Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่7 การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน - Coggle Diagram
บทที่7 การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
(Arterial oxygen saturation)
ใช้pulseoximeter เป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบิน
ที่จับกับออกซิเจน(oxyhemoglobin)ต่อปริมาณฮีโมโกลบิน
ทั้งหมดในเลือดการแปลผลต้องพิจารณาปริมาณเม็ดเลือดแดงและ
ค่าฮีโมโกลบินร่วมด้วยจึงเป็นการวัด arterial oxygen saturation (SPO2)ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดปกติอยู่ระหว่าง98-99%
หากวัด SPO2ได้น้อยกว่า 90% จำเป็นต้องได้รับการรักษา
ยกเว้นผู้ปุวยโรคปอดอุดตันเรื้อรัง
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง
(Arterial blood gas: ABG)
PaO2
เป็นตัวบ่งชี้ให้ทราบถึงปริมาณของออกซิเจน (O2)
ในเลือดที่จับกับHemoglobinค่าปกติอยู่ระหว่าง80-100 mmHg
การแปลผลภาวะขาดออกซิเจน
-Mild hypoxemia = PaO2มีค่าระหว่าง 60 –80 mmHg
-Moderate hypoxemia = PaO2มีค่าระหว่าง 40-60mmHg
-Severe hypoxemia = PaO2มีค่าน้อยกว่า 40 mmHg
HCO3
เป็นการวัดค่าความเข้มข้นไฮโดรเจนไอออน(HCO3-)
ในเลือดที่ช่วยบอกการท างานของไต หรือความเป็นกรดด่างในร่างกายได้ค่าปกติอยู่ระหว่าง18-25 mEg/L
PaCO2
เป็นการวัดความดันของคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)ในเลือด
ถ้าระดับของ CO2ในเลือดสูงเพิ่มขึ้นอัตราการหายใจจะเร็วขึ้นเพื่อให้ปอดสามารถขับ CO2ที่คั่งออก ค่าปกติอยู่ระหว่าง35-45 mmHg
SaO2
เป็นค่าเปรียบเทียบระหว่าง Hemoglobin ที่มี O2ที่อิ่มตัว
กับความสามารถสูงสุดของHemoglobin ที่จะจับกับO2ได้
ค่าปกติอยู่ระหว่าง97-100%
PH
เป็นตัวชี้วัดภาวะความเป็นกรดด่างของร่างกาย ค่าปกติ
อยู่ระหว่าง7.35-7.45 ถ้าค่าตํ่ากว่า 7.35แสดงว่าเกิดภาวะเป็นกรด
และถ้าค่าสูงกว่า 7.45แสดงว่าเกิดภาวะเป็นด่าง
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน
(Hemoglobin: Hb)
ในเลือดค่าฮีโมโกลบินปกติในผู้หญิง11.5–16.5gm%
และในผู้ชาย 13.0-18 gm%
การประเมินสภาพร่างกาย
ระบบประสาทส่วนกลาง
สังเกตและประเมินพบ ความรู้สึกตัวของผู้ปุวยเปลี่ยนแปลง
กระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะเพ้อ หมดสติ หรือชัก
ระบบผิวหนัง
ระยะแรกพบว่า ผิวหนังผู้ป่วยเย็น ซีดเพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะพร่องออกซิเจน โดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญเช่น สมอง เป็นต้น เลือดที่เลี้ยงผิวหนัง ไต ปอด เพราะต้องการออกซิเจนน้อยกว่าและทนต่อการขาดออกซิเจนได้ต่อมาพบอาการเขียวคลํ้าโดยเห็นชัดบริเวณริมฝีปาก เล็บมือเล็บเท้าและเสียชีวิตในที่สุด
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ประเมินพบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นในระยะแรก
เพื่อปรับชดเชย ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง
เจ็บหน้าอก และหัวใจหยุดเต้นในระยะสุดท้าย
ระบบทางเดินอาหาร
ประเมินและสังเกตพบมีอาการคลื่นไส้อาเจียนในระยะแรก
ระบบทางเดินหายใจ
ระยะแรกของเซลล์พร่องออกซิเจนอย่างอ่อนสังเกตพบผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่สะดวกหายใจลำบากเมื่อนอนราบ (Orthopnea)
ต้องนั่งหายใจหลังจากนอนหลับไปแล้วระยะหนึ่งต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจ(paroxysmalnocturnal dyspnea)มีอาการกระสับกระส่าย
การหายใจไม่สมํ่าเสมอเวลาหายใจเข้าจะลึกกว่าเวลาหายใจออก
เมื่อหายใจเข้ามีเสียงดังและแสดงอาการหายใจหอบสังเกตจาก
ปีกจมูกบาน มีการหายใจแบบอ้าปากเสมือนว่าหิวอากาศ
และใช้กล้ามเนื้อซี่โครงและไหล่ช่วยในการหายใจเมื่อเกิด
การขาดออกซิเจนระดับรุนแรงผู้ปุวยจะหยุดหายใจในที่สุด
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
ความดันออกซิเจนและการขนส่งสู่เนื้อเยื่อ
หลังจากเลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนในเลือดสูงอยู่
เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนน้อยสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปหาเซลล์ต่างๆแต่เมื่อการเดินทางไปในอวัยวะที่ไกลขึ้น ความเข้มข้นออกซิเจนในเลือดลดลง เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนมากขึ้นตามล าดับ เพื่อให้ออกซิเจนออกมาอยู่ในกระแสเลือดเพื่อส่งไปสู่เซลล์โดยเลือดเป็นตัวกลางการส่งผ่านออกซิเจนสู่เซลล์ส่วนเม็ดเลือดแดงเป็นถังเก็บออกซิเจนที่จะค่อยๆปล่อยออกซิเจนออกมาเรื่อยๆพบว่า ออกซิเจนในถุงลมยิ่งเยอะ ออกซิเจนในเลือดก็ยิ่งเยอะตาม และสุดท้ายออกซิเจนในเม็ดเลือดแดงก็จะเยอะขึ้นตาม
การหมุนเวียน
เพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เมื่อเซลล์เนื้อเยื่อขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกออก จะมีการขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กลับไปที่ปอด เพื่อทำการหายใจระบายออก กลไกการขนส่งมี 2อย่างที่เป็นหลักคือการขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดงคาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ า เพื่อเกิดสารประกอบ
กรดคาร์บอนิก(H2CO3) และแตกตัวเป็นไฮโดรเจนไออน(H+)
กับไบคาร์บอเนต(HCO3)
การทำงานของเม็ดเลือดแดง
มีหน้าที่ขนส่งก๊าซเม็ดเลือดแดงเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่ง
มีหน้าที่หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน
มีอายุขัยประมาณ 120 วัน ร่างกายเรามีการทำลายและการสร้างเม็ดเลือดใหม่ตลอดเวลาแต่ละเซลล์เม็ดเลือดแดง จะมีส่วนประกอบที่เป็นHemoglobinอยู่ถึง 97% ซึ่งตัว Hemoglobinนี้ทำหน้าที่ในการ“จับกับก๊าซเพื่อการขนส่ง”ซึ่งHemoglobin แต่ละตัว สามารถจับกับแก๊สได้ 4 โมเลกุลมีการศึกษาพบว่าในเม็ดเลือดแดงในแต่ละเซลล์นั้นมี Hemoglobinมากมายถึง 50 ล้านหน่วย
ปัจจัยที่มีผลตอการได้รับออกซิเจนของบุคคล
อาหารที่มีไขมันมาก
จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย เวลารับประทานอาหาร
ที่มีไขมันมากจะทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดตํ่าลง
ความเครียด
ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น
ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
ผู้สูงอายุ
ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น
ความเสื่อมเกิดขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย
การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนักๆ
ขณะออกกำลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติ
อาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ
เป็นสาเหตุทำให้เหนื่อยเร็ว และอ่อนล้า
การสูบบุหรี่
มีผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ระบบทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง ทำให้หลอดเลือดมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก
และมีออกซิเจนน้อย การสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานาน ๆ
ส่งผลให้เกิดอาการพร่องออกซิเจนเป็นมากขึ้น
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง
ทำให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง
การที่ร่างกายได้รับสารพิษจากอากาศ ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในขบวนการขจัดสารพิษ
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์
การดื่มในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกาย
เกิดผลเสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง
ซึ่งส่งผลต่อตับ สมอง หรือหัวใจและหลอดเลือด
ถ้าปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดมากกว่า 400 mg%
ส่งผลต่อระบบสมองทำให้ได้รับออกซิเจนน้อยลง
ระบบหัวใจและหลอดเลือดมีการสูบฉีดเลือดลดลง
จนเกิดอาการหมดสติ และอาจถึงตายได้
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูง
มีผลให้ออกซิเจนมีระดับตํ่ากว่าปกติ ทำให้ร่างกายได้ออกซิเจนน้อยกว่าปกติ ถ้าร่างกายปรับตัวไม่ได้กับภาวะพร่องออกซิเจน ทำให้เกิดการภาวะพร่องออกซิเจน
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติ
ของระบบทางเดินหายใจ
การสะอึก (Hiccup)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพักๆ
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่นนํ้ามะนาวเป็นต้น หรือดื่มนํ้าเปล่า
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ถือแก้วนํ้าแล้วหลุดออกจากมือขณะสะอึก หรือขณะรับประทานอาหารอาจสำลักได้
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
สาเหตุของอาการสะอึก
-กินอิ่มมากเกินไปดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส (Carbonate)
ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูบบุหรี่จัด
-มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที เช่น ดื่มเครื่องดื่มเย็นจัด หรือ กินอาหารร้อนจัด เมื่อท้องว่างกินอาหารรสจัด
-หายใจเอาควันต่างๆเข้าไป
-ผลข้างเคคียงของยาบางชนิด
การสะอึกต่อเนื่องหรืออาการสะอึกที่ควบคุมรักษายาก
มักเป็นอาการสะอึกที่เกิดจากพยาธิสภาพของโรคโดยโรคที่พบบ่อย
เช่นโรคทางสมอง โรคกรดไหลย้อนโรคไตวายโรคตับวายภาวะหลังผ่าตัดกระเพาะอาหารหรือในช่องท้องหรือหลังจากการใช้ยาสลบ
อาการหายใจลำบาก (Dyspnea)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก
ดูแลให้ยาขยายหลอดลม หรือยาขับเสมหะ ตามแผนการรักษา
เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ปุวยฉุกเฉิน
ดูแลให้ออกซิเจนชนิดละอองฝอย เพื่อให้หายใจสะดวก
ดูแลประคับประคองด้านจิตใจ และประเมินสัญญาณชีพ
ตามความเหมาะสม ทุก 1-2 ชั่วโมง
ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจและการไออย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อลดอาการหายใจลำบากโดยหายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม
หายใจออกทางปาก โดยห่อริมฝีปาก
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง และให้ออกซิเจนร่วมด้วย
สาเหตุของการหายใจลำบาก
หัวใจ เช่น การทำงานของหัวใจไม่ดีเนื่องจากกล้ามเนื้อบางส่วนของหัวใจตายหรือลิ้นหัวใจรั่ว
ทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทำลาย
ระบบประสาท ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ
ไอเป็นเลือด (Hemoptysis)
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
เนื้องอก และมะเร็ง
การอักเสบ ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง หรือมีแผลในคอ
กล่องเสียง หลอดลมใหญ่และในเนื้อปอด
ความผิดปกติของหลอดเลือดและโรคปอดต่างๆ
ทำให้เกิดการไอเป็นเลือดได้
อุบัติเหตุ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ถ้าเสียเลือดมากอาจต้องให้เลือด และพยาบาลจะต้อง
เฝ้าระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิต
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น
พยาบาลต้องคอยปลอบโยน ให้กำลังใจ
และให้การดูแลจนผู้ปุวยควบคุมตนเองได้
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะ
แต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน พบในโรคหลอดลมอักเสบ
เฉียบพลันและเรื้อรังหรือมะเร็งหลอดลม
ไอจนมีเลือดปนออกมาคือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน
พบในโรคมะเร็งของหลอดลมหรือวัณโรคปอด
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่าๆ
ปนออกมาด้วย พบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดสดออกมาพบในวัณโรคปอด
อาการเจ็บหน้าอก (Chest pain)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก
ประเมินหาสาเหตุของอาการว่า อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากหัวใจหรือปอด
จัดเตรีมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนและพิจารณาให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
สังเกตอาการ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มปอด
ควรแนะนำให้นอนตะแคงทับด้านที่เป็น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น
อาจต้องให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
ลักษณะการเจ็บหน้าอก
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากหัวใจ
มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณกระดูกsternum
โดยเฉพาะจะเจ็บหรือปวดมากเมื่อเวลาออกกำลังกาย
