Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
9.3 การติดเชื้ออื่น ๆ ขณะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
9.3 การติดเชื้ออื่น ๆ ขณะตั้งครรภ์
1.hepatitis A virus: HAV
อาการและอาการแสดง
-อ่อนเพลีย
-เบื่ออาหาร
-ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
-ปวดข้อ และปวดศีรษะ
การป้องกันและการรักษา
ทารกให้ immune serum globulin (ISG)
การพยาบาล
1.อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับโรค การรักษา และการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
2.แนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัว ดังนี้
-พักผ่อนอย่างเพียงพอ
-รับประทานอาหารที่สุก สะอาด และย่อยง่าย และดื่มน้ำให้เพียงพอ
-ตรวจตามนัด
-หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อตับ ได้แก่ acetaminophen หลีก-เลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ร่างกายมารดาจะสร้าง antibody
ต่อเชื้อ HAV ซึ่งสามารถผ่าน
ไปยังทารกในครรภ์ได้ และ
มีผลคุ้มกันทารกไปจนถึงหลังคลอด
ประมาณ 6-9 เดือนจากนั้นจะหมดไป
การประเมินและการวินิจฉัย
2.การตรวจร่างกาย
มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด
และอาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจหา antibody-HAV และ IgM-anti HAV และตรวจการทำงาน
ของตับ
1.การซักประวัติ
การรับประทานอาหาร การขับถ่าย การสัมผัสเชื้อโรค
6.Toxoplasmosis
เป็นการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัว
Toxoplasma gondii ติดเชื้อได้ทั้งในคนและสัตว์
มีพาหะหลักคือ แมว ส่วนพาหะชั่วคราวคือ
หนู กระต่าย แกะ รวมทั้งคน การติดต่อ
เกิดขึ้นได้โดยการรับประทานผักหรือผลไม้
ที่ปนเปื้อนดินที่มี oocyte ปรุงไม่สุก
อาการและอาการแสดง
1.มักไม่ค่อยแสดงอาการ ถ้ามีจะมีอาการน้อย
คือ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ
2.กลุ่มอาการของ Mononucleosis
รายที่รุนแรงจะมีพยาธิที่สมอง
Chorioretinitis ปอดบวม
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
ผลกระทบ
ต่อสตรีตั้งครรภ์
การแท้ง คลอดก่อนกำเนิด
ถุงน้ำคร่ำและเยื่อหุ้มทารกอักเสบ
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
รกลอกตัวก่อนกำหนด
ต่อทารก
ไข้ ชัก ทารกหัวบาตร microcephaly, chorioretinitis,
หินปูนจับในสมอง (Cerebral calcification)
ตับและม้ามโตตาและตัวเหลือง เสียชีวิตหลังคลอด
และทารกที่ติดเชื้อ สมองและตาจะถูกทำลาย
การประเมินและการวินิจฉัย
2.การตรวจร่างกาย
มักไม่แสดงอาการ หรือมีอ่อนเพลียเล็กน้อย
อาจพบภาวะปอดบวม หัวใจอักเสบ
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2.การวินิจฉัยก่อนคลอด โดยการตรวจเลือด
สายสะดือทารกหรือน้ำคร่ำ พบ IgA และ IgM.
3.การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
1.การตรวจเลือดหา DNA ของเชื้อ ทดสอบ
น้ำเหลืองดู titer IgG และ IgMหากมีการติดเชื้อ
พบ แอนตี้บอดีย์ IgM ที่จำเพาะต่อเชื้อ
1.การซักประวัติ
ประวัติเกี่ยวกับการสัมผัสสัตว์ที่เป็นโรค เช่น
แมว ประวัติมีอาการอ่อนเพลียปวดกล้ามเนื้อ
แนวทางการป้องกันและการรักษา
3.หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์
ที่ไม่ปรุงสุก ผักผลไม้ที่ไม่ผ่านการล้าง.
