Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ - Coggle Diagram
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การตกขาวผิดปกติ
การตกขาวผิดปกติ หมายถึงภาวะที่มีการตกขาวเพิ่มมากกว่าปกติ ร่วมกับมีอาการคัน หรือปวดแสบร้อน ตกขาวมีกลิ่นเหม็น และอาการจะไม่หายไปเอง สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อและทําให้ช่องคลอดอักเสบ (vaginitis) เชื้อที่ทําให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อ ได้แก่ การติดเชื้อรา candida albicans, การติดเชื้อพยาธิ trichomonas vaginalis, และการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ไม่อาศัยออกซิเจน ที่พบบ่อยคือ Gardnerella vaginalis
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซิฟิลิส หนองใน เริม และหูดหงอนไก่
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองและประเมินภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์ โดยการซักประวัติโดยละเอียด ตรวจร่างกาย หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อควรส่งพบแพทย์ เพื่อให้ได้รับวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มฝากครรภ์
แนะนําให้นําสามีมารับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค และหากมีการติดเชื้อแนะนําให้รักษาพร้อมกัน และติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง
อธิบายให้เข้าใจถึงการดําเนินของโรค อันตรายของโรคต่อการตั้งครรภ์ แผนการรักษาพยาบาล การป้องกันสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
แนะนําการปฏิบัติตัวของสตรีตั้งครรภ์และสามีดังนี้
4.1 รับประทานยา ฉีดยา หรือทายาตามแผนการรักษา
4.2 หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งจนกว่าจะรักษาจนหายขาด
4.3 หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลและหนอง และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังการสัมผัสแผลหรือหนอง
4.4 กรณีมีแผลที่อวัยวะสืบพันธุ์แนะนําให้ทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งหลังการขับถ่ายและอายน้ํา รวมทั้งดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
4.5 แนะนําเกี่ยวกับความสําคัญของการมาตรวจตามนัด การสังเกตอาการผิดปกติ รวมถึงอาการผิดปกติที่ต้องมาตรวจก่อนวันนัด
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และผลการรักษาของสตรีตั้งครรภ์และสามีอย่างสม่ําเสมอ
ระยะคลอด
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
หลีกเลี่ยงการทําหัตถการทางช่องคลอด เช่น การตรวจทางช่องคลอด การเจาะถุงน้ําคร่ํา หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรทําอย่างระมัดระวังและไม่ทําให้ถุงน้ําคร่ําแตก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ทารก กรณีที่ถุงน้ําคร่ําแตกนานควรรายงานแพทย์
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ผู้คลอดที่มีการติดเชื้อหนองใน ทารกแรกเกิดต้องได้รบการป้ายตาด้วย 1% Tetracyclin ointment หรือ 0.5% Erythromycin ointment
หรือ หยอดตาทารกแรกเกิดด้วย 1% Silver nitrate (1%AgNO3) เพื่อป้องกันภาวะ opthalmia neonatarum ซึ่งการให้ยาจะทําภายหลังจากศีรษะทารกคลอดแล้ว หรือเมื่อทารกคลอดครบแล้ว
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution
แนะนํามารดาหลังคลอดเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดร่างกาย
ประเมินอาการติดเชื้อของทารกแรกเกิด
แนะนําการเลี้ยงบุตร โดยล้างมือให้สะอาดก่อนจับทารกทุกครั้ง
ดูแลให้มารดาหลังคลอดและทารกได้รับยาป้องกันการติดเชื้อตามแผนการรักษา
1.1การตกขาวจากการติดเชื้อรา (Vulvovaginal candidiasis)
เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์ ทําให้เนื้อเยื่อและผิวหนังอ่อนนุ่มลง บอบบางมากขึ้น จึงมีโอกาสติดเชื้อราได้มากกว่าสตรีที่ไม่ได้ตั้งครรภ์และเชื้อราที่ทําให้เกิดการตกขาวผิดปกติ
Candida albicans เป็นเชื้อโรคประจําถิ่น หรือเป็นเชื้อโรคที่มีอยู่ในร่างกายตามปกติ (normal flora) ที่พบได้ในร่างกายมนุษย์ในช่องปาก ทางเดินอาหาร และอวัยวะสืบพันธ์ แต่หากมีเหตุสนับสนุนให้มีการเจริญของเชื้อราเพิ่มขึ้นมากเกินไปเรียกภาวะนี้ว่า candidiasis หรือ candidosis จะทําให้เกิดพยาธิสภาพขึ้นกับอวัยวะส่วนนั้น Candidiasis เป็นโรคทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย และเป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดที่ทําให้ช่องคลอดอักเสบ (vaginitis)หรือเรียกว่า vulvovaginal candidiasis
ปัจจัยและปัจจัยเสี่ยง
การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อการรักษาบางชนิดอย่างต่อเนื่อง ทําให้มีการทําลายเชื้อแบคทีเรีย lactobacillus ที่มีหน้าที่ฆ่าเชื้อราในช่องคลอด ทําให้มีโอกาสทําให้เชื้อราในช่องคลอดเจริญเติบโต เกิดการอักเสบในช่องคลอดและปากช่องคลอด
การได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์ และได้รับยากดภูมิต้านทานทําให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง
การรับประทานยาคุมกําเนิดชนิดที่มีปริมาณฮอร์โมนมาก (high dose) ยาเม็ดคุมกําเนิดทําให้มีการเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และกระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อราได้
