Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 7การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ - Coggle Diagram
บทที่ 7การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนและการดูดเสมหะ
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจนที่มีต่อร่างกาย
แบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วนหลักดังนี้
ความดันออกซิเจนทำให้เกิดการขนส่งออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อ
ความดันออกซิเจนและการขนส่งสู่เนื้อเยื่อหลังจากเลือดที่ออกจากปอดมีความดันออกซิเจนในเลือดสูงอยู่ เม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนจำนวนน้อยสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปหาเซลล์ต่างๆแต่เมื่อการเดินทางไปในอวัยวะที่ไกลขึ้น ความเข้มข้นออกซิเจนในเลือดลดลง
การหมุนเวียนเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
กลไกการขนส่งมี 2อย่างที่เป็นหลักคือ
การขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์โดย hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
คาร์บอนไดออกไซด์ไปรวมกับน้ำ เพื่อเกิดสารประกอบ กรดคาร์บอนิก(H2CO3) และแตกตัวเป็นไฮโดรเจนไออน(H+)กับไบคาร์บอเนต(HCO3)
การทำงานของเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่ขนส่งก๊าซเม็ดเลือดแดงเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่ง มีหน้าที่หลักในการขนและส่งก๊าซในระบบหมุนเวียน มีอายุขัยประมาณ 120 วัน
ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับออกซิเจนของบุคคล
ภาวะที่ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย อาจเนื่องมาจากสภาวะต่างๆ ได้แก่
การเดินทางหรืออาศัยในที่สูงภาวะดังกล่าวจะมีความหนาแน่นของอากาศลดลง มีผลให้ออกซิเจนมีระดับต่ำกว่าปกติ
อยู่ในที่ที่มีมลพิษสูง ภาวะดังกล่าวทำให้อากาศบริเวณนั้นมีออกซิเจนลดลง การที่ร่างกายได้รับสารพิษจากอากาศ ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในขบวนการขจัดสารพิษ
การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ขณะออกกำลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติอาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เป็นสาเหตุทำให้เหนื่อยเร็ว และอ่อนล้า
ความเครียด ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ การหายใจถี่ขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาหารที่มีไขมันมาก จะมีปริมาณออกซิเจนน้อย เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง
ผู้สูงอายุ ร่างกายของคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ความเสื่อมเกิดขึ้นได้ทุกระบบในร่างกาย เช่น ระบบการหมุนเวียนเลือดและหัวใจ ทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
การสูบบุหรี่ มีผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ระบบ เช่น กล่องเสียง หลอดเลือดในสมอง ถุงลม และปอดทำให้ความสามารถในการรับออกซิเจนน้อยลง
การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ การดื่มในปริมาณมากเกินควรจะส่งผลให้ร่างกายเกิดผลเสียแบบเฉียบพลับและเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อตับ สมอง หรือหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น
เทคนิคการพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการให้ออกซิเจนแบบต่างๆ
อุปกรณ์และวิธีการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
