBe ทำลาย HBeAg จนเหลือน้อยกว่า 105 copies/mL (20,000 IU/mL) อาการตับอักเสบจะค่อย ๆ ดีขึ้น ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน และเข้าสู่ระยะโรคสงบ (inactive carrier) ซึ่งหาก ตรวจเลือดจะพบ HBeAg ให้ผลลบ anti-HBe ให้ผลบวก และค่าเอนไซม์ ตับปกติ
ระยะแรก
เมื่อได้รับเชื้อ Hepatitis B virus เข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ที่ได้รับเชื้อจะยัง ไม่มีอาการแสดงของการได้รับเชื้อและเอนไซม์ตับปกติซึ่งแสดงว่ายังไม่มีการอักเสบของตับ แต่หากตรวจเลือดจะ พบ HBeAg ให้ผลบวก และพบ Hepatitis B virus DNA (viral load) จำนวนมาก
ระยะที่สี่
เป็นระยะที่เชื้อกลับมามีการแบ่งตัวขึ้นมาใหม่ (re-activation phase) ทำให้เกิดการอักเสบของ ตับขึ้นมาอีก หากตรวจเลือดเลือดจะพบ HBeAg ให้ผลลบ และ anti-HBe ให้ผลบวก ในระยะนี้ถ้า anti-HBe ไม่ สามารถทำลาย HBeAg ได้จนเหลือน้อยกว่า 105 copies/mL จะเข้าสู่ภาวะตับอักเสบเรื้อรังจนเนื้อตับเสยีหาย มี พังผืดแทรกจนเป็นตับแข็งและกลายเป็นมะเร็งตับ
ผลกระทบ
สตรีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่เป็นพาหะของ Hepatitis B virus แต่ไม่มีอาการแสดงของตับอักเสบจะไม่เสี่ยงที่จะเกิด ภาวะแทรกซ้อนในขณะตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น แต่หากมีการติดเชื้อ Hepatitis B virus ในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ จะเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด
ทารก
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย ทารกตายในครรภ์ หรือเสียชีวิตแรกเกิด และทารกที่คลอดมามีโอกาสที่จะ ติดเชื้อได้ สตรีตั้งครรภ์ที่มีผล HBeAg เป็นบวกจะมีอัตราการถ่ายทอดเชื้อไวรัสจากสตรีตั้งครรภ์ไปสู่ทารกสงูถึง ร้อยละ 90
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ตรวจคัดกรองสตรีตั้งครรภ์ทุกคนว่าเป็นพาหะของโรคหรือไม่ หากผลการตรวจพบ HBsAg และ HBeAg เป็นบวก แสดงว่ามีการติดเชื้อและอยู่ในระยะที่มีอาการ
ระยะคลอด
ดูแลให้ทารกได้รับภูมิคุ้มกันภายหลังคลอด โดยฉีด Hepatitis B immunoglobulin (HBIG) ให้เร็ว ที่สุดหลังเกิด และให้ Hepatitis B vaccine (HBV) 3 ครั้ง ให้ครั้งแรกภายใน 1 สัปดาห์แรกหลังคลอด หรืออาจให้ พร้อม HBIG และให้ครั้งที่ 2 และ 3 เมื่ออายุครบ 1 และ 6 เดือน ตามลำดับ
ระยะหลังคลอด
แนะนำการปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดทั่วไป โดยเน้นการรักษาความสะอาดของร่างกาย การป้องกันการปนเปื้อนของเลือดหรือน้ำคาวปลา การล้างมือให้สะอาดก่อนการดูแลทารกเพื่อป้องกันการ แพร่กระจายเชื้อ และการดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบชนิดบี (Hepatitis B virus) เกิดจากการติดเชื้อ Hepatitis B virus ผ่านทาง เลือด น้ำลาย อสุจิ สิ่งคัดหลั่งทางช่องคลอด น้ำนม และผ่านทางรก เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์ตับจะแบ่งตัวได้รวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง
สุกใส (Varicella-zoster virus: VZV)
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือกบุทางเดินหายใจ ซึ่งเชื้อโรคมีระยะฟักตัวนาน 10-20 วัน ในกรณีที่ โรคสุกใสเกิดขึ้นตั้งแต่แรกคลอด จะเรียกว่า congenital varicella syndrome ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อตั้งแต่อยู่ใน ครรภ์ โดยมารดาติดเชื้อไวรัสสุกใสขณะตั้งครรภ์ ซึ่งจะมีผลต่อความพิการของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การติดเชื้อในช่วง 3 เดือน ของการตั้งครรภ์ ซึ่งส่งผลต่อความพิการของทารกในครรภ์ได้สูง