ภูมิต้านทานของร่างกายถูกกดจากการเป็นโรคเอดส์ หรือการได้รับเคมีบําบัด
การควบคุมภาวะเบาหวานไม่ดี มีระดับน้ําตาลในเลือดสูง น้ําตาลเป็นอาหารที่ดีของเชื้อรา ทําให้เชื้อราเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
การับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ําตาลมาก แป้งที่รับประทนเข้าไปจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ําตาล การดื่มเหล้ามาก เหล้ามีส่วนประกอบของน้ําตาลและน้ําตาลเป็นอาหารที่ดีชนิดหนึ่งของเชื้อรา จึงทําให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี
การสวมใส่ชุดชั้นในที่แน่นเกินไป ทําให้เกิดความอับชื้น เชื้อราเจริญได้ง่าย
การใช้น้ํายาล้างทําความสะอาดช่องคลอด และปากช่องคลอดบ่อยๆ
การใส่แผ่นอนามัยโดยไม่เปลี่ยนระหว่างวัน หรือไม่สะอาด จะทําให้เกิดความอับชื้นมากขึ้น
ความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายต่ํา ทําให้ติดเชื้อราได้ง่ายขั้น
การตั้งครรภ์ พบว่าขณะตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้น ทําให้ระดับ glycogen ในช่องคลอด
ขบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตขณะตั้งครรภ์ ภาวะความเป็นกรด-ด่าง ในช่องคลอดที่เปลี่ยนไป ทําให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี
อาการและอาการแสดง
อาจมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ (dyspareunia)
มีอาการคันและระคายเคืองมากในช่องคลอดและปากช่องคลอด ปากช่องคลอดเป็นผื่นแดง ช่องคลอดอักเสบ และบวมแดงแต่ปากมดลูกปกติ ตกขาวมีลักษณะสีขาวขุ่น อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหมือนนมตกตะกอน(curd-liked discharge หรือ cottage-cheese vaginal discharge) ตกขาวนี้จะเกาะติดแน่นกับผนังช่องคลอด ไม่มีกลิ่น หรือมีกลิ่นอับ
มีอาการปัสสาวะลําบาก และแสบขัดตอนสุด (external dysuria)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อทารก
ทารกที่คลอดทางช่องคลอดจากมารดาที่มีการติดเชื้อราในช่องคลอด จะเป็นเชื้อราในช่องปาก (oral thrush) ได้มากกว่าปกติ 2-35 เท่า
การตั้งครรภ์ ทําให้อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นมากขึ้นเป็น 2 เท่า มีความระคายเคือง คันช่องคลอดมากขึ้น การติดเชื้อราในช่องคลอดทั้งแบบไม่มีอาการและมีอาการ ไม่มีผลเสียต่อการตั้งครรภ์
การประเมินเเละการวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
2.การตรวจร่างกาย การตรวจภายในพบช่องคลอดบวมแดง และตกขาวมีลักษณะขุ่นรวมตัวกันเป็นก้อนเหมือนนมตกตะกอน
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 การตรวจด้วยวิธี wet mount smear จะพบเซลล์ของยีสต์ (yeast cell) และเส้นใยของเซลล์เชื้อรา (mycelium) pH น้อยกว่า 4.5 หรือนําตกขาวไปเพาะเชื้อ (culture) ใน sabouraud dextrose agar เชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดี เพราะมีน้ําตาล
3.2 การตรวจด้วยวิธีแกรมสเตน (gram stain) จะพบลักษณะเป็นเหมือนเส้นด้าย (gram positive pseudomycelial threads) และมีรูปร่างเหมือนยีสต์ (yeast-like form)
แนวทางการรักษา
2% Miconazole cream 5 กรัม ทาช่องคลอด 7วัน
Miconazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 7 วัน
Clotrimazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 6วัน
1% Clotrimazole cream 5 กรัม ทางช่องคลอด 6 วัน
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์ เข้าใจสาเหตุของการติดเชื้อ และการดูแลตนเองให้มีอาการสุขสบายขึ้นจากอาการคันในช่องคลอด และปากช่องคลอด
แนะนําการใช้ยาทา และยาเหน็บช่องคลอดตามแพทย์สั่ง โดยการเหน็บยาในช่องคลอดอย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาติดต่อกันจนยาหมด หากอาการยังไม่ดีขึ้น หรือยังมีอาการหลงเหลืออยู่ ให้ไปพบแพทย์ เพื่อการรักษาอย่างต่อเนื่อง
การทําความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก และการทําความสะอาดชุดชั้นในต้องซักให้สะอาดและตากแดดให้แห้งเสมอ ชุดชั้นในควรเป็นผ้าฝ้ายไม่ควรใช้ไนลอนเพราะจะทําให้อับชื้น
หากอาการติดเชื้อเป็นซ้ําๆ หรือสามีมีอาการแสดง ควรพาสามีให้มารักษาพร้อมกัน
ระยะคลอด
สามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเทอโรนลดลง อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดจะดีขึ้น
การดูแลมารดาหลังคลอดเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
เน้นการดูแลความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้สะอาดและแห้งเสมอ
สามารถเลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยต้องล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
ทารกแรกเกิดอาจมีการติดเชื้อในช่องปาก ซึ่งจะพบมีฝ้าขาวในช่องปาก ให้ปรึกษากุมารแพทย์เพื่อการดูแลทารกต่อไป
1.2 การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ (vaginal trichomoniasis)
การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ หรือเชื้อโปรโตซัวชื่อ trichomonas vaginalis ซึ่งเป็นพยาธิที่ไม่ต้องการออกซิเจน
อาการและอาการแสดง
ลักษณะของตกขาวมีสีขาวปนเทา หรือสีเหลืองเขียว ตกขาวเป็นฟอง (foamy discharge) มีกลิ่นเหม็น
มีอาการระคายเคืองที่ปากช่องคลอด มีจุดเลือดออกเป็นหย่อม ๆ (strawberry spot)
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ระยะคลอด