การให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เป็นการเพิ่มระดับออกซิเจนในเลือดเพื่อแก้ไขภาวะการพร่องออกซิเจนเนื่องด้วยจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง บทบาทพยาบาลในการพิจารณาให้ออกซิเจนนั้นขึ้นอยู่กับสภาวะสุขภาพของผู้ป่วย วัตถุประสงค์อุปกรณ์และเครื่องมือ
ระบบการให้ออกซิเจน
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดต่ำ
การให้ออกซิเจนชนิดเขี้ยว
ข้อเสีย
อาจมีการระคายเคืองช่องจมูกทั้งสองข้าง ทำให้เยื่อบุจมูกบวมและมีน้ำมูกออกมาอุดทำให้ท่อตันได้ จึงควรทำความสะอาดท่อและรูจมูกทุก 8 ชั่วโมง และปรับสายรัดรอบศีรษะของผู้ป่วยให้พอเหมาะปรับอัตราไหลของออกซิเจน
การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก
Simple mask
Reservoir bag (partial rebreathing mask)
Non rebreathing mask
ระบบการไหลของออกซิเจนชนิดสูง
การให้ออกซิเจนชนิดT-piece
การให้ออกซิเจนทางท่อหลอดลม
การให้ออกซิเจนชนิด croupette tent
การให้ออกซิเจนชนิด hood หรือ oxygen box
การให้ออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ
ระบบให้ความชื้น
ชนิดละอองโต
ชนิดละอองฝอย
แหล่งให้ออกซิเจน
ถังบรรจุออกซิเจน
อุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซชนิดใช้กับก๊าซที่มีแรงดันสูงเป็นอุปกรณ์ควบคุมที่ช่วยกำหนดอัตราการไหลของก๊าซออกซิเจนและควบคุมค่าแรงดันของก๊าซในถังออกซิเจนให้ลดลงเหลือเท่ากับค่าแรงดันที่ต้องการใช้จริง ซึ่งมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ50 psiรูปที่
ระบบท่อ
อุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซชนิดใช้กับก๊าซที่มีแรงดันต่ำ(low-pressure gas regulator หรือflow meter)เป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมอัตราการไหลของก๊าซออกซิเจนให้ออกมาถูกต้องตามที่ต้องการ
การประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
การประเมินสภาพร่างกาย
ใช้เทคนิคการสังเกต และการประเมินสัญญาณชีพ ประกอบด้วย อุณหภูมิร่างกาย (Temperature: T) ชีพจร (Pulse: P) การหายใจ (Respiration: R) และความดันโลหิต (Blood pressure: BP)โดยใช้เทคนิคการสังเกตลักษณะทั่วไป
ระบบทางเดินหายใจระยะแรกของเซลล์พร่องออกซิเจนอย่างอ่อนสังเกตพบผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่สะดวกหายใจลำบากเมื่อนอนราบ (Orthopnea)ต้องนั่งหายใจหลังจากนอนหลับไปแล้วระยะหนึ่งต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจ
ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประเมินพบ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นในระยะแรก เพื่อปรับชดเชย ระยะต่อมาหัวใจเต้นผิดจังหวะ บีบตัวช้าลง เจ็บหน้าอก และหัวใจหยุดเต้นในระยะสุดท้าย
ระบบประสาทส่วนกลาง สังเกตและประเมินพบ ความรู้สึกตัวของผู้ปุวยเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย สับสน มึนศีรษะ ปวดศีรษะ(เนื่องจากหลอดเลือดสมองขยายตัว)เพ้อ หมดสติ หรือชัก
ระบบผิวหนัง ระยะแรกพบว่า ผิวหนังผู้ปุวยเย็น ซีดเพราะร่างกายจะตอบสนองต่อภาวะพร่องออกซิเจน โดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ
ระบบทางเดินอาหาร ประเมินและสังเกตพบมีอาการคลื่นไส้อาเจียนในระยะแรก
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับค่าก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG)