4.ถ้าพบ IgM ในมารดา และรักษาด้วย
spiramycin จะช่วยลดการติดเชื้อในครรภ์ได้
2.หากจำเป็นต้องทำความสะอาดอุจจาระแมว
สวมถุงมือยาง และล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
5.การวินิจฉัยในทารกก่อนคลอด
การเจาะเลือดสายสะดือทารก
การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
1.ให้ผู้อื่นเป็นผู้ดูแลแมวแทนในช่วงที่ตั้งครรภ์ ไม่ปล่อยให้แมวออกนอกบ้าน
การพยาบาล
ระยะคลอด
ให้การดูแลใโดยเน้นหลัก Universal precaution
2.หลังทารกคลอดเช็ดตาด้วย 0.9%NSS เช็ดตาทันที จากนั้นป้ายตาด้วย 1% tetracycline ointment หรือ 0.5% erythromycin ointment หรือ 1% Silver nitrate (AgNO3) หยอดตาตาทารก
ระยะหลังคลอด
เฝ้าระวังการตกเลือดและการติดเชื้อหลังคลอด
2.เน้นเรื่องการรักษาความสะอาด การมาตรวจตามนัด
การสังเกตอาการผิดปกติของทารก ต้องรีบพามาพบแพทย์
ระยะตั้งครรภ์
ติดตามผลการตรวจเลือด
เน้นการรักษาอย่างต่อเนื่อง การรับประทานยา
ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเปิดโอกาส
ให้ซักถาม และให้กำลังใจในการรักษารวมทั้ง
แนะนำเกี่ยวกับการสัมผัสเชื้อ
5.Cytomegalovirus: CMV
พยาธิสรีรภาพ
เชื้อ CMV เข้าสู่ร่างกาย การถ่ายเลือด
การปลูกถ่ายอวัยวะ เพศสัมพันธ์ ทางหายใจ
มักไม่มีอาการของโรค
อาการและอาการแสดง
mononucleosis syndrome
คือ ไข้สูงนาน ปวดกล้ามเนื้อ
หรือมีอาการ ปอดบวม ตับอักเสบ
อาการที่รุนแรงทางสมองและระบบประสาท
ได้แก่ hepatosplenomegaly,
thrombocytopenia, petechiae,
microcephaly, chorioretinitis,
hepatitis และ sensorineural hearing loss
ผลกระทบ
ต่อสตรีตั้งครรภ์
แท้ง คลอดก่อนกำหนด
รกลอกตัวก่อนกำหนด
มีการติดเชื้อของถุงน้ำคร่ำ
ต่อทารก
IUGR แท้ง fetal distress
คลอดก่อนกำหนด
น้ำหนักแรกเกิดน้อย
ทารกเสียชีวิตในครรภ์
และตายคลอด
การประเมินและการการวินิจฉัย
2.การตรวจร่างกาย
มีไข้ คออักเสบ ต่อมน้ำเหลืองโต ข้ออักเสบ
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การเจาะเลือดพบ Atypical Lymphocytes
และเอ็นไซน์ตับสูงขึ้น พบเชื้อ CMV
ในปัสสาวะ และในเม็ดเลือดขาว
Amniocentesis for CMV DNA PCR
เพื่อยืนยันการติดเชื้อของทารกในครรภ์
เริ่มตรวจได้เมื่ออายุครรภ์ครรภ์
21 สัปดาห์ แต่ไม่ช้ากว่า 6-7 สัปดาห์
1.การซักประวัติ
ประวัติการติดเชื้อในอดีต ลักษณะ
ของอาการและอาการแสดงที่เกิดขึ้น
การตรวจพิเศษ
ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
แนวทางการป้องกันและการรักษา
การป้องกัน
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีการติดเชื้อ
-สตรีที่เคยมีประวัติการติดเชื้อ CMV ควรวางแผน
เว้นระยะการมีบุตรไปก่อนอย่างน้อย 2 ปี
-รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ล้างมือด้วยสบู่
-ไม่จูบหรือสัมผัสเด็กเล็กที่ใบหน้า
ไม่รับประทานอาหารหรือ
ใช้อุปกรณ์ร่วมกับเด็กเล็ก
การรักษา
ให้ immunoglobulin ของ anti-cytomegalo viral human
ให้ยาต้านไวรัส เช่น Valtrex, Ganciclovil, Valavir
การพยาบาล