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
มักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บตลอดเวลา
อาจมีลักษณะในข้อ2 ร่วมด้วย ถ้าการอักเสบลุกลามถึงเยื่อหุ้มปอด
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากหลอดลมอักเสบ
มักมีอาการแน่นหน้าอกบริเวณหลังกระดูกอาจเจ็บตลอดเวลา
และเจ็บมากเมื่อเวลาไอ
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบและมักเจ็บมาก
เมื่อเวลาหายใจเข้าลึกๆหรือเวลาไอทำให้ผู้ปุวยต้องหายใจตื้นๆ
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเส้นประสาท
เช่นโรครากประสาทสันหลัง (posterior nerve root)
จะปวดร้าวไปตามแขนงของประสาทintercostalnerve
ซึ่งอยู่ตามแนวกระดูกซี่โครงและปวดตลอดเวลา พบในโรคงูสวัด
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ
มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่และเจ็บเมื่อใช้มือกดที่บริเวณนั้น
อาการไอ (Cough)
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ เช่นไอเนื่องจากมีฝุุนละอองมาก
ไอมีเสมหะ มักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจำนวน ลักษณะ
สีและกลิ่นของเสมหะด้วย
ดูแลความสะอาดของปากฟันและสิ่งแวดล้อม
เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่และระยะเวลาของการไอ
กระตุ้นให้ดื่มนํ้าอุ่นบ่อยๆ และปริมาณมากเพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
ประเมินประสิทธิภาพการไอลักษณะไอแห้งๆ
หรือไอแบบมีเสมหะโดยการฟังเสียงไอ
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อน
ออกมาได้ง่ายจากการเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพโดยการให้ผู้ปุวยนั่งหรือนอนยกศีรษะสูงและหายใจเข้าลึกๆเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง กลั้นหายใจสักครู่
แล้วไอออกมาอย่างแรงโดยเฉพาะผู้ปุวยหลังผ่าตัดที่มักกลัวเจ็บต้องอธิบายให้ทราบถึงความจำเป็น
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
สาเหตุการไอ
ฝุุน ควัน สารเคมี อาหารหรือนํ้าที่สำลักเข้าไป
ความร้อน-เย็นของอากาศจะทำให้การไอมากขึ้น
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจ
-ไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากไข้หวัด
การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง และถ้า
-ไอมากกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากหลอดลมอักเสบ
จมูกและไซนัสอักเสบเรื้อรัง หอบหืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
ปอดอักเสบเรื้อรังจากการติดเชื้อ หรือมะเร็งหลอดลม
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่างๆ
อุปกรณ์และวิธีการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
ระบบให้ความชื้น (Humidification)
ชนิดละอองฝอย (Jet)
ให้ความชื้นในทางเดินหายใจที่อยู่ลึกเหมาะกับผู้ปุวยที่มีเสมหะเหนียว
มักเห็นเป็นหมอก สายให้ออกซิเจนมักมีขนาดใหญ่และเป็นลูกฟูก (corrugated)ได้แก่croupette tent, oxygen box (hood), T-piece, และtracheostomy collar
ชนิดละอองโต (Bubble)
ให้ความชื้นในส่วนต้นของทางเดินหายใจ 30–40%สายให้ก๊าซมีขนาดเล็กน้ าจะปุดเป็นฟองเมื่อเปิดให้กับผู้ปุวยมักใช้กับ oxygen cannula, simple face mask, และ partial rebreathing mask
แหล่งให้ออกซิเจน (Oxygen source)
ระบบท่อ(Oxygen pipeline)
ถังบรรจุออกซิเจน (Oxygen tank)
ระบบการให้ออกซิเจน
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง (High flow system)
การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม (tracheostomy collar)
การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent
การให้ออกซิเจนชนิดT-piece
การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ(endotracheal tube: ET)
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดตํ่า (Low flow system)
ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนเพียงบางส่วนและได้จากการหายใจ
เอาออกซิเจนในบรรยากาศไปผสม
การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก (mask)