pH เป็นตัวชี้วัดภาวะความเป็นกรดด่างของร่างกาย ค่าปกติ อยู่ระหว่าง7.35-7.45ถ้าค่าต่ำกว่า 7.35แสดงว่าเกิดภาวะเป็นกรด และถ้าค่าสูงกว่า 7.45แสดงว่าเกิดภาวะเป็นด่าง
PaCO2เป็นการวัดความดันของคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)ในเลือด ถ้าระดับของ CO2ในเลือดสูงเพิ่มขึ้นอัตราการหายใจจะเร็วขึ้นเพื่อให้ปอดสามารถขับ CO2ที่คั่งออก ค่าปกติอยู่ระหว่าง35-45 mmHg
PaO2เป็นตัวบ่งชี้ให้ทราบถึงปริมาณของออกซิเจน (O2)ในเลือดที่จับกับHemoglobinค่าปกติอยู่ระหว่าง80-100 mmHgการแปลผลภาวะขาดออกซิเจนแปลผล 3 ระดับ
Mild hypoxemia:PaO2มีค่าระหว่าง 60 –80 mmHg
Moderate hypoxemia:PaO2มีค่าระหว่าง 40-60mmHg
Severe hypoxemia:PaO2มีค่าน้อยกว่า 40 mmHg
HCO3เป็นการวัดค่าความเข้มข้นไฮโดรเจนไอออน(HCO3-) ในเลือดที่ช่วยบอกการทำงานของไต หรือความเป็นกรดด่างในร่างกายได้ค่าปกติอยู่ระหว่าง18-25 mEg/L
SaO2เป็นค่าเปรียบเทียบระหว่าง Hemoglobin ที่มี O2ที่อิ่มตัวกับความสามารถสูงสุดของHemoglobin ที่จะจับกับO2ได้ ค่าปกติอยู่ระหว่าง97-100%
ค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation)
ใช้pulseoximeterเป็นอุปกรณ์ที่วัดร้อยละของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน(oxyhemoglobin)ต่อปริมาณฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือดการแปลผลต้องพิจารณาปริมาณเม็ดเลือดแดงและหรือค่าฮีโมโกลบินร่วมด้วยจึงเป็นการวัด arterial oxygen saturation (SPO2)
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb)
สาเหตุของhypoxiaและหรือhypoxemia พบความผิดปกติของระบบต่างๆ ผู้ปุวยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยออกซิเจน ดังนี้
ระบบทางเดินหายใจเช่น การอุดกั้นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ
ระบบหัวใจและหลอดเลือดเช่นโรคหัวใจชนิดต่างๆหรือภาวะช็อกจากสาเหตุต่างๆ
โรคเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงน้อยเช่น ภาวะโลหิตจาง เป็นต้น
ระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมผิดปกติต่าง ๆ
ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลายความผิดปกติของกล้ามเนื้อการบาดเจ็บของสมองและได้รับยาที่กดการหายใจ
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดส่วนอกและช่องท้อง
สาเหตุและการพยาบาลผู้ปุวยที่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
อาการไอ (Cough)
สาเหตุของการไอ
ฝุ่น ควัน สารเคมี อาหารหรือน้ำที่สำลักเข้าไป
ความร้อน -เย็นของอากาศจะทำให้การไอมากขึ้น
การอักเสบหรือการบวมบริเวณทางเดินหายใจมีอาการไอน้อยกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดจากไข้หวัด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง
ลักษณะของอาการไอ
ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะเช่น ไอเนื่องจากมีฝุ่นละอองมากเป็นต้น
ไอมีเสมหะ ซึ่งเสมหะที่เป็นหนองมักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินลมหายใจ เช่นโรคปอดบวม และวัณโรคปอด เป็นต้น และเสมหะที่ไม่เป็นหนอง เช่นโรคหอบหืดเป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอ
ถ้าไอมีเสมหะให้สังเกต บันทึกจำนวน ลักษณะ สีและกลิ่นของเสมหะด้วย
ดูแลความสะอาดของปากฟันและสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
สังเกตและบันทึกลักษณะ เสียง ความถี่และระยะเวลาของการไอ
กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ และปริมาณมากเพื่อให้เสมหะอ่อนตัว