2.เน้นดูดเมือกออกจากปากและจมูกทารกโดยเร็ว
ทำความสะอาดร่างกายทันทีหลังคลอด
3.งดให้นมมารดา หากมารดาหลังคลอดมีการติดเชื้อ
1.ดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
8.COVID-19 during Pregnancy
โรคโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ที่ระบาดได้รวดเร็วจนแพร่กระจายทั่วโลกเกิดจากเชื้อไวรัสตระกูล Corona
ชื่อ SARS-CoV-2 การติดต่อส่วนใหญ่ผ่านทางสัมผัสละอองฝอยจากการไอ หรือจาม อาการของโรคคล้ายกับไข้หวัดใหญ่
ผลกระทบ
ต่อสตรีตั้งครรภ์
ภูมิคุ้มกันต่ำลง เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด มีการติดเชื้อของเยื่อหุ้มเด็ก ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด รกเสื่อม และรกลอกตัวก่อนกำหนด
ต่อทารก
ทารกในครรภ์พัฒนาการล่าช้า คลอดน้ำหนักตัวน้อย คลอดก่อนกำหนด
การประเมินและการวินิจฉัย
2.การตรวจร่างกาย
ไข้สูงมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ไอแห้ง หายใจติดขัด อาจมีคัดจมูก มีน้ามูก เจ็บคอไอเป็นเลือด หรือท้องเสีย
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1.ตรวจเลือดจะพบเม็ดเลือดขาวต่ำ โดยเฉพาะ lymphocyte
ค่า C-reactive protein สูงขึ้น เกล็ดเลือดต่ำ ค่าเอนไซม์ตับ
และ creatine phosphokinase สูง
2.ยืนยันการติดเชื้อไวรัส โดยตรวจหา viralnucleic acid ด้วยวิธี real-time polymerase chain reaction (RT-PCR) จากสารคัดหลั่ง กรณีที่ผลตรวจไม่พบเชื้อให้ตรวจซ้ำา อีก1ครั้ง หากตรวจ 2 ครั้ง ห่างกัน
อย่างน้อย 24 ชั่วโมงแล้วยังไม่พบเชื้อถือว่าไม่เป็นโรค
3.ส่งสิ่งคัดหลั่งตรวจหาเชื้อไวรัสอื่น เช่น influenza virus A and B, adenovirus, respiratory syncytial virus, rhinovirus, human metapneumovirus, SARS-CoV, bacterial pneumonia, chlamydia
และ mycoplasma pneumonia
4.ส่งเพาะเชื้อแบคทีเรียจากเลือด
1.การซักประวัติ
การสัมผัสผู้ที่การติดเชื้อ ระยะเวลาและประวัติการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง
4.การตรวจพิเศษ
การตรวจเอกซเรย์ปอดหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องอกพบมีปอดอักเสบ
อาการและอาการแสดง
อุณหภูมิร่างกายตั้งแต่37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป มีไข้ในการป่วยครั้งนี้ร่วมกับมีอาการของระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ไอ น้ามูก เจ็บคอ หายใจติดขัด หรือหายใจลำบาก
แนวทางการรักษา
2.การดูแลรักษา
2.5 การดูแลขณะเจ็บครรภ์คลอด
1.On EFM ถ้าอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป
5 ทำ epidural block ได้และมีข้อดี กรณีที่จำเป็นต้องผ่าตัดคลอดจะทำได้เร็วขึ้น
4 ไม่มีข้อห้ามของการคลอดทางช่องคลอด
3 วิธีคลอดพิจารณาตามความเหมาะสม
6 การใช้ก๊าซสูดดมเพื่อระงับความปวดควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
2 ตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง ตามความจำเป็น
7 การตัดสินใจผ่าตัดคลอดควรพิจารณาให้เร็วและลดเกณฑ์ลง