อาการและอาการแสดง
มักจะมีไข้ต่ำ ๆ นำมาก่อนประมาณ 1-2 วันแล้วค่อยมีผื่นขึ้น ลักษณะของผื่น และตุ่ม มักจะขึ้นตามไรผม หรือ หลังก่อน จะเห็นเป็นตุ่มน้ำใสๆ บนฐานสีแดง เหมือนหยาดน้ำค้างบนกลีบกุหลาบ (dewdrops on a rose petal) แล้วค่อยลามไปบริเวณหน้าลำตัว และแผ่นหลัง มีอาการปวดเมื่อยตามตัวร่วมด้วย คล้ายอาการของไข้หวัดใหญ่ บางคนอาจมีต่อมน้ำเหลืองที่คอ และหลังหูโตขึ้น จนคลำได้ก้อนกดเจ็บ โดยตุ่มจะทยอยขึ้นเต็มที่ภายใน 4 วัน หลังจากนั้นจะพัฒนาไปเป็นตุ่ม หนอง และแห้งลงจนตกสะเก็ดในที่สุด ลักษณะที่บางเม็ดขึ้นเป็นตุ่มน้ำใสๆ และบางเม็ดกลายเป็นตุ่มกลัดหนอง
ผลกระทบ
ทารก
ความผิดปกติของตา (ต้อกระจก) สมอง (ปัญญาอ่อน ศีรษะขนาดเล็ก เนื้อสมองเหี่ยวลีบ) แขนขาลีบเล็ก และผิวหนังผิดปกติ (แผลเป็นตามตัว) ที่เรียกว่า congenital varicella syndrome รายที่มีการติดเชื้อรุนแรง อาจทำให้อัตราการตายในระยะแรกคลอดสูง ยังพบว่าในหลาย รายทำให้มีการคลอดก่อนกำหนดได้
สตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อสุกอีใสในผู้ใหญ่มักจะมีอาการรุนแรงมากกว่าเด็ก โดยเฉพาะในสตรีตั้งครรภ์ ซึ่งมีภาวะ ภูมิคุ้มกันที่ลดลงจากการตั้งครรภ์ บางรายอาจจะมีอาการทางสมอง ทำให้ซึมลง และมีอาการชัก ทำให้เสียชีวิตได้ทั้งแม่ และทารกใน ครรภ์
ป้องกันและการรักษา
การป้องกันโดยไม่สัมผัสโรค หลีกเลี่ยงคนที่ป่วยเป็นสุกใส
การรักษาแบบประคับประคอง เพื่อบรรเทาอาการ
การรักษาแบบเจาะจง โดยการใช้ยาต้านเชื้อไวรัสสุกใส Acyclovir ซึ่งควรจะให้ในระยะเวลา 24-48 ชั่วโมง หลังมีผื่นขึ้น ซึ่งการให้ยาในช่วงนี้สามารถทำให้ระยะเวลาของโรคสั้นลง แผลตกสะเก็ดเร็วขึ้น โอกาสการเกิดแผล ติดเชื้อหรือแผลที่ลึกมากก็น้อยลง
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยอธิบายให้สตรีตั้งครรภ์เข้าใจถึงภาวะของโรค การแพร่กระจาย เชื้อและการปฏิบัติตน
ระยะคลอด
ให้การดูแลในระยะคลอดเหมือนผู้คลอดทั่วไป โดยเน้นหลัก Universal precaution เพื่อป้องกนัการ แพร่กระจายเชื้อ ในขณะรอคลอด และขณะคลอด ควรแยกห้องคลอด และอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่าง ๆ
ระยะก่อนตั้งครรภ์
แนะนำให้สตรีวัยเจริญพันธุ์ที่วางแผนตั้งครรภ์ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันสุกใสก่อนการตั้งครรภ์ โดย หลีกเลี่ยงการรับวัคซีนในระยะตั้งครรภ์ หรือการเว้นระยะการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนภายหลังการฉีดวัคซีน
ระยะหลังคลอด
ดูแลให้ทารกรับวัคซีน VariZIG แก่ทารกแรกเกิดทันที หากมารดาการติดเชื้อในช่วง 5 วันก่อนคลอดถึง 2 วันหลังคลอด รวมทั้งประเมินภาวะการติดเชื้อของทารก
สุกใส หรือ โรคสุกใส (chickenpox) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชื่อ Varicella-zoster virus (HZV) ซึ่ง เป็นเชื้อเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด สามารถติดต่อได้หลายทาง ความพิการของทารกในครรภ์มักพบในกรณีที่สตรีตั้งครรภ์มีการติดเชื้อในช่วงไตร มาสแรกของการตั้งครรภ์
โรคติดเชื้อไซโทเมกะโรไวรัส (Cytomegalovirus: CMV)
พยาธิสรีรภาพ