กระตุ้นให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เพื่อให้เสมหะที่ค้างในปอดเคลื่อนออกมาได้ง่าย
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ (effective cough) โดยการให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนยกศีรษะสูง(Fowler’s position) และหายใจเข้าลึกๆ
ประเมินประสิทธิภาพการไอลักษณะไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะโดยการฟังเสียงไอ
ดูแลให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษาของแพทย์
Hemoptysis
ชนิดของการไอเป็นเลือด
ไอจนมีเลือดสดออกมาพบในวัณโรคปอด
ไอจนมีเลือดปนออกมาคือ มีเสมหะและเลือดปนเป็นเนื้อเดียวกัน
ไอจนมีเลือดออกเป็นสาย มีเลือดเป็นสายปนกับเสมหะแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
ไอจนมีเสมหะสีคล้ายสนิม จากมีเลือดเก่าๆ ปนออกมาด้วย
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
การอักเสบ
เนื้องอก
อุบัติเหตุ
ความผิดปกติของหลอดเลือด
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและให้การหายใจเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
ถ้าเสียเลือดมากอาจต้องให้เลือด และพยาบาลจะต้องเฝูาระวังการแพ้เลือดที่อาจเกิดขึ้นได้
ประเมินชีพจร หายใจ และความดันโลหิตเพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรงของการเสียเลือด
ผู้ป่วยอาจตกใจมาก ทำให้มีอาการหายใจเร็วขึ้น (hyperventilation) พยาบาลต้องคอยปลอบโยน ให้กำลังใจ
Hiccup
สาเหตุของอาการสะอึก
สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย เช่นกินอิ่มมากเกินไปดื่มเครื่องดื่มพวกที่ทำให้เกิดแก๊ส (Carbonate)ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูบบุหรี่จัดหรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเพาะอาหารทันที เช่น ดื่มเครื่องดื่มเย็นจัด หรือ กินอาหารร้อนจัด เมื่อท้องว่าง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการสะอึก
ให้ดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนียเป็นต้น
ให้ชิมของเปรี้ยวจัด เช่นน้ำมะนาวเป็นต้น หรือดื่มน้ำเปล่า
แนะนำให้กลั้นหายใจเป็นพักๆ
ดูแลความปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ถือแก้วน้ำแล้วหลุดออกจากมือขณะสะอึก หรือขณะรับประทานอาหารอาจสำลักได้ เป็นต้น
ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชวนคุยในเรื่องที่สนุกตื่นเต้น เป็นต้น
แนะนำให้หายใจเข้าออกในถุงปิด เพื่อเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
Dyspnea
สาเหตุของการหายใจลำบาก
สาเหตุเกี่ยวกับหัวใจเช่นการทำงานของหัวใจไม่ดี
สาเหตุเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้น หรือปอดถูกทำลายเป็นต้น
สาเหตุเกี่ยวกับประสาท ทำให้การควบคุมการหายใจไม่ดี เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ
Chest pain
มีสาเหตุ ดังนี้
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มักเจ็บตรงบริเวณที่มีอาการอักเสบและมักเจ็บมากเมื่อเวลาหายใจเข้าลึกๆหรือเวลาไอทำให้ผู้ป่วยต้องหายใจตื้นๆ
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจาก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมักเป็นตรงบริเวณหัวใจ และเจ็บตลอดเวลา อาจมีลักษณะในข้อ2 ร่วมด้วย ถ้าการอักเสบลุกลามถึงเยื่อหุ้มปอด
อาการเจ็บหน้าอกสาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักมีอาการเจ็บเฉพาะที่และเจ็บเมื่อใช้มือกดที่บริเวณนั้น