ให้คลอดทางช่อคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
แนะนําให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์และดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเสมอ
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ต้องได้รับการรักษาทั้งสามีและภรรยาให้หาย ในช่วงที่มีอาการ อาจต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ และรักษาให้หาย รวมถึงแนะนําการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
ให้คําแนะนําและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
แนะนําการเหน็บยา หรือการรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างถูกต้องและสม่ําเสมอ
แนะนําให้สามีมารับการรักษาพร้อมกัน
แนะนําการรักษาความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้แห้งสะอาดเสมอ และซักชุดชั้นในให้สะอาดตากแดดให้แห้ง
แนะนําการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยางอนามัย
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด มีความสัมพันธ์กับภาวะถุงน้ําคร่ําแตกก่อนกําหนด การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกคลอดก่อนกําหนด และทารกแรกเกิดมีน้ําหนักตัวน้อย
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ ได้แก่ประวัติการมีตกขาวจํานวนมาก เป็นฟอง มีกลิ่นเหม็น ร่วมกับอาการคัน ประวัติการตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิและการรักษา
การตรวจร่างกาย การตรวจภายในช่องคลอด พบตกขาวเป็นฟองสีเหลือเขียว อาจพบจุดเลือดออกเป็นหย่อมๆ ที่ผิวปากมดลูก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยwet mount smear จะพบเม็ดเลือดขาวจํานวนมาก อาจพบตัวเชื้อพยาธิเคลื่อนไหวไปมา ตกขาวมีฤทธิ์เป็นด่าง ค่า pH มากกว่า 4.5
แนวทางการรักษา
ยาที่ใช้ได้ผลดีที่สุดต่อการติดเชื้อพยาธิ คือ metronidazole แต่ห้ามใช้ในไตรมาสแรก เพราะอาจเป็น teratogen ดังนั้นยาที่สามารถใช้ในไตรมาสแรกได้อย่างปลอดภัยคือ clotriamazole 100 มิลลิกรัม สอดเข้าช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 6 วัน
หลังไตรมาสแรกไปแล้ว จะรักษาด้วย metronidazole โดยให้รับประทาน 2 กรัม ครั้งเดียว
ให้การรักษาสามีไปด้วย โดยให้ metronidazole หรือ tinidazole รับประทาน 2 กรัม ครั้งเดียว หรือ ornidazole 1.5 กรัม ครั้งเดียว
1.3 การตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (bacterial vaginosis)
แบคทีเรียที่ทําให้ช่องคลอดอักเสบมากที่สุดชื่อ gardnerella vaginalis ติดต่อทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่ สตรีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็อาจพบการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ได้จากการใช้สบู่ หรือเจลอาบน้ําที่มีสารระคายเคือง การใช้ห่วงคุมกําเนิด การนั่งโถสุขภัณฑ์ การลงสระว่ายน้ํา
อาการและอาการแสดง
มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อนปากช่องคลอด ในช่องคลอด ถ่ายปัสสาวะ
ลําบาก แสบขัด เจ็บขณะร่วมเพศ ตกขาวสีขาว สีเทา หรือสีเหลือง ข้นเหนียว มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา (fishy smell) โดยเฉพาะหลังการมี
เพศสัมพันธ์แล้ว เนื่องจากน้ําอสุจิมีฤทธิ์เป็นด่าง ทําปฏิกิริยากับแบคทีเรียแล้วมีการปล่อยสารเคมีออกมาทําให้มีกลิ่นเหม็นเน่า
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ถ้าไม่ได้รักษา อาจทําให้มีการติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้เชื้อแบคทีเรียยังจะคืบคลานเข้าสู่โพรงมดลูก ท่อนําไข่ ทําให้มีการติดเชื้อในมดลูก (chorioamnionitis) ปีกมดลูกอักเสบ (salpingitis) และเกิดการอักเสบในอุ้งเชิงกราน (pelvic inflammatory disease: PID) ได้
อาจทําให้เกิดการแท้งติดเชื้อ (septic abortion)
ถุงน้ําคร่ําแตกก่อนกําหนดและเจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด
มารดาหลังคลอดอาจมีไข้ ปวดท้องมากและมีอาการแสดงของเยื่อบุมดลูกอักเสบ (endometritis) ทั้งหลังการคลอดปกติและหลังการผ่าตัดคลอด
ผลกระทบต่อทารก
ทารกแรกเกิดน้ําหนักตัวน้อย และทารกคลอดก่อนกําหนด ซึ่งอาจตรวจพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียในหลอดลมทําให้มีภาวะหายใจลําบาก มีแบคทีเรียในเลือด ซึ่งต้องรีบรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เป็นเวลา 72 ชั่วโมง
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ ได้แก่ประวัติการมีตกขาวจํานวนมาก ปวดแสบปวดร้อนบริเวณปากช่องคลอดและในช่องคลอด ถ่ายปัสสาวะลําบา เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ประวัติการตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรียและการรักษา
การตรวจร่างกาย การตรวจทางช่องคลอดและการทํา pap smear จะพบเชื้อแบคทีเรียตรวจความเป็นกรด-ด่างในช่องคลอด จะได้ผลมีฤทธิ์เป็นด่าง ค่า pH มากกว่า 4.5
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 ตรวจ Wet smear โดยการหยด 10% Potassium Hydroxide(KOH) ลงไปบนตกขาว 2 หยดแล้ว คนให้เข้ากันจะได้กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา และถ้านําไปส่องกล้องจุลทรรศน์จะพบเชื้อ lactobacilli ลดลง เม็ดเลือดขาวมากว่า 5 cells/OF และพบ clue cells (คือ epithelial cell ที่มีแบคทีเรีย gram-negative coccobacilli เกาะอยู่รอบๆ) มากกว่าร้อยละ 20 แสดงว่าได้ผลบวก