เชื้อ CMV ติดต่อเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่ ทารกได้รับเชื้อจากมารดาในครรภ์ ในระยะคลอด ในระยะให้นม การถ่ายเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะ เพศสัมพันธ์ ทางหายใจ แหล่งของเชื้อ CMV พบได้จากสารคัดหลั่งหลายชนิด เช่น น้ำลาย ปัสสาวะ น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากปากมดลูก น้ำนม น้ำตา อุจจาระ และเลือด การติดเชื้อ CMV ก่อให้เกิด อาการโรคที่รุนแรงในกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ ได้แก่ การติดเชื้อในทารกในครรภ์ คนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดเปลื่ยนอวัยวะ (organ transplant recipients) และผู้ติดเชื้อ HIV
อาการและอาการแสดง
มีอาการแสดงของ mononucleosis syndrome คือ ไข้สูงนาน ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการ ปอดบวม ตับ อักเสบ และอาการทางสมอง การติดเชื้อในระหว่างการตั้งครรภ์เปน็การติดเชื้อในครรภ์ตรวจได้จากปสัสาวะภายใน 2 สัปดาห์หลังคลอด อาการในเด็กทารกมีตั้งแต่อาการอย่างอ่อน ถึงอาการที่รุนแรงทางสมองและระบบประสาท
ผลกระทบ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ขณะตั้งครรภ์ระบบภูมิคุ้มกันจะลดลง หากไวรัส CMV ที่แฝงตัวอยู่ มีการติดเชื้อซ้ำ หรือติดเชื้อใหม่ ในขณะตั้งครรภ์ จะมีทำให้การดำเนินของโรครุนแรงขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกำหนด รกลอกตัวก่อน กำหนด มีการติดเชื้อของถุงน้ำคร่ำ
ผลกระทบต่อทารก
ทารกในครรภ์เสี่ยงต่อภาวะ IUGR แท้ง fetal distress คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดน้อย ทารก เสียชีวิตในครรภ์ และตายคลอด ส่วนทารกแรกเกิดนั้นอาจไม่มีอาการแสดงใด จนถึงมีอาการรุนแรง hepatosplenomegaly, thrombocytopenia, petechiae, microcephaly, chorioretinitis, hepatitis และ sensorineural hearing loss
การป้องกัน
วัคซีนที่ให้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ CMV โดยตรงนั้นยังไม่มี แต่สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงการ สัมผัสกับผู้ที่มีการติดเชื้อ
สตรีที่เคยมีประวัติการติดเชื้อ CMV ควรวางแผนเว้นระยะการมีบุตรไปก่อนอย่างน้อย 2 ปี และควร เข้ารับการให้คำปรึกษาก่อนการมีบุตร
วิธีการหลักในการป้องกันคือการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ล้างมือด้วยสบู่ เนื่องจากการแพร่กระจาย ของ CMV ผ่านสารคัดหลั่ง เลือดที่มีเชื้อ โดยการสัมผัสกับมือ และเข้าสู่ร่างกายผ่านทางปากหรือจมูก
การรักษา
การให้ immunoglobulin ของ anti-cytomegalo viral human เป็นการให้ยาที่มีแอนติบอดีต่อ CMV ซึ่งได้รับจากเลือดของคนที่หายจากเชื้อไวรัสนี้และมีภูมิคุ้มกัน การให้ยานี้ในผู้ที่มีการติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยลดการอักเสบของรก และความเสี่ยงของการติดเชื้อของทารกในครรภ์
การให้ยาต้านไวรัส เช่น Valtrex, Ganciclovil, Valavir เป็นต้น โดยขนาดและปริมาณที่ให้จะข้นึอยู่ กับการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสในระหว่างตั้งครรภ์ และลดการติดเชื้อไวรัสในทารกในครรภ์
การติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัส (Cytomegalovirus: CMV) โดยปกติมักพบการติดเชื้อในผู้ใหญ่ โดยอาจไดร้ับ เชื้อทางการให้เลือด การสัมผัสทางปาก หรือทางเพศสัมพันธ์ ประชากรส่วนใหญ่มักได้รับเชื้อ CMV ตั้งแต่วัยเด็ก ดังนั้นเมื่อไวรัส CMV ในถูกกระตุ้น (reactivated virus) ในขณะตั้งครรภ์ หรือเมื่อสตรีตั้งครรภ์มีการติดเชื้อซ้ำ (reinfection) เชื้อไวรัสก็จะแพร่ไปสู่ทารกในครรภ์ได้
การติดเชื้อโปรโตซัว (Toxoplasmosis)
อาการและอาการแสดง