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
อาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
ระดับความรู้สึกตัวลดลง
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น
ระดับการมีสมาธิลดลง(decreased ability to concentrate)
มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน
วิตกกังวล (anxiety) กระสับกระส่าย(restlessness)
อัตราเต้นของชีพจรเร็วขึ้น ขั้นรุนแรงและพบ bradycardia
แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ความดันโลหิตลดลง
มีภาวะซีด
วัตถุประสงค์ของการให้ออกซิเจนเพื่อการรักษา
เป็นการลดอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งฟอง
เป็นการช่วยการทำงานของระบบทางเดินหายใจหัวใจและระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดจากภาวะพร่องออกซิเจน
เป็นการรักษาภาวะพร่องออกซิเจนทำให้ออกซิเจนในเลือดตำ โดยวิธีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในถุงลมปอด และกระแสเลือด
ข้อชี้บ่งของการให้ออกซิเจน
เกิดภาวะบาดเจ็บขั้นรุนแรง
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypoxemia ตามมาหลังได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว เช่น ผู้ปุวยหลังโดนไฟไหม้เป็นต้น
การให้ออกซิเจนเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในการทำผ่าตัด เช่น หลังการดมยาสลบ หรือการทำผ่าตัดใหญ่เป็นต้น
มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด คือ มีภาวะPaO2< 60 mmHg หรือ SaO2< 90% เมื่อหายใจเข้าในบรรยากาศปกติ
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ออกซิเจน
ควรระวังการให้ออกซิเจนในผู้ปุวยที่ได้รับพิษจาก paraquat เช่น ยาฆ่าหญ้า เป็นต้นหรือผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดอาจทำให้เสริมฤทธิ์ของสารพิษที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายเร็วขึ้น
ขณะทำผ่าตัดด้วยวิธีเลเซอร์ในทางเดินหายใจ ควรจำกัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ใช้ในต่ำที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดไฟด้วยคุณสมบัติเคมีของออกซิเจนเอง
อาจเกิดภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis) ออกซิเจนเป็นพิษ (oxygen toxicity) หรือกดการทำงานของciliaที่กำลังพัดโบกกำจัดสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาว
ควรระวังการให้ความชื้นร่วมกับออกซิเจนโดยเฉพาะการให้ความชื้นแบบnebulizerสามารถเพิ่มภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจได้เนื่องจากการสูดดมโดยตรง
อาจเกิดภาวะกดการหายใจผู้ปุวยที่หายใจเอง เมื่อค่าPaO2≥ 60 มม.ปรอท โดยที่ค่า PaCO2สูงกว่าภาวะปกติ
การมีความเข้มข้นระดับสูงของออกซิเจน บริเวณที่เกิดไฟไหม้จะทำให้ขบวนการติดไฟเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน
หมั่นตรวจดูอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจน
ตรวจดูสายยาง
ขวดทำความชิ้นมีน้ำอยู่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
ถ้าเป็นออกซิเจนถัง จะต้องให้มีออกซิเจนอยู่เสมอ
เปลี่ยนและนำอุปกรณ์การใช้ออกซิเจน ไปทำความสะอาดและทำให้ปลอดเชื้อ
ดูแลทางเดินหายใจโดยท่าทางเดินหายใจ
จัดท่านอน ท่านั่ง ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย
ดูดเสมหะที่ค้างตามท่อทางเดินหายใจเป็นระยะๆ
สอนการไออย่างถูกวิธี
กระตุ้นให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
หมั่นสังเกตและประเมินภาวะของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
ความผิดปกติของสีผิว
ระดับความรู้สึกตัว
ตรวจวัดสัญญาณชีพ อัตราเร็วของการหายใจ
วัดปริมาตรหายใจเข้า-ออกต่อครั้ง
ดูแลความสะอาดของจมูกและปากบ่อยๆ หรือ ทุก2-3 ชั่วโมง
ถ้าเจ็บคอ ให้ล้างปากด้วยน้ำยา
ทาริมฝีปากด้วย กลีเซอรีน
ให้จิบน้ำเยอะๆ
ทำความสะอาดช่องจมูก
ดูแลความสะอาดบนใบหน้า
ดูแลด้านจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ ควรดูแลดังนี้
บอกประโยชน์ของการได้รับออกซิเจน
พยาบาลควรมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือ
ดูแลควบคุมอัตราการไหลของออกซเจนให้เพียงพอ
สนใจ รับฟังความต้องการของผู้ป่วยอย่างจริงจัง
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
ตัวอย่าง
หญิงไทยสูงอายุ90 ปี ปุวยเป็นโรคชราและความจ าเสื่อม ช่วยเหลือตนเองได้น้อยมาก นอนติดเตียง (bed redden) ให้ออกซิเจน cannula2 lit/min มีเสมหะใสไอออกได้เอง
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
การวางแผนการพยาบาล
วัตถุประสงค์
เพื่อส่งเสริมให้ผู้ปุวยได้รับออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย2 lit/min ตามแผนการรักษาและไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
การวางแผน
วางแผนให้การผู้ปุวยได้รับออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 2 lit/min ตามแผนการรักษาและมีความปลอดภัยขณะได้รับการออกซิเจนและจัดเตรียมอุปกรณ์การให้ออกซิเจนชนิด cannula
การประเมินภาวะสุขภาพ
S : “ผู้ปุวยบอกว่าหายใจไม่สะดวก”
O : หญิงไทยสูงอายุ ป่วยเป็นโรคชราและความจำเสื่อมนอนติดเตียงอ่อนเพลียซีดเล็กน้อยรูปร่างผอมบาง ช่วยเหลือตนเองได้น้อยon O2 cannula2 lit/min
การปฏิบัติการพยาบาล
ประเมินสภาพผู้ป่วยก่อนได้รับออกซิเจน
ปรับออกซิเจนให้ได้ 2 lit/min แล้วจัดให้สายcannula อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมคล้องสายกับหูทั้งสองข้างให้พอดี
จัดสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย ติดป้ายห้ามสูบบุหรี่ หรือห้ามนำวัตถุไวไฟเข้าใกล้บริเวณเตียงผู้ป่วย
จัดท่านอนศีรษะสูงเพื่อท าให้กระบังคมเคลื่อนต่ำลง ปอดขยายตัวได้เต็มที่เพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซมากขึ้น
สอนการไออย่างมีประสิทธิภาพการไออย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้ลดการคั่งค้างของเสมหะที่ปอดทำให้ปอดขยายตัวได้เพิ่มขึ้น
วัดvital signsทุก 4 ชมเพื่อการประเมินสัญญาณชีพจะช่วยให้ทราบความรุนแรงของภาวะพร่องออกซิเจน
ติดตามผลเลือดHb,Hct และ Chest X-Ray เพื่อทราบค่าแสดงถึงความเข้มข้นของเลือในร่างกายและ Chest X-ray เป็นการประเมินความก้าวหน้าของการรักษา
ประเมิน O2saturation ทุก 2 ชม.เพื่อเป็นการวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ติดตามผลเลือดHb,Hct และ Chest X-Ray เพื่อทราบค่าแสดงถึงความเข้มข้นของเลือในร่างกายและ Chest X-ray เป็นการประเมินความก้าวหน้าของการรักษา
ให้การพยาบาลด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เพื่อลดความวิตกกังวลและความกลัว
การประเมินผลการพยาบาล
ประเมินการปฏิบัติถูกต้องครบและเป็นไปตามขั้นตอนของการปฏิบัติ(โดยนักศึกษาทบทวนบทเรียนตามขั้นตอนการปฏิบัติการให้ออกซิเจน)
ประเมินการจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ครบถ้วนเพียงพอหรือไม่ (โดยการตรวจสอบความครบถ้วนของใช้การจัดเก็บของเข้าที่เดิมและเตรียมพร้อมใช้งานครั้งต่อไป)