3.2 การเพาะเชื้อ (culture) ตกขาวใน columbia agar ที่มีเลือดเป็นส่วนผสมหรือมี 5%CO2ใช้เวลา 3 วันเชื้อแบคทีเรียจะโตขึ้นเป็นกลุ่มเล็ก
แนวทางการรักษา
ให้ยา metronidazole 250 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง หรืออาจให้ metronidazole 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7-10 วัน
ให้ ampicillin 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ให้คําแนะนําและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ และเน้นย้ําให้เห็นความสําคัญของการมาตรวจตามนัด
รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกไม่ให้อับชื้นโดยใช้น้ําธรรมดา หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ซึ่งอาจไปทําลายเชื้อโรคประจําถิ่นได้
แนะนําให้พาสามีไปตรวจและรักษาโรคพร้อมกัน
แนะนําการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง ท้องแข็งบ่อย มีเลือดออกทางช่องคลอด ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นอาการของการคลอดก่อนกําหนดได้
ระยะคลอด
ผู้คลอดสามารถคลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ โดยให้การพยาบาลเหมือนผู้คลอดทั่วไป
ระยะหลังคลอด
ให้การดูแลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
2.สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยเน้นเรื่องการล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
เน้นการทําความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ให้สะอาดและแห้งเสมอ
หากมีอาการผิดปกติให้รีบมาพบแพทย์ทันที
หนองใน (Gonorrhea)
หนองใน (gonorrhea) เกิดจากการติดเชื้อ Neiseria gonorrheae หรือ gonococcus (GC) ซึ่งเป็นแบคทีเรียทรงกลมอยู่เป็นคู่ (gram negative diplococci)
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อหนองในหรือมีประวัติเคยป่วยด้วยโรคหนองในมาก่อน รวมถึงประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อหนองใน
การตรวจร่างกายตรวจทางช่องคลอดจะพบหนองสีขาวขุ่น บางรายอาจพบเลือดปนหนอง หากมีการอักเสบมากขาหนีบจะบวม กดเจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลิน หรือต่อมข้างท่อปัสสาวะ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการตรวจขั้นต้นโดยการเก็บน้ําเหลืองหรือหนองจากส่วนที่มีการอักเสบมาย้อมสีตรวจ gram stain smear
แนวทางการรักษา
1.ตรวจคัดกรองขณะตั้งครรภ์ตามปกติ (VDRL)
หากพบว่ามีเชื้อให้ยา ceftriaxone, azithromycin, penicillin ได้ทั้งรับประทานและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ทารกแรกเกิดทุกรายควรได้รับยาป้ายตาคือ 1% tetracycline ointment หรือ 0.5% erythromycin ointmentหรือ 1% Silver nitrate (AgNO3)หยอดตาตาทารก หลังคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ตา
พยาธิสรีรภาพเมื่อเชื้อ Neiseria gonorrheaeเข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปเกาะติดกับเซลล์เยื่อบุและเซลล์ขับเมือก โดยจะพยายามผ่านเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเข้าไปเพิ่มจํานวนเซลล์ในชั้น subepithelial tissue จากนั้นเชื้อ Neiseria gonorrheaeจะทําปฏิกิริยากับภูมิต้านทานของร่างกาย ทําให้เกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อเซลล์และเนื้อเยื่อ ส่งผลให้เนื้อเยื่ออักเสบเป็นหนอง
อาการและอาการแสดง
การอักเสบของปากมดลูกและช่องคลอดทําให้ตกขาวเป็นหนองข้นปริมาณมาก อาจพบอาการกดเจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลิน (bartholin’s gland)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ไม่มีอาการ มีบุตรยาก กรณีที่มีอาการขณะตั้งครรภ์จะทําให้ถุงน้ําคร่ําอักเสบและติดเชื้อ ถุงน้ําคร่ําแตกก่อนกําหนด แท้งบุตร และการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด
ผลกระทบต่อทารก
ทารกแรกเกิดที่คลอดปกติผ่านทางช่องคลอดมีการติดเชื้อหนองในที่ปากมดลูก ช่องคลอด หรืออวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก โดยเฉพาะบริเวณเยื่อเมือกที่ตาของทารก ทําให้เกิดตาอักเสบ (gonococcal ophalmia neonatorum) และอาจเป็นสาเหตุให้ตาบอดได้ หากทารกแรกเกิดกลืนหรือสําลักน้ําคร่ําที่มีเชื้อหนองในเข้าไปจะทําให้ช่องปากอักเสบ หูอักเสบ กระเพาะอาหารอักเสบได้
ซิฟิลิส (Syphilis)
โรคซิฟิลิส (syphilis) เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum (T. Pallidum) มีระยะฟักตัวประมาณ 10-90 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 3 สัปดาห์ เชื้อ T. Pallidumสามารถติดจากคนสู่คนโดยการสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือเยื่อบุที่มีรอยถลอกเล็กๆ ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น และสตรีตั้งครรภ์สามารถผ่านเชื้อนี้ไปให้ทารกที่อยู่ในครรภ์ได้
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อซิฟิลิส
การตรวจร่างกายกรณีที่มีอาการและอาการแสดงอาจตรวจพบไข้ต่ํา ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ตรวจอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกพบแผลที่มีลักษณะขอบแข็ง กดไม่เจ็บ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 ระยะที่เป็นแผลสามารถวินิจฉัยโดยการตรวจหาเชื้อ T. Pallidum จากแผล chancre หรือผื่น มาตรวจด้วยกล้อง dark-field microscope ซึ่งเป็นกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ หากพบเชื้อ T. Pallidum จะถือว่าเป็น definition diagnosis