8 การระงับความรู้สึกหลีกเลี่ยง general anesthesia
2.4การดูแลรักษากรณีฉุกเฉิน
หากไม่สามารถซักประวัติได้ ให้ทำการรักษาเช่นเดียวกับผู้ป่วยที่เข้าข่ายการสืบสวนโรค และบุคลากรใส่ชุด full PPE
2.3 สตรีตั้งครรภ์ที่มีอาการรุนแรง
ไม่ให้ออกซิเจนทาง face mask หรือ face mask with bag
ควรให้เป็น cannula แทน
On EFM ถ้าอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป
หากอาการแย่ลง เช่น หายใจเหนื่อยหอบมากขึ้น เจ็บหน้าอก
หรือมี hypoxia เป็นต้น ควรคิดถึงภาวะ pulmonary embolism
ให้ยาต้านไวรัสและ/หรือยาอื่น ๆ เช่น Lopinavir/Ritonavir
2.1 สตรีตั้งครรภ์ที่สงสัยจะติดเชื้อโรคโควิด-19
ถ้ามีไข้ ห้ามใช้ยากลุ่ม NSAIDs
เลื่อนการนัดผ่าตัดคลอดหรือการกระตุ้นคลอดออกไปอย่างน้อย 14 วันหรือจนกว่าผลตรวจเชื้อไวรัสเป็นลบ
2.2 สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อแต่อาการไม่รุนแรง
ให้ยาต้านไวรัส พิจารณาตามแนวทางของกรมควบคุมโรค
2.6 กรณีเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
2.การยับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก ทำได้ถ้ามารดาอาการ ไม่หนักแต่ไม่ควรใช้ยา indomethacin
3.ไม่แนะนำให้ยับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก
เพื่อรอให้ยา corticosteroids ครบ dose
1.ให้ corticosteroids สำหรับกระตุ้นปอดทารกในครรภ์
หากอายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์จะไม่ให้
2.7 การดูแลทารกแรกเกิด
ให้ทารกดูดนมจากเต้า หรือการแยกทารกออกจากมารดาชั่วคราว
ขึ้นกับนโยบายของโรงพยาบาล และใช้การตัดสินใจใจร่วมกันระหว่างมารดากับทีมแพทย์ผู้ดูแล
2.8 การดูแลมารดาหลังคลอด
หลีกเลี่ยงการเข้าไปสัมผัสผู้ป่วยใกล้ชิด ใช้การประเมินผ่านทาง video call แทน หากจำเป็นต้องเข้าไป ให้ใส่ชุด full PPE
2.8 การดูแลด้านจิตใจ
เฝ้าระวังและประเมินความเครียดและอาการซึมเศร้า
สถานที่และบุคลากร
เน้นให้บุคลากรใส่ชุด PPE การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในรพ.และไปกับรถพยาบาล บุคลากรต้องใส่ full PPE
การพยาบาล
หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตา ปาก และจมูก
4.รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ หรือปรุงอาหารให้สุกร้อนทั่วถึง
2.รักษาระยะห่าง social distancing ในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น ด้วยการอยู่ห่างกัน 1-2 เมตร
6.ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ ใช้แอลกอฮอล์เจล 70 เปอร์เซ็นต์
1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ที่มีอาการไอ เป็นไข้ หรือผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง
5.หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะรับประทานอาหารและของใช้ส่วนตัว ร่วมกับผู้อื่น
7.เน้นย้ำให้สตรีตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตามนัดได้ตามปกติ
1.การดูแลสตรีตั้งครรภ์ มารดาหลังคลอด ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง
2.งดการออกไปในที่ชุมชนสาธารณะโดยไม่จำเป็น และงดการพูดคุย
หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นในระยะใกล้กว่า 2 เมตร
3.กรณีครบกำหนดนัดฝากครรภ์ ต้องแจ้งพยาบาลผดุงครรภ์ให้ทราบว่าตนเองอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง 14 วันเพื่อพิจารณาเลื่อนการฝากครรภ์
1.แยกตนเองออกจากครอบครัว และสังเกตอาการจนครบ 14 วัน งดการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
4.กรณีเจ็บครรภ์คลอด ต้องไปโรงพยาบาลทันที และแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบว่าตนเองอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง 14 วัน
2.ในกรณีมารดาเป็นผู้ที่สงสัยติดเชื้อและติดเชื้อ COVID-19
จะต้องมีการแยกตัวออกจากผู้อื่น และต้องสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน
3.แนวทางการปฏิบัติในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
สามารถกินนมแม่ได้
4.ข้อแนะนำการปฏิบัติสำหรับมารดาหลังคลอด
ในกรณีแม่เป็นผู้ที่สงสัยว่าจะติดเชื้อ หรือมารดาที่ติด
เชื้อ COVID-19 แล้ว และมีสภาพร่างกายพร้อมที่
จะปั๊มนมได้
ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่นานอย่างน้อย 20 วินาที หรือแอลกอฮอล์เข้มข้น 70%
สวมหน้ากากอนามัย ตลอดการทำกิจกรรมเกี่ยวกับการเตรียมนม และการปั๊มนม
ก่อนเริ่มกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเตรียมนมและการปั๊มนม
ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ เช่น ที่ปั๊มนม ขวดนม ด้วยน้ำยาล้างอุปกรณ์ และทำการนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อ
อาบน้ำหรือเช็ดทำความสะอาดบริเวณเต้านมและหัวนมด้วยน้ำและสบู่
การให้นม ควรให้ผู้ช่วยเหลือ หรือญาติที่มีสุขภาพแข็งแรงที่ทราบวิธีการป้อนนมที่ถูกต้อง
3.Rubella/German measles
อาการและอาการแสดง
มีไข้ต่ำ ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ตาแดง
ไอ เจ็บคอ และต่อน้ำเหลืองบริเวณหลังหูโต
ไข้จะเป็นอยู่ 1-2 วันก็จะหายไป
หลังจากนั้นจะมีผื่นขึ้นเป็นตุ่มเล็ก ๆ
สีแดง (maculopapular)
การพยาบาล
2.แนะนำให้มาฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ
3.กรณีที่ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ เตรียมร่างกายและจิตใจ
ของสตรีตั้งครรภ์ให้พร้อมสำหรับการทำแท้งเพื่อการรักษา
1.ให้วัคซีน แนะนำให้มาฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ
4สตรีที่ไม่มีภูมิคุ้มกันหรือไม่เคยฉีดวัคซีน ควรได้รับการ
ฉีดวัคซีน ต้องคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน.
การประเมินและการวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
สัมผัสผู้ติดเชื้อหัดเยอรมัน หรือผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อ
2.การตรวจร่างกาย
พบผื่นสีแดงคล้ายหัด ตาแดง ไอ จาม
เจ็บคอ ปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว ต่อมน้ำเหลืองโต