มักไม่ค่อยแสดงอาการ ถ้ามีจะมีอาการน้อย คือ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ แต่อาจมีกลุ่มอาการของ Mononucleosis รายที่รุนแรงจะมีพยาธิที่สมอง Chorioretinitis ปอดบวม กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ รายที่รุนแรง มักพบในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ผลกระทบ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การแท้ง คลอดก่อนกำเนิด ถุงน้ำคร่ำและเยื่อหุ้มทารกอักเสบ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด รกลอกตัวก่อน กำหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกติดเชื้อในครรภ์ กรณีทื่ทารกมีการติดเชื้อแต่กำเนิดทารกแรกเกิดจะมีลักษณะสำคัญ คือ ไข้ ชัก ทารกหัวบาตร microcephaly, chorioretinitis, หินปูนจับในสมอง (Cerebral calcification) ตับและม้ามโต ตา และตัวเหลือง ทารกมักเสียชีวิตหลังคลอด และทารกที่ติดเชื้อ สมองและตาจะถูกทำลาย
การป้องกันและการรักษา
หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ปรุงสุก ผักผลไม้ที่ไม่ผ่านการล้าง ไข่ดิบ นมสดที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ ไรส์ และควรล้างมือให้สะอาดหลังจับต้องเนื้อสัตว์ดิบ
. ถ้าพบ IgM ในมารดา อนุมานว่ามีการติดเชื้อ และรักษาด้วย spiramycin จะช่วยลดการติดเชื้อในครรภ์ได้
การวินิจฉัยในทารกก่อนคลอด สามารถกระทำได้ การเจาะเลือดสายสะดือทารกเพอื่หาการติดเชื้อ และการ ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อหาความผิดปกติทางสรีระของทารก
การพยาบาล
ระยะคลอด
ภายหลังทารกคลอดเช็ดตาด้วย 0.9%NSS เช็ดตาทันที จากนั้นป้ายตาด้วย 1% tetracycline ointment หรือ 0.5% erythromycin ointment หรือ 1% Silver nitrate (AgNO3) หยอดตาตาทารก หลัง คลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ตา
เป็นการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัว Toxoplasma gondii การติดเชื้อเฉียบพลัน พบได้ 1-5 คนต่อ 1000 คนของสตรีตั้งครรภ์ อุบัติการณ์ของการติดเชื้อโดยกำเนิด 1-10 ต่อ 10,000 การคลอด เป็นการติดเชื้อที่เกิดจาก ปรสิตคือToxoplasma gondii ซึ่งเป็นโปรโตซัวชนิดอาศัยในเซลลโ์ดยติดเชื้อได้ทั้งในคนและสตัว์ มีพาหะหลักคือ แมว ส่วนพาหะชั่วคราวคือ หนู กระต่าย แกะ รวมทั้งคน การติดต่อเกิดขึ้นได้โดยการรับประทานผัก หรือผลไม้ที่ ปนเปื้อนดินที่มี oocyte ของเชื้อซึ่งขับออกมาปนกับอจุจาระแมว หรือจากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อปรุงไม่ สุก
การติดเชื้อไวรัสซิก้า (Zika)
อาการและอาการแสดง
เมื่อได้รับเชื้อระยะฟักตัวอยู่ที่ประมาณ 3-12 วัน ส่วนใหญ่มักมีอาการไข้ ผื่นแดง ปวดเมื่อยตามตัว ปวด ข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน โดยจะมีอาการที่ไม่รุนแรง และจะมีอาการเหล่านี้อยู่ประมาณ 2-7 วัน หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ไม่รุนแรงเท่าโรค ไข้เลือดออก
ยกเว้นในสตรีตั้งครรภ์ซึ่งอาจจะส่งผลให้ทารกที่คลอดมามีศีรษะเล็กกว่าปกติโดยเฉพาะการติด เชื้อนี้ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
ผลกระทบ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
มักแสดงอาการมากในไตรมาสที่ 3 อาการที่พบบ่อยในคือ มีผื่นขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ปวดตามร่างกาย ซีด บวม ตามปลายมือปลายเท้า คลื่นไส้ อาเจียน เลือดออกตามผิวหนัง และอาการทางระบบทางเดินหายใจ
ผลกระทบต่อทารก