3.2 หากไม่มีแผลหรือผื่น การวินิจฉัยทําโดยการตรวจเลือด
3.2.1 การตรวจหา antibody ที่ไม่จําเพาะต่อเชื้อ (nontreponemal test) ได้แก่การตรวจ Rapid plasma Reagin (RPR), Venereal Disease Research Laboratory (VDRL) test, และ the toluidine red unheated serum tes
3.3 การคัดกรองส่วนใหญ่นิยมใช้การตรวจด้วยวิธี VDRL เนื่องจากเป็นวิธีที่ให้ผลเร็ว ใช้คัดกรองในสตรีตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ครั้งแรก หากผล reactive (titer มากกว่า 1:8) จะต้องตรวจยืนยันด้วยการตรวจ treponema testโดยวิธี TPHA หรือTPPA
อาการและอาการแสดง
ซิฟิลิสระยะแรก หรือระยะที่หนึ่ง (primary stage)
หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วัน หรือประมาณ 3 สัปดาห์ จะเกิดแผล กลม นิ่ม ขอบนูนแข็ง ไม่เจ็บ เรียว่าแผล chancre บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกหรือในช่อง
คลอดและปากมดลูก ต่อมน้ําเหลืองบริเวณขาหนีบโตแต่กดไม่เจ็บมักจะพบเพียง 1 แผล แผลจะเป็นอยู่นานประมาณ 3-6 สัปดาห์ จากนั้นแผลจะหายได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษา และจะเข้าสู่ซิฟิลิสระยะที่สอง
2 ซิฟิลิสระยะที่สอง (secondary stage)
ขณะที่แผลกําลังจะหาย หรือหลังจากแผลหายจะพบผื่นกระจายทั่วร่างกาย ฝ่ามือฝ่าเท้า เยื่อบุรวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์ โดยผื่นที่พบบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์จะยกนูน ร่วมกับมีอาการไข้ ต่อมน้ําเหลืองโต เจ็บคอ ผมร่วงเป็นหย่อมๆ ปวดศีรษะ น้ําหนักลด ซึ่งอาการในระยะนี้จะหายได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษา จากนั้นประมาณ 3-12 สัปดาห์จะเข้าสู่ระยะแฝง
ระยะแฝง (latent syphilis)
ระยะนี้จะไม่มีอาการใดๆ แต่กระบวนการติดเชื้อยังดําเนินอยู่และสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ รวมถึงอาจมีการกําเริบของโรคได้ ซึ่งระยะแฝงของซิฟิลิสจะอยู่ได้นานเป็นปี หากยังไม่ได้รับการรักษาจะพัฒนาไปเป็นซิฟิลิสระยะที่ 3
ซิฟิลิสระยะที่ 3 หรือระยะท้ายของโรคซิฟิลิส (tertiary syphilis)
ระยะนี้เชื้อจะเข้าไปทําลายระบบหัวใจและหลอดเลือด ทําให้เกิด aortic aneurysm และ aortic insufficiency ถ้าเชื้อเข้าสู่ระบบประสาทจะเกิดผิวหนังอักเสบ กระดูกผุ เยื่อบุสมองอักเสบ และเสียชีวิตในที่สุด เกิดรอยโรคที่อวัยวะภายในและกระดูกที่มีลักษณะเฉพาะเรียกว่า gumma lesion และอาจตรวจพบรูม่านตาที่ค่อนข้างเล็ก และหดเล็กลงได้เมื่อมองใกล้ แต่ไม่หดเล็กลงเมื่อถูกแสง เรียกว่า Argyll Robertson Pupil
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ทําให้ผิวหนังและเนื้อเยื่ออักเสบ คลอดก่อนกําหนด และแท้งบุตร
ผลต่อทารก
ทารกคลอดก่อนกําหนด ตายคลอด ทารกแรกเกิดติดเชื้อซิฟิลิส(neonatalsyphilis) ทารกพิการแต่กําเนิดโดยอาจพบความพิการของตับม้ามโต ทารกตัวบวมน้ํา ตัวเหลือง เยื่อบุส่วนต่างๆของร่างกายเกิดการอักเสบ ผิวหนังที่ฝ่ามือฝ่าเท้าอักเสบและลอกเป็นขุย ปัญญาอ่อน เป็นโรคหัวใจแต่กําเนิด
แนวทางการรักษา
การรักษาเป็นแนวทางเดียวกับสตรีที่ติดเชื้อซิฟิลิสขณะไม่ตั้งครรภ์ โดยยึดหลักการรักษาให้หาย ครบถ้วน และต้องให้สามีมารับการตรวจและรักษาพร้อมกัน
ให้ยา Penicillin Gซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาซิฟิลิสในสตรีตั้งครรภ์ และป้องกันการติดเชื้อของทารก
การรักษาในระยะ primary, secondary และ early latent syphilisรักษาด้วยBenzathine Penicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกครั้งเดียว
การรักษาในระยะ late latent syphilis จะรักษาด้วย Benzathine Penicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะพก 3 สัปดาห์ติดต่อกัน และภายหลังการรักษาควรตรวจ VDRL title เมื่อครบ 6 และ 12 เดือน หาก title ลดลง 4 เท่าหลังการรักษา ถือว่าตอบสนองการรักษาดี แต่หาก title เพิ่มขึ้น 4 เท่า แสดงว่ารักษาไม่หาย ต้องเริ่มรักษาใหม่
การติดเชื้อเอชไอวีในสตรีตั้งครรภ์ (Human Immunodeficiency Virus [HIV]during pregnancy)
การติดเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus: HIV)
ในสตรีตั้งครรภ์สามารถติดต่อผ่านทางเลือด ทางเพศสัมพันธ์ และจากมารดาสู่ทารก
การแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารก
การติดเชื้อ HIV ระหว่างตั้งครรภ์
เชื้อไวรัสสามารถผ่านทางรก โดยผ่านเซลล์ trophoblast และ macrophages เข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดของทารกในครรภ์ ทําให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อ HIV
การติดเชื้อ HIV ระหว่างคลอด
ระหว่างคลอดทารกจะสัมผัสกับเลือดของมารดา น้ําคร่ํา และสารคัดหลั่งในช่องคลอดของมารดา
การติดเชื้อ HIV ระยะหลังคลอด
ภายหลังคลอดทารกจะติดเชื้อได้จากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของมารดา แต่ส่วนใหญ่มักจะติดเชื้อจากน้ํานมมารดา