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
โดยตรวจ Hemagglutination inhibition test (HAI)
เพื่อหา titer ของ antibody ของเชื้อ หากผล HAI titer
น้อยกว่า 1:8 หรือ 1:10 แสดงว่าไม่ติดเชื้อ หาก HAI titer
ครั้งที่ 2 สูงกว่าครั้งแรกอย่างน้อย 4 เท่า แสดงว่ามีการติดเชื้อ
พยาธิสรีรภาพ
1.กลุ่มไม่มีอาการทางคลินิก โดยกลุ่มนี้
จะตรวจพบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหัดเยอรมัน
อย่างเดียว และจะกลายเป็นพาหะของโรคต่อไป
2.กลุ่มที่มีอาการทางคลินิก
คือมีผื่นที่ใบหน้า ลามไป
ที่ลำตัวและแขนขา ลักษณะ
ของผื่นจะเป็นตุ่ม เกิดได้ตั้งแต่
วันที่ 7-10 หลังได้รับเชื้อ
และจะคงอยู่ 4 สัปดาห์เชื้อหัดเยอรมัน
จะเข้าไปทำลายผนังหลอดเลือด
และเนื้อรกทำให้เนื้อรก และ
หลอดเลือดกลายเป็นเนื้อตาย
ส่งผลให้เซลล์เจริญเติบโตช้ากว่าปกติ
การสร้างอวัยวะต่าง ๆ บกพร่อง
เกิดเป็นความพิการแต่กำเนิด
ผลกระทบ
ต่อสตรีตั้งครรภ์
รู้สึกไม่สุขสบาย
ต่อทารก
1.ความผิดปกติที่เกิดขึ้นชั่วคราว เช่น ตับม้ามโต ตัวเหลือง
2.ความผิดปกติถาวร ได้แก่ หูหนวก หัวใจพิการ ตาบอด สมองพิการ
3.ปรากฏภายหลัง เช่น ภาวะเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์ ลิ้นหัวใจผิดปกติ ความดันโลหิตสูง
การป้องกันและการรักษา
1.ให้ภูมิคุ้มกัน ควรเน้นการฉีดวัคซีนในเด็กหญิง สตรีวัยเจริญพันธุ์ และคัดกรองหารายที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพื่อให้วัคซีน
2.ทารกแรกเกิดที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อภายหลังคลอด
ต้องเก็บเลือดจากสายสะดือส่งตรวจเพื่อยืนยัน
การติดเชื้อและตรวจร่างกายอย่างละเอียด
4.Varicella-zoster virus: VZV
อาการและอาการแสดง
มีผื่นเป็นตุ่มน้ำใสๆ เหมือนหยาดน้ำค้างบนกลีบกุหลาบ
(dewdrops on a rose petal) ตุ่มหนอง
และแห้งลงจนตกสะเก็ด
พยาธิสรีรภาพ
เชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือกบุทางเดินหายใจ
ระยะฟักตัวนาน 10-20 วัน มารดาติดเชื้อไวรัสสุกใส
ขณะตั้งครรภ์ ซึ่งจะมีผลต่อความพิการ
ของทารกในครรภ์
ผลกระทบ
ต่อสตรีตั้งครรภ์
ภาวะปอดอักเสบ ทำให้ระบบหายใจล้มเหลว อาการทางสมอง
ต่อทารก
1.การติดเชื้อในครรภ์ ต้อกระจก ปัญญาอ่อน แขนขาลีบเล็ก
2.การติดเชื้อปริกำเนิด ติดเชื้อ เสียชีวิตได้
การประเมินและการวินิจฉัย
2.การตรวจร่างกาย
มีไข้ มีผื่นตุ่มน้ำใสตามไรผม ตุ่มน้ำใสๆ
บนฐานสีแดง เหมือนหยาดน้ำค้างบนกลีบกุหลาบ
ลามไปบริเวณหน้าลำตัว และแผ่นหลัง
คล้ายอาการของไข้หวัดใหญ่
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจหาแอนติบอดีชนิด IgM,IgG ต่อ VZV ด้วยเทคนิค ELISA
1.การซักประวัติ
สัมผัสผู้ติดเชื้อสุกใส หรือผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อ
การแสดงของการติดเชื้อ
แนวทางการป้องกันและการรักษา
2.การรักษาแบบประคับประคอง การพักผ่อนอย่างเพียงพอ
และดื่มน้ำมาก หลีกเลี่ยงยาในกลุ่มแอสไพริน
3.ใช้ยาต้านเชื้อไวรัสสุกใส Acyclovir
1.การป้องกันโดยไม่สัมผัสโรค หลีกเลี่ยงคนที่ป่วยเป็นสุกใส .