ความปลอดภัยขณะผู้ป่วยได้รับออกซิเจน
หลักปฏิบัติในการให้ออกซิเจนชนิดต่าง ๆ
ใส่flow meter กับแหล่งที่มาของออกซิเจนที่มาจากชนิดผนัง (wall type) จากถังใช้high-pressure gas regulatorให้ถูกต้องและแน่นพอดี
ปรับระดับลูกลอยใน flow meter จะได้ปริมาณของออกซิเจนมีหน่วยเป็นลิตรต่อนาทีตามที่ต้องการ สวมท่อสายยางของอุปกรณ์ให้ออกซิเจน กับท่อflow meter
ประเมินสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัว เพื่อประเมินอาการผู้ป่วย
ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อ ให้ระดับน้ำอยู่ตรงตำแหน่งขีดที่กำหนดข้างกระบอกป้องกันไม่ให้ flow meter เสียหรือน้อยกว่าขีดออกซิเจน
ล้างมือให้สะอาด สวมmask เพื่อปูองกันการนำเชื้อเข้าสู่ผู้ป่วย
หมุนปุ่มเปิด flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนทิ้งไว้ 1–2 นาทีเพื่อทดสอบว่ามีออกซิเจนไหลผ่าน และได้ปริมาณตามแผนการรักษาทุกครั้งก่อนสวมอุปกรณ์ให้ผู้ป่วย
กรณีให้ nasal cannulaให้ปฏิบัติ ดังนี้
สวมเขี้ยวเข้าในช่องจมูกทั้ง 2 ข้างโดยให้ส่วนโค้งแนบไปกับโพรงจมูก คล้องสายกับใบหู2ข้าง ปรับสายให้พอดีไว้ใต้คาง หรืออ้อมรอบศีรษะ
ทำความสะอาดช่องจมูกทั้งสองข้างและทุก 8 ชั่วโมงเพื่อให้ช่องจมูกโล่งทำให้ได้รับออกซิเจนปริมาณถูกต้อง
กรณีให้ mask ให้ปฏิบัติ ดังนี้
simple mask ครอบหน้ากากบริเวณสันจมูกและปากให้แนบสนิทปรับสายคล้องทัดเหนือใบหูรอบศีรษะ จัดให้พอดีป้องกันการรั่วของออกซิเจน
ชนิดมีถุง เปิดออกซิเจนไหลผ่านถุง 10 -20 ลิตร/นาที จนถุงโป่งเต็มที่เพื่อไล่ก๊าซอื่นที่ค้างในถุงออกรวมทั้งทดสอบถุงไม่รั่วแล้วจึงใส่เหมือน simple mask
กรณีให้ oxygen hood ให้ปฎิบัติ ดังนี้
ต่อท่อออกซิเจนเข้ากับกล่อง
วางครอบเฉพาะศีรษะและไหล่ ระวังไม่ให้สายอยู่ใกล้หน้าเด็ก ให้ออกซิเจนในปริมาณพอเพียงและไม่ให้ออกซิเจนระคายเคืองตาเด็ก
กรณีให้ T-pieceให้ปฏิบัติ ดังนี้
ควรดูดเสมหะออกก่อนเพื่อให้ออกซิเจนไหลผ่านหลอดลมคอได้สะดวก
ต่อสาย T –piece ครอบท่อหลอดลมคอ จัดสายไม่ให้เกิดภาวะดึงรั้งกรณีผู้ป่วยที่ได้รับยาในรูปการสูดละอองยาเข้าทางเดินหายใจโดยตรง ควรปรับอัตราการไหลของออกซิเจน 6 –8 ลิตร/นาที
ลงบันทึกทางการพยาบาล ได้แก่ อาการ สัญญาณชีพปริมาณออกซิเจนที่ให้อุปกรณ์ที่ใช้และปฏิกิริยาผู้ป่วยเมื่อได้รับออกซิเจน
เป็นบทบาทของพยาบาลในการให้การพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยขณะได้รับออกซิเจนโดยมีข้อควรปฏิบัติและต้องคำนึงถึงคือ
อาจเกิดการทำลายเนื้อเยื่อในปอด ออกซิเจนจะก่อพิษในปอดได้หากได้รับในระยะเวลานาน คือ 24 –48 ชั่วโมง และความเข้มข้นของก๊าซ มากกว่าร้อยละ60
อาจเกิดอันตรายกับดวงตา (retrolental fibroplasias) คือ การได้รับออกซิเจนความเข้มข้นสูงเป็นระยะเวลานานๆ จะเกิดกับหลอดเลือดหลังเลนส์เปลี่ยนแปลง
อาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากออกซิเจนเป็นก๊าซแห้ง
อาจเกิดการหยุดหายใจ ในผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ศูนย์การหายใจจะไม่เป็นตัวควบคุมการหายใจ แต่ใช้ chemoreceptor reflex เป็นตัวควบคุมแทน
อาจเกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนการให้ออกซิเจนอุปกรณ์ที่ใช้มีโอกาสก่อให้เกิดการติดเชื้อ
อาจเกิดอุบัติเหตุจาการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิดเพราะการสันดาป (combustion) เป็นขบวนการที่เชื้อเพลิงทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนเกิดเป็น oxide มีความร้อนและพลังงาน เกิดขึ้น