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังการติดเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย เชื้อ HIV จะใช้ส่วน GP120 ที่ผิวของเชื้อ HIV จับกับ CD4 receptor ของเซลล์เม็ดเลือดขาว จากนั้นเชื้อ HIV จะเข้าไปในเซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านั้น แล้วใช้ enzyme reverse transcriptaseสร้างviral DNA แทรกเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาวแล้วเพิ่มจํานวนเม็ดเลือดขาวที่มีเชื้อไวรัส HIV ทําให้ร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ HIV จํานวนมาก ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ HIV จะแตกสลายง่าย ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ทําให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง
อาการและอาการแสดง
ระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อ HIVระยะนี้เริ่มตั้งแต่ติดเชื้อ HIV จนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้าง antibody กินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์หลังติดเชื้อ จากนั้นจะเริ่มมีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ําเหลืองโต บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปได้เอง บางรายอาจไม่มีอาการและอาการแสดงใด
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการระยะนี้ร่างกายจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่หากตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และ antibody ต่อเชื้อ HIV และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการจะนาน 5-10 ปี บางรายอาจนานมากกว่า 15 ปี
ระยะติดเชื้อที่มีอาการอาจพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ได้แก่ มีอุณหภูมิร่างกายสูงมากกว่า 37.80C เป็นพักๆ หรือติดต่อกันทุกวัน ท้องเดินเรื้อรัง หรืออุจจาระร่วงเรื้อรัง น้ําหนักลดเกิน 10% ของน้ําหนักตัว ต่อมน้ําเหลืองโตมากกว่า 1 แห่ง เป็นงูสวัด และพบเชื้อราในปากหรือฝ้าขาว (hairy leukoplakia) ในช่องปาก
ระยะป่วยเป็นเอดส์จะมีอาการดังต่อไปนี้ คือ ไข้ ผอม ต่อมน้ําเหลืองโตหลายแห่ง ซีด อาจพบลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อรา แผลเริมเรื้อรัง ผิวหนังเป็นแผลพุพอง ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันจะเสื่อมเต็มที่ ทําให้เชื้อโรคฉวยโอกาสเข้ามาในร่างกาย
การป้องกันและการรักษา
การให้ยาต้านไวรัสแก่สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV เพื่อลดปริมาณของเชื้อ HIV ในเลือดให้ต่ําที่สุด คือน้อยกว่า 50 copies/ml และเพิ่มปริมาณCD4 ให้สูงที่สุด โดยการรักษาจะให้ยาต้านไวรัสหลายชนิดร่วมกัน โดยสูตรยาประกอบด้วยยาอย่างน้อย 3 ตัว(highly active anti retro therapy: HAART regimen) ก่อนให้ยาควรมีการตรวจวัดปริมาณไวรัส โดยควรตรวจวัดตั้งแต่มาฝากครรภ์ครั้งแรกและ 2-4 สัปดาห์หลังได้รับหรือเปลี่ยนยา ตรวจติดตามทุก 1 เดือน จนกระทั่งปริมาณไวรัสอยู่ในระดับที่ไม่สามารถตรวจวัดได้ จากนั้นติดตามทุก 3 เดือน และตรวจซ้ําเมื่ออายุครรภ์ 34-36 สัปดาห์
พิจารณาระยะเวลาที่จะให้คลอดและวิธีการคลอด
1 การพิจารณาให้คลอดทางช่องคลอด การคลอดทางช่องคลอดจะพิจารณาสําหรับสตรีตั้งครรภ์ที่มีปริมาณ viral load อยู่ในระดับต่ํา (50-999 copies/ml) สามารถรอให้เจ็บครรภ์คลอดเองได้จนถึงอายุครรภ์ 40-42สัปดาห์
2 การพิจารณาเจาะถุงน้ําคร่ําเพื่อชักนําการคลอด พิจารณาปริมาณ viral load ต้อง ≤50 copies/ml จึงจะไม่เสี่ยงต่อการถ่ายทอดเชื้อ
3 หลีกเลี่ยงการโกนขนบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก และหลีกเลี่ยงการืทําหัตถการที่จะทําให้ได้รับบาดเจ็บ หรือทารกมีโอกาสสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งจากมารดา
การพยาบาล
ระยะคลอด
ให้การดูแลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป ได้แก่ ประเมินสัญญาณชีพ และเสียงหัวใจทารกอย่างใกล้ชิด ติดตามความก้าวหน้ายองการคลอด สังเกตความผิดปกติต่าง ๆ เตรียมตรวจ และติดตามการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
หากปริมาณ viral load ≤ 50 copies/mL แพทย์อาจพิจารณาเจาะถุงน้ําคร่ําเพื่อชักนําการคลอด ก่อนเจาะ ขณะเจาะ และหลังเจาะถุงน้ําคร่ํา ให้การพยาบาลเช่นเดียวกับผู้คลอดที่ไม่มีการติดเชื้อ
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ พร้อมทั้งอธิบายให้ผู้คลอดที่ติดเชื้อ HIV ทราบถึงวิธีการแพร่กระจายเชื้อ และการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ทําคลอดด้วยวิธีที่ทําให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้คลอดกและทารกน้อยที่สุด
ระยะตั้งครรภ์
1.คัดกรองสตรีตั้งครรภ์และสามีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยให้คําปรึกษาก่อนและหลังการตรวจเลือด โดยสตรีตั้งครรภ์ทุกรายควรได้รับการตรวจหาการติดเชื้อ HIV จํานวน 2 ครั้ง เมื่อผลตรวจเป็นลบ คือ เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรก และตรวจซ้ําเมื่ออายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์
ให้ข้อมูลแก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับการดําเนินของโรค
แนะนําให้มาฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง
ให้ความรู้แก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับหลักมาตรฐานในการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ผลการตรวจ CD4 หากน้อยกว่า 200 copies/mL แสดงถึงความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสสู
ประเมินภาวะแทรกซ้อนจากการได้รัยยาต้านไวรัส
ระยะหลังคลอด
1.ดูแลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution
ให้คําแนะนําแก่มารดาหลังคลอดเพื่อป้งอกันการแพร่กระจายเชื้อ ดังนี้
2.1 หลีกเลี่ยงเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา เพราะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ทารก ซึ่งในปัจจุบันกรมอนามัยให้การสนับสนุนนมผสมสําหรับทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV โดยไม่มีค่าใช้จ่ายนาน 18 เดือน
2.2 แนะนําให้ใส่เสื้อชั้นในที่คับเพื่อยับยั้งการสร้างและหลั่งน้ํานม
2.3 แนะนําวิธีป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่บุคคลอื่น การกําจัดสารคัดหลั่งอย่างถูกวิธี
2.4 อธิบายให้มารดาหลังคลอดเข้าใจและตระหนักถึงความสําคัญในการดูแลตนเองและการมาตรวจตามนัด
2.5 แนะนําการวางแผนครอบครัว โดยสามารถใช้วิธีคุมกําเนิดได้ทุกวิธีโดยต้องใช้ร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยเสมอ (dual protection) โดยมีข้อแนะนําเพิ่มเติม คือ
2.5.1 การใช้ห่วงอนามัยไม่เหมาะสําหรับรายที่ CD4 ต่ํา และ viral load ในเลือดสูง เพราะเสี่ยงต่อการอักเสบในอุ้งเชิงกราน
2.5.2 ในมารดาหลังคลอดที่ได้รับยาต้านไวรัส EFV และ LPV/r อาจจะทําให้ประสิทธิภาพของการคุมกําเนิดของยาเม็ดคุมกําเนิดลดลง จึงควรใช้ยาเม็ดคุมกําเนิดที่มีระดับ ethinyl estradiol (EE) ≥ 30 ไมโครกรัม และใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยทุกครั้ง
2.5.3 ไม่แนะนําให้ใช้ยาฆ่าอสุจิ (spermicides) เพราะจะทําให้เยื่อบุปากมดลูก และช่องคลอดเกิดการระคายเคืองทําให้เพิ่มปริมาณไวรัสในช่องคลอด เพิ่มโอกาสการถ่ายทอดเชื้อ
2.5.4 หากมีบุตรเพียงพอแล้ว แนะนําให้ทําหมันชายหรือหญิง
2.6 อธิบายให้มารดาหลังคลอดเข้าใจและตระหนักถึงความสําคัญของการนําทารกมาตรวจเลือด เพื่อประเมินการติดเชื้อ HIV และมารับภูมิคุ้มกันโรคตามปกติ โดยทารกทุกรายที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อHIV จะต้องได้รับการตรวจ anti-HIV อีกครั้งเมื่ออายุ 18 เดือน เพื่อยืนยันประวัติการวินิจฉัย
2.7 จัดให้บริการปรึกษาแก่มารดาหลังคลอดที่ติดเชื้อ HIV อย่างต่อเนื่อง ภายหลังจําหน่ายออกจากโรงพยาบาลแล้
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV และมีปริมาณ CD4 ต่ํา มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบต่อทารก
มีโอกาสที่ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกําหนด ทารกแรกเกิดน้ําหนักตัวน้อย ทารกมีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ และทารกตายคลอด
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ หรือสงสัยว่าจะติดเชื้อ ประวัติการใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
การตรวจร่างกายโดยการตรวจร่างกายทั่วไป ซึ่งหากเป็นระยะที่แสดงอาการอาจพบว่ามีไข้ ไอ ต่อมน้ําเหลืองโต มีแผลในปาก มีฝ้าในปาก ติดเชื้อราในช่องคลอด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 การตรวจเชื้อ HIV (HIV viral testing) เป็นการตรวจหาเชื้อ HIV หรือส่วนประกอบของเชื้อ ได้แก่ ตรวจหาโปรตีนชนิด p24 antigen หรือสารพันธุกรรมของเชื้อ HIV
3.2 การตรวจหา antibody ต่อเชื้อ HIV เป็นวิธีมาตรฐานสําหรับการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV หลักการที่ใช้ ได้แก่ enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA
3.2 การตรวจหา antibody ต่อเชื้อ HIV เป็นวิธีมาตรฐานสําหรับการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV หลักการที่ใช้ ได้แก่ enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA
การตรวจพิเศษการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น ตรวจเสมหะและเอกซเรย์ ในรายที่สงสัยจะเป็นวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบแทรก เจาะหลังในรายที่สงสัยจะเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การติดเชื้อเริม (Herpes simplex)
การติดเชื้อเริม (herpes simplex) โรคนี้เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของแผลอวัยวะเพศ สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสคือ Herpes simplex virus (HSV) เข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางเยื่อบุ หรือแผลที่ผิวหนัง เชื้อแบ่งเป็น HSV–1และ HSV–2 เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทรับความรู้สึก เชื้อนี้สามารถถูกกระตุ้นให้กลับมาที่ผิวหนังได้อีกเป็นครั้งคราว ทําให้เกิดโรคซ้ําได้เรื่อยๆ
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะทําให้ผิวหนังเป็นตุ่มน้ําใส เล็กๆจํานวนมาก เมื่อตุ่มน้ําแตก หนังกําพร้าจะหลุดพร้อมกับทําให้เกิดแผลตื้น ทําให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่แผล ขณะเดียวกันเชื้อก็จะเดินทางไปแฝงตัวที่ปมประสาท และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ํา
อาการและอาการแสดง