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.แนะนำให้พักผ่อนอย่างเต็มที่ รักษาสุขภาพร่างกาย
2.อธิบายให้เข้าใจถึงภาวะของโรค การแพร่กระจายเชื้อและการปฏิบัติตน
ระยะคลอด
1.เน้นหลัก Universal precaution
2.ดูดเมือกออกจากปากและจมูกทารกโดยเร็ว
ทำความสะอาดร่างกายทันทีหลังคลอด
ระยะก่อนตั้งครรภ์
1.วางแผนตั้งครรภ์ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน หลีกเลี่ยงการรับวัคซีน
ในระยะตั้งครรภ์ หรือการเว้นระยะการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน
ระยะหลังคลอด
2.ให้ทารกรับวัคซีน VariZIG แก่ทารกแรกเกิดทันที
1.มารดามีอาการ แยกทารกแรกเกิด
จากมารดาในระยะ5 วันแรกหลังคลอด
3.เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
7.Zika
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อฟลาวิไวรัส (Flavivirus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรคสามารถติดต่อได้โดยการถูกยุงลาย
ที่มีเชื้อกัด และโรคนี้ยังสามารถติดต่อ จากคนสู่คน
ได้โดยผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์มีระยะฟักตัว 3-12 วันพบเชื้อนี้ในน้ำอสุจิได้นาน 6 เดือน พบเชื้อในสารคัดหลั่ง เช่น สารคัดหลั่งในช่องคลอดสตรี น้ำลายและปัสสาวะ และสามารถพบเชื้อได้ในโลหิต
ได้นาน 58 วัน
ผลกระทบ
ต่อสตรีตั้งครรภ์
แสดงอาการมากในไตรมาสที่ 3 อาการที่พบบ่อยในคือ
มีผื่นขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์อาการไข้ หนาวสั่นรู้สึก
ไม่สุขสบาย ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อตึงตัว
อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ตัวตาเหลือง ชา อัมพาตครึ่งซีก
ปวดศีรษะ ตาแดงและเยื่อบุตาอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองโต
ปวดตามร่างกาย ซีด บวม ตามปลายมือปลายเท้า คลื่นไส้
อาเจียน เลือดออกตามผิวหนัง และอาการทางระบบทางเดินหายใจ
ต่อทารก
ความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท ตาและการมองเห็น
ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า ทารกตายในครรภ์
ตายหลังคลอด นอกจากนี้ภาวะศีรษะเล็กพบบ่อย
อาการและอาการแสดง
ส่วนใหญ่มักมีอาการไข้ ผื่นแดง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดงอยู่ประมาณ 2-7 วัน
ในสตรีตั้งครรภ์ซึ่งอาจจะส่งผลให้ทารกที่คลอดมามีศีรษะ
เล็กกว่าปกติโดยเฉพาะการติดเชื้อนี้ในช่วงไตรมาสแรก
การประเมินและการวินิจฉัย
3.การทดสอบทางห้องปฏิบัติการ
ใช้สิ่งส่งตรวจ เช่น เลือด ปัสสาวะ น้ำลาย เทคนิคที่ใช้ในการตรวจ
ได้แก่ การตรวจหาพันธุกรรมของเชื้อด้วยวิธี Reverse Transcriptase Polymerase Chain Reaction (RT-PCR) และการตรวจหาภูมิคุ้มกัน (IgM) ด้วยวิธี ELISA
4.การตรวจพิเศษ
ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
2.การตรวจร่างกาย
มีไข้ อ่อนแรง เยื่อบุตาอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองโต ตัวเหลือง ซีด บวมปลายมือปลายเท้า เลือดออกตามผิวหนัง มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ
1.การซักประวัติ
ซักประวัติอาการของผู้ป่วย
แนวทางการป้องกันและการรักษา
การป้องกกัน
มีระบบการเฝ้าระวัง ครอบคลุม 4 ด้านคือ ระบบเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา ระบบเฝ้าระวังทางกีฏวิทยา ระบบเฝ้าระวังทารกที่มีความพิการแต่กำเนิด
และระบบเฝ้าระวังกลุ่มอาการผิดปกติทางระบบประสาท ร่วมกับการรณรงค์กำจัดลูกน้ำยุงลาย
การรักษา