เป็นการให้ออกซิเจนทางหน้ากากครอบปากและจมูกผู้ปุวย
โดยเปิดออกซิเจนเข้าในหน้ากาก วิธีนี้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เพราะจะได้รับออกซิเจนที่มีความเข้มข้นสูง ใช้ง่ายสะดวกในยามฉุกเฉิน และใช้ต่อนานๆ หรืออาจใช้ๆหยุดๆ ก็ได้แต่มีข้อจำกัด คือผู้ป่วยจะรู้สึกอึดอัด และไม่สะดวกเมื่อผู้ป่วยจะรับประทานอาหารหรือดื่มนํ้า
Reservoir bag (partial rebreathing mask)
Non rebreathing mask
Simple mask
การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว (nasal cannula)หรือnasal prongs
ข้อดี
ผู้ปุวยสามารถดื่มนํ้าหรือรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องปลดสายออก
ไม่ค่อยรู้สึกอึดอัดหรือรำคาญมากนัก และติดต่อสารกับผู้อื่นได้สะดวก
ข้อเสีย
อาจมีการระคายเคืองช่องจมูกทั้งสองข้าง ทำให้เยื่อบุจมูกบวมและมีนํ้ามูกออกมาอุดทำให้ท่อตันได้ จึงควรทำความสะอาดท่อและรูจมูกทุก 8 ชั่วโมง และปรับสายรัดรอบศีรษะของผู้ปุวยให้พอเหมาะปรับอัตราไหล
ของออกซิเจนและเฝูาระวังการเกิดแผลกดทับบริเวณใบหูที่กดกับสายยาง
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง(severe trauma)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน(acute myocardial infarction: MI)
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษา
เบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ป่วยหลังโดนไฟไหม้
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้นๆ ในการทำผ่าตัด
เช่น หลังการดมยาสลบ หรือการทำผ่าตัดใหญ่
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO2< 60 mmHg
หรือ SaO2< 90% เมื่อหายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ
ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในตํ่าที่สุด
เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟ
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ปุวยที่ได้รับพิษจาก paraquat
เช่น ยาฆ่าหญ้า เป็นต้นหรือผู้ปุวยที่ได้รับยาเคมีบำบัด
อาจทำให้เสริมฤทธิ์ของสารพิษที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายเร็วขึ้น
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบnebulizerสามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis)
ออกซิเจนเป็นพิษ (oxygen toxicity) หรือกดการทำงานของcilia
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะท าให้ขบวนการติดไฟเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ปุวยโรคถุงลมโป่งฟอง
เป็นการช่วยการท างานของระบบทางเดินหายใจหัวใจ
และระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจนในเลือดตํ่า
โดยวิธีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ(Clear air way)
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก2-3 ชั่วโมง
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วย
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
ในช่วงแรกอัตราการหายใจเร็วและลึก (increase rate and depth respiration)
ระยะต่อมาจะเปลี่ยนเป็นหายใจสั้นและตื้น (shallow and slow respiration)
อัตราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น (increase pulse rate) ขั้นรุนแรง
และพบ bradycardia
ความดันโลหิตลดลง (blood pressure will decrease)
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป (behavior changes)
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ (cardiac dysthymias)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน (vertigo)
มีภาวะซีด (pallor)
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น(increased fatigue)
มีอาการเขียวคลํ้า (cyanosis)
ระดับความรู้สึกตัวลดลง(decreased level of consciousness)
กรณีเป็นภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง พบนิ้วปุูม (clubbing)
ระดับการมีสมาธิลดลง(decreased ability to concentrate)
อาการหายใจลำบาก (dyspnea)
วิตกกังวล (anxiety) กระสับกระส่าย(restlessness)