อาการของการติดเชื้อปฐมภูมิมักเกิด 3-7 วันหลังการสัมผัสเชื้อ โดยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน และคันบริเวณที่สัมผัสโรค จากนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ําใสๆ แล้วแตกกลายเป็นแผลอยู่ 2 สัปดาห์ ก่อนจะตําสะเก็ด บางรายอาจมีอการคล้ายหวัด ได้แก่ ไข้ต่ําๆ อ่อนเพลัย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ําเหลืองที่ขาหนีบโต ผู้ที่เคยติดเชื้อ HSV มักจะเกิดการติดเชื้อซ้ําเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ําโดยจะมีอาการเหมือนกับการติดเชื้อปฐมภูมิ แต่อาการจะไม่ค่อยรุนแรง รอยโรคจะน้อยกว่า ระยะเวลาที่เป็นน้อยกว่า และไม่ค่อยพบต่อน้ําเหลืองที่ขาหนีบโต
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อครั้งแรกขณะตั้งครรภ์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด ส่วนการติดเชื้อซ้ําขณะตั้งครภร์มีผลกระทบค่อนข้างน้อย
ผลกระทบต่อทารก
ทารกมีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกําหนด หากทารกมีการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ จะทําให้เกิดความพิการแต่กําเนิดสูง ส่งผลให้ทารกเสียชีวิตได้ และหากให้คลอดทางช่องคลอดทารกอาจติดเชื้อขณะคลอดได้
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการเคยติดเชื้อเริมมาก่อนหรือไม่ หรือเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นเริมที่อวัยวะสืบพันธ์หรือไม่ รวมถึงซักประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อเริม
การตรวจร่างกายจะพบตุ่มน้ําใส หากตุ่มน้ําแตกจะพบแผลอักเสบ แดง ปวดแสบปวดร้อนบริเวณขอบแผลค่อนข้างแข็ง แต่ไม่ติดแน่นกับอวัยวะข้างเคียงเหมือนกับแผลจากการติดเชื้อซิฟิลิส อาจพบต่อน้ําเหลืองที่ขาหนีบโตแบบกดไม่เจ็บ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 การเพาะเชื้อใน Hank’s medium โดยนําของเหลวที่ได้จากตุ่มน้ําหรือจากก้นแผลมาทําการเพาะเชื้อ เป็นวิธีที่มีความแม่นยําสูงและมีความไวมาก
3.2 การขูดเนื้อเยื่อจากแผลมาทําการย้อมและดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ (exfoliative cytology หรือ pap smear) วิธีนี้ทําได้ง่าย แต่ความไวในการตรวจพบเชื้อค่อนข้างต่ํา
3.3 การทําให้ตุ่มน้ําแตกแล้วขูดบริเวณก้นแผลมาป้ายสไลด์แล้วย้อมสี (Tzanck’s test)
แนวทางการรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษา herpes simplex ให้หายขาดได้ การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ยาแก้ปวด ยาปฏิชีวนะในรายที่มีการติดเชื้อซ้ําเติม ล้างแผลด้วย NSS ในรายที่เป็นการติดเชื้อเริมที่อวัยวะเพศครั้งแรกและมีอาการรุนแรง เป็นต้น
ให้ Acyclovir 200 mg รับประทานวันละ 5 ครั้ง นาน5-7 วัน แต่หากมีอาการของระบบอื่นที่รุนแรงร่วมด้วยอาจให้ Acyclovir 5 mg/kg ฉีดเข้าหลอดเลือดดํา ทุก 8 ชั่วโมง นาน 5-7 วัน
การรักษาในระยะคลอด มีดังนี้
3.1 กรณีที่เคยติดเชื้อเริมมาก่อน แต่ขณะคลอดตรวจไม่พบรอยโรคหรือไม่มีอาการของการติดเชื้อ ให้คลอดทางช่องคลอด และเฝ้าระวังทารก เพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม
3.2 กรณีที่พบรอยโรคขณะคลอดไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อครั้งแรก หรือติดเชื้อซ้ํา ให้คลอดโดยการผ่าตัดคลอด
หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate)
หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate) เกิดจากการติดเชื้อ human papilloma virus (HPV) มีระยะฟักตัวนาน 2-3 เดือน ติดต่อจากการสัมผัสรอยโรคโดยเฉพาะทางเพศสัมพันธ์
อาการและอาการแสดง
มีรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ขนาดแตกต่างกัน มักเกิดบริเวณอับชื้น เช่น ปากช่องคลอด หรือในช่องคลอด เป็นต้น การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์รอยโรคจะขยายใหญ่ มีผิวขรุยระคล้ายดอกกะหล่ําและยุ่ยมาก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
หากเกิดรอยโรคใหญ่อาจขัดขวางช่องทางคลอด หรือทําให้เกิดการตกเลือดหลังคลอด และมารดาหลังคลอดมีโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
ผลกระทบต่อทารก
ทารกอาจติดเชื้อหูดหงอนไก่ระหว่างตั้งครรภ์และขณะคลอด บางรายอาจเกิด laryngeal papillomatosis ทําให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจส่วนบนเสียงเปลี่ยน (voice change) เสียงร้องไห้แหบผิดปกติ (abnormal cry)
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติ ประวัติเคยติดเชื้อหูดหงอนไก่มาก่อน
การตรวจร่างกายจะพบรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ผิวขรุขระคล้ายดอกกะหล่ํา
การตรวจทางห้องปฏิบัติการควรวินิจฉัยแยกโรคออกจากซิฟิลิสและgenital cancer (CA vulva)โดยการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา หรือตรวจ Pap smear หรือตรวจหาเชื้อ HPV โดยวิธี Polymerase Chain Reaction (PCR) หรือการตรวจ DNA (DNA probe)
แนวทางการรักษา
ทาบริเวณรอยโรคด้วย 85% trichlorracetic acid หรือ bichloroacetic acid ทุก 7-10 วัน
ใช้ยาท่าร่วมกับการจี้ laser หรือ cryosurgery หรือ electrocoagulation with curettage
แนะนําการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการอับชื้นบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ระยะคลอดหากหูดหงอนไก่มีขนาดใหญ่ อาจพิจารณาผ่าตัดคลอด เพื่อหลีกเลี่ยงการคลอดติดขัดและการตกเลือดหลังคลอด เพื่อป้องกันการติดเชื้อในทารกแรกเกิด