รักษาทำได้ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ และรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้หรือบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้ห้ามรับประทานยาแอสไพริน หรือยากลุ่มลดการอักเสบที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์ (NSAIDs)
การพยาบาล
3.ประเมินสัญญาณชีพโดยเฉพาะอุณหภูมิ หากมีไข้ดูแลให้ได้รับยาลดไข้ตามแผนการรักษา
4.เตรียมสตรีตั้งครรภ์เพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2.อธิบายเกี่ยวกับการดำเนินของโรค สาเหตุ อาการและอาการแสดง
5.ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
1.ให้คำแนะนำในการป้องกันสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค เช่น -ใช้ยากำจัดแมลงหรือยาทาป้องกันยุงกัด
-นอนในมุ้ง และปิดหน้าต่าง ปิดประตู
-สวมเสื้อผ้าเนื้อหนา สีอ่อน ๆ
-กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
-หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรค
6.เน้นย้ำการมาตรวจครรภ์ตามนัด
7.ดูแลในระยะคลอดให้การดูแลเหมือนผู้คลอดทั่วไป ทั้งนี้ให้ยึดหลัก universal precaution
8.ตรวจร่างกายทารกแรกเกิด ประเมินสภาพร่างกายทั่วไปโดยเฉพาะการวัดขนาดของศีรษะ
9.เน้นย้ำการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินสูง ในแม่ที่พ้นระยะการติดเชื้อสามารถให้เลี้ยงนมมารดาได้
2.Hepatitis B virus
พยาธิสรีรภาพ 4 ระยะ
2.ระยะที่สอง
-อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน
-จุกแน่นใต้ชายโครงจากตับโต
-ปัสสาวะเข้ม
-ตัวเหลืองตา
3.ระยะที่สาม HBeAg 105 copies/mL
-เข้าสู่ระยะโรคสงบ
1.ระยะแรก ไม่มีอาการแสดง
-พบ HBeAg ให้ผลบวก
-พบ Hepatitis B virus DNA จำนวนมาก
4.ระยะที่สี่
-re-activation phase
-ภาวะตับอักเสบเรื้อรัง
อาการและอาการแสดง
ปวดทั่วไปหรือปวดบริเวณชายโครงขวา
คลำพบตับโต กดเจ็บ
ปัสสาวะมีสีเข้มขึ้นเป็นสีชาแก่
ตาเหลืองตัวเหลือง
ผลกระทบ
ต่อสตรีตั้งครรภ์
คลอดก่อนกำหนด
ต่อทารก
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย ทารกตายในครรภ์ ติดเชื้อ
การประเมินและการวินิจฉัย
2.การตรวจร่างกาย
อาการแสดง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ตับโต ตัวเหลืองตาเหลือง
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจการทำงานของตับ และตรวจหา
antigen และ antibody ของไวรัส
ได้แก่ HBsAg, Anti-Hbs, Anti-HBc,
HBeAg และ Anti-HBe
1.การซักประวัติ
เป็นพาหะของโรคตับอักเสบจากไวรัสบี
หรือเคยมีอาการแสดงของโรคตับอักเสบจากไวรัสบี
เคยสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรคตับอักเสบจากไวรัสบี
แนวทางการป้องกันและรักษา
คัดกรองสตรีตั้งครรภ์ทุกราย ตรวจหา HBsAg
เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรก และตรวจซ้ำ
อีกครั้งในไตรมาสที่ 3
การพยาบาล
ระยะคลอด
-ให้ผู้คลอดนอนพักบนเตียงและให้การดูแลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป
-หลีกเลี่ยงการเจาะถุงน้ำคร่ำ
-ทำความสะอาดทารกทันทีที่คลอด
-ฉีด Hepatitis B immunoglobulin (HBIG) ให้เร็วที่สุดหลังเกิด และให้ Hepatitis B vaccine (HBV) 3 ครั้ง
ระยะหลังคลอด
-ให้นมทารกได้ แต่หากมารดาหลังคลอดมีหัวนมแตกและมีการอักเสบติดเชื้อของหัวนม อาจแนะนำให้งดให้บุตรดูดนม
-แนะนำให้นำทารกมารับวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
ระยะตั้งครรภ์
-ตรวจคัดกรองสตรีตั้งครรภ์
-ให้คำแนะนำแก่สตรีตั้งครรภ์เกี่ยวกับสาเหตุ การติดต่อ การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
-แนะนำให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ย่อยง่าย ให้พลังงานสูง
-ดูแลให้ได้รับยาแก้อาเจียนตามแผนการรักษา