ทารกในครรภ์ และทารกแรกเกิดจากมารดาที่ติดเชื้อไวรัสซิกา คือความผิดปกติเกี่ยวกับระบบ ประสาท ตาและการมองเห็น ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า ทารกตายในครรภ์ และตายหลังคลอด นอกจากนี้ ภาวะศีรษะเล็กในทารกเป็นภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทหลักที่พบได้
การป้องกัน
กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดมาตรการด้านการเฝ้าระวังคัดกรองโรค โดยได้มีระบบการเฝ้าระวัง ครอบคลุม 4 ด้าน คือ ระบบเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา ระบบเฝ้าระวังทางกีฏวิทยา ระบบเฝ้าระวงัทารกที่มีความพิการแต่กำเนิด และระบบเฝา้ระวังกลุ่มอาการผดิปกติทางระบบประสาท ร่วมกับการรณรงค์กำจดัลูกนำ้ ยุงลาย
การรักษา
ใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้หรือบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้ห้าม รับประทานยาแอสไพริน หรือยากลุ่มลดการอักเสบที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์ (NSAIDs) เนื่องจากยาบางชนิดเป็น อันตรายสำหรับโรคนี้ โดยอาจทำให้เลือดออกในอวัยวะภายในได้ง่ายขึ้น
โรคติดเชื้อไวรัสซิกาหรือไข้ซิกา (Zika Virus Disease; ZIKV) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อฟลาวิไวรัส (Flavivirus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งเป็นยุงชนิดเดียวกับที่เป็นพาหะนำโรค โรคไข้เลือดออก โรคไข้ ปวดข้อยุงลาย (Chikungunya) และไข้เหลือง
โรคโควิด-19 กับการตั้งครรภ์ (COVID-19 during Pregnancy)
อาการและอาการแสดง
ไม่แสดงอาการใด ๆ และมีอาการและอาการแสดงของอุณหภูมิร่างกายตั้งแต่37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือ ให้ประวัติว่ามีไข้ในการป่วยครั้งนี้ร่วมกับมีอาการของระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ไอ น้ามูก เจ็บคอ หายใจติดขัด หรือหายใจลำบาก
ผลกระทบ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์ทำให้การดำเนินของโรครุนแรงขึ้นเนื่องจากภูมิต้านของร่างกายขณะตั้งครรภ์ลดต่ำลง สตรี ตั้งครรภ์เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด มีการติดเชื้อของเยื่อหุ้มเด็ก ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด รกเสื่อม และรก ลอกตัวก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ
ทารกในครรภ์พัฒนาการล่าช้า คลอดน้ำหนักตัวน้อย คลอดก่อนกำหนด การติดเชื้อ COVID-19 ของทารก แรกเกิดอาจตรวจพบการติดเชื้อได้ในทันทีหลังคลอด หรือตรวจพบภายใน 7 วันหลังคลอดได้ ทั้งนี้ยังอยู่ระหว่าง การศึกษาเกี่ยวกับการแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์
แนวทางการรักษา
สตรีตั้งครรภ์ที่สงสัยจะติดเชื้อโรคโควิด-19
ถ้ามีไข้ ห้ามใช้ยากลุ่ม NSAID
สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อแต่อาการไม่รุนแรง
ให้ยาต้านไวรัส พิจารณาตามแนวทางของกรมควบคุมโรค
สตรีตั้งครรภ์ที่มีอาการรุนแรง
ไม่ให้ออกซิเจนทาง face mask หรือ face mask with bag เนื่องจากจะเกิดการแพร่กระจาย ของละอองฝอยได้ ควรให้เป็น cannula แทน
การดูแลรักษากรณีฉุกเฉิน
หากไม่สามารถซักประวัติได้ ให้ทำการรักษาเช่นเดียวกับผู้ป่วยที่เข้าข่าย การสืบสวนโรค และบุคลากรใส่ชุด full PPE
โรคโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ที่ระบาดได้รวดเร็วจนแพร่กระจายทั่วโลกเกิดจากเชื้อไวรัสตระกูล Corona ชื่อ SARS-CoV-2 การติดต่อส่วนใหญ่ผ่านทางสัมผัสละอองฝอยจากการไอ หรือจาม อาการของโรคคล้ายกับ ไข้หวัดใหญ่